งานวิจัยเผย ผู้บริโภคยังหวัง “ข่าวคุณภาพ” จากสื่อ
“...หนังสือพิมพ์ ต้องชัดเจน ลึก ส่วนการนำเสนอข่าวแบบฉับไวก็เสนอในอินเทอร์เน็ต นอกจากนั้น เนื้อหาในหนังสือพิมพ์ก็ควรต้องแบ่งเป็น 2 รูปแบบ คือพื้นที่สำหรับการวิเคราะห์โดยเฉพาะ กับพื้นที่สำหรับการนำเสนอสถานการณ์ทั่วไป และนับจากนี้ ข่าวหน้า 1 ต้องไม่ใช่เพียงแค่บอกว่าเกิดอะไรขึ้น แต่จะต้องบอกได้ว่า จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ต้องมีการวิเคราะห์ ส่วนในเว็บไซต์ก็นำเสนอรายงานประเภทว่าเกิดอะไร ที่ไหน อย่างไร...”
สัปดาห์ที่ผ่านมา ที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพมีการจัดการประชุมเครือข่ายนักวิชาการและวิชาชีพสื่อมวลชน ประจำปี 2556 ในหัวข้อยุทธศาสตร์เพื่ออนาคตวารสารศาสตร์ ครั้งที่ 5 ตอน “คนเปลี่ยน สื่อปรับ รุก-รับอย่างไร” โดยมีนักวิชาการและสื่อมวลชนร่วมแสดงทัศนะเรื่องการปรับตัวของสื่อที่ต้องก้าวตามให้ทันเทคโนโลยีและช่องทางการรับ-ส่งข่าวสารที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
“นายประดิษฐ์ เรืองดิษฐ์” นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เริ่มต้นกล่าวเปิดงานเสวนาโดยตั้งคำถามว่าทำอย่างไร สื่อจึงจะอยู่รอดในยุคที่ข่าวสารทุกอย่างต้องฉับไว อีกทั้งทุกวันนี้ การสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดียหรือเครือข่ายสังคมออนไลน์ก็ทำให้ผู้รับสารสามารถเป็นผู้ส่งสารได้ด้วย นอกจากนั้น การประมูลดิจิตอล ก็ได้รับความสนใจอย่างยิ่ง เหล่านี้คือสิ่งชี้วัดว่าพื้นที่การนำเสนอข่าวสารจะมีหลายช่องทางยิ่งขึ้น มีการแข่งขันสูงขึ้น ดังนั้น นักข่าวต้องฉับไวและพัฒนาตนเองให้มากขึ้นด้วย
“ทำอย่างไรสื่อจึงจะอยู่รอด ผมคิดว่านักข่าวคือทรัพยากรที่มีคุณค่า เราต้องพัฒนาบุคลากร นักข่าวต้องไม่ใช่แค่ลูกจ้างในองค์กรสื่อแต่จะต้องพัฒนาให้นักข่าวมีความรอบรู้ รู้ลึกและมีจริยธรรม” นายประดิษฐ์กล่าว
นอกจากเรียกร้องให้องค์กรสื่อมองเห็นคุณค่าของการพัฒนาองค์ความรู้และส่งเสริมจริยธรรมในวิชาชีพแล้ว นายประดิษฐ์ยังมองว่า ทุกวันนี้พื้นที่สำหรับการนำเสนอข่าวเพื่อสาธารณะหรือการตีแผ่ข้อมูลอันเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะกลับลดน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ
ขณะที่ “นายศุภกรณ์ เวชชาชีวะ” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการบริษัท โพสต์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) เสนอมุมมองด้านการศึกษาวิจัยความต้องการของผู้บริโภคข่าวสารเพื่อนำไปสู่การพัฒนารูปแบบและการนำเสนอข่าวให้ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย หยิบยกตัวอย่างจากสื่อสิ่งพิมพ์ทั่วโลกที่ปรับตัวเข้าสู่การนำเสนอข่าวออนไลน์ ทั้งมองทิศทางและแนวโน้มของเนื้อหาข่าวในอนาคตว่าผู้บริโภคอาจต้องการอ่านบทความที่วิเคราะห์ปัญหาและสถานการณ์นั้นๆ ได้อย่างรอบด้านยิ่งขึ้น
