นักวิชาการทีดีอาร์ไอ จวกสปส.บริหารงานแบบไร้เดียงสา
ดร.วรวรรณ ชี้ช่องการรวมเงินสมทบกรณีสงเคราะห์บุตร และชราภาพ ไว้ด้วยกัน ทำให้ผู้ประกันตนเสียประโยชน์ เชื่อในที่สุดจะไม่มีเงินเหลือพอจ่ายคนเกษียณอายุ เสนอรัฐเลิกจำกัดสิทธิผู้ประกันตนในการได้รับสวัสดิการ กอช.
ดร.วรวรรณ ชาญด้วยวิทย์ นักวิชาการจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย นำเสนอบทความเรื่องความเสี่ยงของผู้ประกันตน โดยระบุความเสี่ยงที่ผู้ประกันต้องเผชิญอย่างน้อย 2 เรื่อง คือ เรื่องแรก เสี่ยงต่อการบริหารจัดการแบบราคาแพงและมีความขัดแย้งของผลประโยชน์มากมาย กฎหมายอนุญาตให้ใช้เงินได้ถึง 10% ของเงินสมทบเพื่อการบริหารจัดการ และกฎหมายก็ไม่มีการกล่าวถึงการจัดการเรื่องความขัดแย้งของผลประโยชน์ในการบริหารจัดการกองทุน
"เรื่องที่สอง เสี่ยงว่า เมื่อถึงเวลาที่ผู้ประกันตนจะได้รับสวัสดิการชราภาพ ประกันสังคมกลับเหลืองเงินไม่พอจ่ายให้กับผู้เกษียณอายุ"
ดร.วรวรรณ กล่าวว่า เมื่อต้นปี 2542 เป็นจุดเริ่มต้นที่สำนักงานประกันสังคมเริ่มเก็บเงินสมทบกรณีสงเคราะห์บุตรและชราภาพ ด้วยสวัสดิการทั้ง 2 ประเภทเริ่มต้นเก็บเงินพร้อมกัน สำนักงานประกันสังคมจึงรวมเงินไว้ด้วยกัน เรียกว่า เป็นเงินสำหรับ 2 กรณี
การรวมเงินสมทบ 2 ส่วนเข้าไว้ด้วยนั้น ถือเป็นการบริหารแบบไร้เดียงสา และทำให้ผู้ประกันตนเสียประโยชน์ ด้วยเงินส่วนสงเคราะห์บุตรเป็นสวัสดิการระยะสั้น รับเงินมาแล้วก็จ่ายไปตามภาวะการเกิดมากหรือเกิดน้อย ส่วนเงินชราภาพ เป็นสวัสดิการระยะยาว รับเงินมาต้องสะสม ลงทุน เพื่อให้เกิดผลตอบแทนที่ดีและมั่นคง เพื่อการใช้จ่ายในอนาคตระยะยาว หรือยามบั่นปลายของชีวิต
นักวิชาการทีดีอาร์ไอ กล่าวว่า ผู้ประกันตนเสียประโยชน์เพราะในปัจจุบันรัฐอ้างว่า ได้สมทบเงิน 1% เพื่อการสงเคราะห์บุตรและชราภาพแก่ผู้ประกันตนแล้ว ดังนั้นผู้ประกันตนไม่มีสิทธิได้รับการสนับสนุนการออมเพื่อการชราภาพแบบอื่น เช่น กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ที่กำลังเริ่มต้นเก็บเงินสมทบในปีหน้า
“ดูระเบียบการจ่ายบำเหน็จแก่ผู้ประกันตนที่อายุ 55 ปีขึ้นไป พบว่า ผู้ประกันตนได้รับเงินเฉพาะส่วนที่ตนและนายจ้างสมทบ รวมผลตอบแทนการลงทุนเท่านั้น ซึ่งก็พิสูจน์ว่า ส่วนที่รัฐให้ 1% แท้จริงใช้เพื่อการสงเคราะห์บุตร”ดร.วรวรรณ กล่าว และว่า ดังนั้นรัฐไม่ควรจำกัดสิทธิของผู้ประกันตนในการได้รับสวัสดิการ กอช. เช่นเดียวกับที่รัฐให้การสนับสนุนประชาชนกลุ่มอื่นๆ โดยเฉพาะปัญหาอยู่ที่ว่า อีกประมาณ 25-30 ปี รายได้จากเงินสมทบกับรายจ่ายบำนาญไม่สมดุลกัน จะสร้างความเสี่ยงแก่ผู้ประกันตน ณ วันที่รายได้จะไม่เพียงพอกับรายจ่าย
สำหรับทางออกนั้น ดร.วรวรรณ กล่าวว่า มีอยู่ 3 แนวทาง คือ 1.ปล่อยไปเรื่อยๆเงินหมดเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน 2.คำนวณอัตราเงินสมทบใหม่ ให้เกิดความสมดุลของรายได้และรายจ่ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งแน่นอนว่า ผู้ประกันตนจะต้องสมทบเงินเพิ่ม และ 3. แก้กฎกระทรวงการจ่ายบำเหน็จบำนาญใหม่ แทนที่จะจ่ายเงินแบบตลอดชีวิต โดยไปเอาส่วนของคนอื่นมาใช้ ก็เปลี่ยนเป็นจ่ายบำเหน็จบำนาญจากส่วนที่ตนและนายจ้างช่วยกันสมทบ ถ้าอยากได้บำนาญมากๆ ไปตลอดชีวิต ก็ต้องสมทบเพิ่ม โดยที่คนอื่นจะมาล้วงเอาส่วนของเราไปใช้ไม่ได้