ปุจฉา ? ‘ดอกเข้าพรรษา’ แท้จริงคือดอกอะไร
เชื่อมั่นว่าพุทธศาสนิกชนหลายคนไม่รู้จัก ‘ดอกเข้าพรรษา’ ที่มักพบเห็นในช่วงเทศกาลเข้าพรรษาของไทย ทั้งที่ความจริงแล้วเป็นดอกไม้พื้นเมือง พบเห็นได้ทั่วไปตามภาคต่าง ๆ

เข้าสู่วันพระใหญ่ของไทยครั้งใด พุทธศาสนิกชนต่างพาญาติมิตรเข้าวัดทำบุญอุทิศส่วนกุศลแก่ผู้ล่วงลับและผีสางเทวดา ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการทำบุญ คือ ดอกไม้ ที่จะต้องนำมาเป็นเครื่องบูชาพระรัตนตรัย
แต่สำหรับ ‘วันเข้าพรรษา’ ดอกไม้ที่ถือเป็นเอกลักษณ์ มักพบเห็นลักษณะรวบมัดเป็นช่อและชั้นคล้ายบายศรี หลากหลายรูปแบบ ในประเพณีตักบาตรดอกไม้ วัดพระพุทธบาท จ.สระบุรี คงต้องยกให้ ‘ดอกเข้าพรรษา’
‘อรวรรณ วิชัยลักษณ์’ นักวิชาการกลุ่มส่งเสริมการผลิตไม้ดอกไม้ประดับ สำนักส่งเสริมและจัดการสินค้าเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร ได้อธิบายลักษณะของ ‘ดอกเข้าพรรษา’ ไว้ในเอกสารอิเล็กทรอนิกส์:สำนักส่งเสริมและฝึกอบรม ม.เกษตรศาสตร์ (มก.) น่าสนใจว่า
‘ดอกเข้าพรรษา’ มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า ‘หงส์เหิน’ จัดอยู่ในกลุ่มพืชชนิดเดียวกับขิง-ข่า โดยจะมีลำต้นเป็นหัวอยู่ใต้ดิน ส่วนลำต้นเหนือดินนั้นเรียกว่าลำต้นเทียม ใบมีลักษณะเรียวยาว คล้ายใบกระชายแต่มีขนาดเล็กกว่า เป็นสองแถวในระนาบเดียวกัน ส่วนดอกจะออกเป็นช่อโค้งและห้อยระย้าลงมาอย่างสวยงาม หรือชอตั้งดอกทรงกลมยาว ประกอบด้วยดอกจริง 1-3 ดอก ซึ่งดอกจริงนั้นจะมีสีเหลืองคล้ายหงส์กำลังบิน และมีกลีบประดับที่มีรูปทรงและสีแตกต่างกันไป
‘ดอกหงส์เหิน’ จะพบมากในไทย พม่า เวียดนาม เพราะเป็นพืชในป่าเขตร้อนชื้น ใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ สำหรับไทยนั้น พบมากในตาก สระบุรี ปราจีนบุรี สระแก้ว บุรีรัมย์ สกลนคร หนองบัวลำภู และนครศรีธรรมราช โดยเริ่มออกดอกตั้งแต่พ.ค.-ก.ย. และออกมากในช่วงเทศกาลเข้าพรรษา ทำให้ชาวบ้านนำ ‘ดอกหงส์เหิน’ มาบูชาในเทศกาลงานบุญดังกล่าว โดยเฉพาะประเพณีตักบาตรดอกไม้ ณ วัดพระพุทธบาท อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี จนเป็นที่มาของชื่อ ‘ดอกเข้าพรรษา’ ซึ่งใช้เรียกเฉพาะในจังหวัดนี้เท่านั้น
ขณะที่พื้นที่อื่นก็มีชื่อเรียกแตกต่างกันไป เช่น กลวยจ๊ะก่า(ตาก), กลวยเครือคํา(เชียงใหม่), วานดอกเหลือง(เลย), ปุดนกยูง(ภาคใต), พเด็งโง (พมา) ซึ่ง พเด็งโง แปลวา ชางทองรองไห้ ที่เรียกเช่นนี้เพราะช่างทองพม่าไม่สามารถนำทองมาแปะบน ‘ดอกหงส์เหิน’ ได้ เนื่องจากมีขนาดเล็กนั่นเอง
อรวรรณ ชี้ให้เห็นอีกว่า ใครที่ต้องการเพาะปลูกเพื่อหวังจะต่อยอดเป็นธุรกิจในอนาคต เนื่องจากในต่างประเทศมีความต้องการมาก วิธีการไม่ยากอย่างที่คิด มีให้เลือก 2 แนวทาง คือ แยกเหงาและการเพาะเมล็ด แต่วิธีที่รวดเร็วคือการแยกเหง้า โดยขุดเหง้าในช่วงพักตัวฤดูหนาวย่างเข้าร้อน ซึ่งสามารถสังเกตได้จากลักษณะของลำต้นเทียมเหนือดินยุบตัวลงไปแล้วลงปลูกในแปลงฝังลึก 5 ซม. ใช้ระยะปลูก 30*30 ซม. พร้อมพรางแสงด้วยซาเรนประมาณ 60-70% ทั้งนี้ แปลงปลูกควรคลุมฟางหรือหญ้าแห้งเพื่อรักษาความชื้นและรักษาความสะอาดของดอก กรณีรดน้ำด้วยสายยางด้วย
ส่วนขั้นตอนการใส่ปุ๋ย แนะนำให้ใช้ปุ๋ยหมักหรือคอก 1 ตัน/ไร่ ในช่วงเจริญเติบโต และใช้ปุ๋ยเคมี 15-15-0 และ 15-15-15 อัตรา 1:1 จำนวน 1-2 ช้อนชาต่อหลุม หรือหว่านให้ทั่วแปลงในช่วงออกดอก และใช้ปุ๋ย15-15-15 และ 0-0-60 ในช่วงสร้างหัว 1-2 ช้อนชาต่อหลุม รวมถึงการรดน้ำต้องไม่มากเกินไป เพราะ ‘ดอกหงส์เหิน’ ไม่ชอบแฉะ
อย่างไรก็ตาม การปลูกพืชชนิดนี้ต้องระวังโรคหัวเน่าและโรคแอนแทรคโนส อันเกิดจากสภาพการเพาะปลูกที่มีความชื้นสูง จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนพื้นที่เพาะปลูกหรือปลูกพืชหมุนเวียนในแปลงปลูกแทน จึงจะเป็นการเเก้ปัญหานั่นเอง
...................................................
เห็นถึงที่มาเเละวิธีการเพาะปลูกทำกำไรของดอกหงส์เหินหรือดอกเข้าพรรษาเเล้ว เชื่อมั่นว่าหลายคนคงถึงบางอ้อ เเละตราบใดที่พุทธศาสนิกชนยังศรัทธาและยึดมั่นในหลักธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดอกไม้ชนิดนี้จะยังคงเป็นสัญลักษณ์ในเทศกาลเข้าพรรษาของไทยไปตลอดกาล .
ผู้สนใจสามารถอ่านเอกสารฉบับเต็มได้ที่:http://www.eto.ku.ac.th/neweto/e-book/plant/flower/globba.pdf
ที่มาภาพ:http://www.bansuanporpeang.com/node/2618, http://www.siamfreestyle.com,