“สื่อในช่วง 3-5 ปีให้หลังมีการปรับตัวเพราะการเข้ามาของโซเชียลมีเดีย เรามีแหล่งข่าวใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย มีหนังสือพิมพ์ออนไลน์มากขึ้น ซึ่งย่อมส่งผลกระทบกับสื่อสิ่งพิมพ์แบบดั้งเดิม เพราะเมื่อองค์กรสื่อหันไปสู่การนำเสนอข่าวทางเวบไซต์มากขึ้น แม้จะมีข้อดีคือผู้บริโภคมีทางเลือก อ่านได้สะดวก แต่ก็มีข้อเสียคือขาดรายได้ที่ควรจะได้รับจากสื่อสิ่งพิมพ์ เพราะรายได้จากโฆษณาในเวบไซต์ไม่อาจทดแทนได้มากพอ” นายศุภกรณ์กล่าว
นอกจากนั้น นายศุภกรณ์ กล่าวอีกว่า สื่อสิ่งพิมพ์ระดับโลกที่เมื่อปรับตัวสู่การเป็นเว็บไซต์ข่าวออนไลน์แล้ว บ้างก็ประสบความสำเร็จ บ้างก็ยังคงยึดมั่นในรูปแบบเดิมๆ อาทิ สื่อหลายเล่มในสหรัฐอเมริกาและยุโรป รวมถึงองค์กรสื่อระดับโลกอีกไม่น้อยเมื่อปรับรูปแบบสู่การเป็นเว็บไซต์ข่าวแล้วก็มีความคิดว่าควรจะเก็บค่าบริการจากผู้อ่านเว็บไซต์ ซึ่งในปัจจุบันก็มีสื่อบางสำนักที่เก็บค่าบริการเป็นรายปี
“การปรับตัวของสื่อในระดับโลกทำให้เกิดเทรนด์นักข่าวใหม่ ที่ต้องสามารถนำเสนอข่าวได้หลากหลาย อาทิ ต้องสามารถถ่ายคลิปวิดีโอ, ส่งข่าวทาง sms, ส่งข่าวออนไลน์ และนำเสนอข่าวผ่านช่องทางเทคโนโลยีที่หลากหลายได้ เช่นในนอร์เวย์ สื่อยักษ์ใหญ่บางฉบับที่มีบุคลากรรุ่นใหม่ๆ ปรับตัวได้ตามเทคโนโลยีที่ทันสมัยก็พร้อมเปลี่ยนไปสู่การเป็นเว็บไซต์ข่าว ก้าวเข้าสู่โลกออนไลน์อย่างเต็มตัวและประสบความสำเร็จจากจำนวนผู้อ่านที่เยอะขึ้น “
นายศุภกรณ์ ยังตัวอย่างว่า JAVA POST หนังสือพิมพ์ชื่อดังของอินโดนีเซียก็มีวิธีการปรับตัวอีกรูปแบบที่น่าสนใจด้วยการผสมผสานสิ่งเก่าและใหม่ ให้อยู่ร่วมกันอย่างลงตัว โดยการมอบหมายให้นักข่าวในกองบรรณาธิการที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป รับหน้าที่เขียนข่าวเชิงลึกที่เน้นการวิเคราะห์อย่างเข้มข้น แล้วมอบหมายให้นักข่าวรุ่นใหม่ๆ ก้าวเข้ามาจัดการดูแลรูปแบบเนื้อหาการนำเสนอผ่านพื้นที่ข่าวสารของตนเอง โดยผู้บริหารไม่เข้ามาก้าวก่ายในรายละเอียด ซึ่งถือเป็นแนวความคิดที่น่าสนใจโดยเฉพาะการเปิดทางให้คนรุ่นใหม่ๆ ก้าวเข้ามาบริหารจัดการเนื้อหาด้วยรูปแบบและมุมมองที่ทันสมัยขึ้น
“หนังสือพิมพ์ต้องชัดเจน ลึก ส่วนการนำเสนอข่าวแบบฉับไวก็เสนอในอินเทอร์เน็ต นอกจากนั้น เนื้อหาในหนังสือพิมพ์ก็ควรต้องแบ่งเป็น 2 รูปแบบ คือพื้นที่สำหรับการวิเคราะห์โดยเฉพาะ กับพื้นที่สำหรับการนำเสนอสถานการณ์ทั่วไป และนับจากนี้ ข่าวหน้า 1 ต้องไม่ใช่เพียงแค่บอกว่าเกิดอะไรขึ้น แต่จะต้องบอกได้ว่า จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ต้องมีการวิเคราะห์ ส่วนในเว็บไซต์ก็นำเสนอรายงานประเภทว่าเกิดอะไร ที่ไหน อย่างไร” นายศุภกรณ์กล่าว
นายศุภกรณ์กล่าวท้ายทิ้งว่าในอนาคตผู้รับสารอาจต้องการอ่านข่าวที่มีความคิดเห็น มีการชี้แนะ มีการฟันธงจากสื่อแม้เหล่านี้อาจขัดกับจริยธรรมสื่อแต่งานวิจัยที่บริษัทโพสต์ฯ ได้ทำการสอบถามผู้บริโภคข่าวสาร ก็ชี้ให้เห็นว่าผู้อ่านยอมรับการมีความคิดเห็นอยู่ในเนื้อข่าว ต้องการอ่านข่าวที่มีการชี้นำมากขึ้น ดังนั้น สิ่งสำคัญจึงขึ้นอยู่กับว่าหนังสือพิมพ์จะมีข่าววิเคราะห์ได้อย่างลึกและรอบด้านนั้น ต้องอาศัยผู้สื่อข่าวที่มีความเชี่ยวชาญอย่างน้อยในด้านใดด้านหนึ่ง
“ผู้สื่อข่าวอาจไม่ใช่แค่ไปงานสัมมนา เอาไมค์ไปจ่อ แต่ต้องคิดวิเคราะห์ หาข่าวด้วยตัวเอง” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการบริษัทโพสต์ฯ ระบุ
จากนั้น มีการเปิดเผยงานวิจัยเรื่อง “พฤติกรรมการบริโภคข่าวของคนต่างวัยในสังคมไทย” โดย “ผศ.บุปผา เมฆศรีทองคำ” คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ที่นำเสนอผ่านเวทีเสวนาครั้งนี้โดยเผยถึงรายละเอียดของการวิจัยว่าครอบคลุมกลุ่มตัวอย่างจาก 5 จังหวัด ใน 5 ภูมิภาคของไทย ได้แก่ จ.นครสวรรค์ (ภาคเหนือ) จ.ชลบุรี (ภาคตะวันออก) จ.อุดรธานี (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) จ.สงขลา (ภาคใต้) และกรุงเทพมหานคร (ภาคกลาง) โดยทำการสำรวจความคิดเห็นจาก 1,750 คน ทั้งชายและหญิง โดยแบ่งเป็น 3 วัย ได้แก่วัยเรียน วัยทำงาน และผู้อาวุโสที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป โดยสำรวจพฤติกรรมการเสพสื่อดั้งเดิมคือหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุ และสื่อใหม่ อาทิ เฟซบุ๊ค, ทวิตเตอร์, หนังสือพิมพ์ออนไลน์, เคเบิ้ลทีวี ว่าต่างกันมากน้อยเพียงใด, กลุ่มตัวอย่างนิยมบริโภคข่าวสารแบบใด รวมทั้งสำรวจถึงสิ่งที่ต้องการให้มีในเนื้อหาข่าว
ผศ.บุปผา กล่าวถึงผลการวิจัยว่า แม้สื่อดั้งเดิมดูเหมือนถูกกลืนหายไปจากสังคมไทย แต่จากงานวิจัยจะเห็นได้ว่าทั้งสามช่วงอายุยังเสพสื่อดั้งเดิม เช่น หนังสือพิมพ์ นอกจากนั้น สิ่งที่กลุ่มตัวอย่างทั้งวัยเรียน วัยทำงานและผู้อาวุโส อยากให้สื่อปรับปรุงมากที่สุดก็คือเรื่องคุณภาพของข้อมูลข่าวสาร
“เราจะเห็นว่าการปรับปรุงข่าวในอนาคต แม้จะมีแพลตฟอร์มต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย แต่หัวใจสำคัญยังคงเป็นคุณภาพของข่าวเช่นเดิม” ผศ.บุปผา กล่าว.
