แพทยสภาชงปัดฝุ่นข้อเสนอป้องกันอุบัติเหตุบนท้องถนน
แพทยสภาชงปัดฝุ่นข้อเสนอป้องกันอุบัติเหตุบนท้องถนน
(อิทธพล คณะเจริญ - ภาพจากอินเทอร์เน็ต)
หลังเกิดเหตุคนขับรถบรรทุกหลับในทำให้ขับรถยนข้ามเกาะกลางชนเข้ากับรถโดยสารของบริษัท ขนส่ง จำกัด หรือ บขส. บริเวณ จ.สระบุรี เป็นเหตุให้ผู้โดยสารรถโดยสาร บขส.เสียชีวิตทันที 19 ราย เมื่อวันที่ 23 ก.ค.2556 จนนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม ต้องสั่งการให้กรมการขนส่งทางบกหามาตรการด้านความปลอดภัย โดยเฉพาะการตรวจสุขภาพคนขับรถบรรทุก เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอย
น.อ. (พิเศษ) นพ.อิทธพร คณะเจริญ รองเลขาธิการแพทยสภา กล่าวกับสำนักข่าวอิศราว่า แพทยสภาได้ตั้งอนุกรรมการปรับปรุงมาตรฐาน ในการออกใบรับรองแพทย์สำหรับใบขับขี่เพือคุมครองประชาชนและเคยยื่นมาตรการเกี่ยวกับด้านความปลอดภัยจากการขับรถยนต์สาธารณะ ให้กับกรมการขนส่งทางบกมาแล้วตั้งแต่ปี 2551 ภายหลังเกิดเหตุทายาทตระกูลดังเป็นโรคลมชักขณะขับรถทำให้เกิดอุบัติเหตุ ซึ่งน่าจะหยิบมาใช้ได้กับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยนำผลการศึกษามาตรการที่ใช้อยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาและทวีปยุโรป ที่มีความเข้มงวดระดับเดียวกับมาตรการที่ใช้กับนักบิน ซึ่งจะต้องแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ คือดูทั้งตัวเครื่องบิน ตัวนักบิน และสนามบิน หากปีไหนนักบินสุขภาพไม่ดีหรือมีโรคประจำตัวก็ต้องพัก เพราะเรื่องแบบนี้เป็นสิ่งที่ละเลยไม่ได้
รองเลขาฯแพทยสภา ยังกล่าวว่า สำหรับมาตรการด้านความปลอดภัยที่เสนอไป ให้ความสำคัญกับปัจจัยหลัก 4 ประการ คือ 1.เกิดจากตัวรถ 2.เกิดจากสภาพถนน 3.เกิดจากทัศนวิสัย เช่น ฝนตก พายุ และ 4.ตัวบุคคลผู้ควบคุมรถ
“ในกรณีตัวบุคคล ยังแยกเป็นปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน ปัจจัยภายนอกก็เช่น เกิดความเครียด สวัสดิการไม่ดี มีปัญหาชีวิต กินเหล้ามาหรือหลับใน เหล่านี้เราถือเป็นปัจจัยภายนอก แต่สิ่งที่แพทยสภาให้ความสำคัญที่สุดคือปัจจัยภายใน คือเรื่องของสุขภาพหรือโรคประจำตัวของเขา เพราะเราเชื่อว่านี่คือการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ” น.อ. (พิเศษ) นพ.อิทธพร กล่าว
น.อ. (พิเศษ) นพ.อิทธพร กล่าวว่า โรคประจำตัวที่อาจเสี่ยงให้เกิดอุบัติเหตุ เช่น เบาหวาน ลมชัก โรคหัวใจ โดยเฉพาะเบาหวาน เพราะคนเป็นโรคนี้หากกินยาแล้วลืมรับประทานอาหารทำให้การตัดสินใจช้าและอาจถึงขั้นหมดสติระหว่างขับรถ และโรคเบาหวานยังทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมาด้วย อาทิ จอประสาทตาทำงานผิดปกติ มองเห็นไม่ชัด วิงเวียน มึนงง กะระยะไม่ถูก เช่นเดียวกับโรคทางสมองที่ส่งผลต่อการขับรถ รวมถึงโรคลมชักที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ดังนั้น แพทยสภาจึงเห็นว่ามาตรการที่จะช่วยแก้ปัญหาที่ต้นเหตุคือการใส่ใจในสุขภาพและสวัสดิการของพนักงานขับรถเป็นอันดับแรก ดังต่างประเทศที่มีเกณฑ์ระบุเป็นอันดับแรกว่าต้องมีสุขภาพแข็งแรง หรือหากมีโรคประจำตัวก็ต้องอยู่ภายใต้การดูแลรักษาของแพทย์ นอกจากนั้นยังมีกระบวนการติดตาม ตรวจสุขภาพพนักงานขับรถเป็นระยะ ทำรายงานว่าเมื่ออายุเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อาการของโรคเป็นอย่างไร เพราะโรคประจำตัวบางอย่างจะแสดงอาการโดยมีปัจจัยเกี่ยวพันกับอายุที่เพิ่มขึ้น จึงต้องมีการตรวจสุขภาพอยู่เสมอเช่นเดียวกับการต่ออนุญาตใบขับขี่
“ความแตกต่างที่ชัดเจนประการหนึ่งคือเมื่อเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ในต่างประเทศจะไม่มีการรีบด่วนสรุปสาเหตุ ว่าคนขับหลับใน คนขับกินเหล้า แต่จะตรวจหาสาเหตุอย่างละเอียด โดยเฉพาะปัญหาด้านสุขภาพ โรคประจำตัว รวมถึงปัจจัยอื่นๆ ทั้งทัศนวิสัย สภาพรถ รวมถึงปัญหาด้านจิตใจของพนักงานขับรถ” น.อ. (พิเศษ) นพ.อิทธิพรกล่าว
น.อ. (พิเศษ) นพ.อิทธพร ยังกล่าวว่า อีกมาตรการหนึ่งที่ควรให้ความสำคัญไม่แพ้กัน คือควบคุมเวลาการขับที่เหมาะสม ไม่ขับเกินเวลา และให้รถโดยสารสาธารณะมีพนักงานขับรถอย่างน้อย 2 คนคอยผลัดเปลี่ยนในการขับรถระยะไกล แต่ในประเทศไทยปัญหานี้ไม่ได้รับการแก้ไขเท่าที่ควรโดยเฉพาะในช่วงเทศกาลที่มีวันหยุดยาวต่อเนื่องกัน พนักงานบางคนต้องขับรถหลายรอบโดยไม่ได้พักผ่อนให้เพียงพอ
น.อ. (พิเศษ) นพ.อิทธพร กล่าวอีกว่า คณะกรรมการพิจารณามาตรฐานสุขภาพของผู้ขับขี่รถโดยสารสาธารณะ แพทยสภาได้ยื่นหนังสือไปยังกรมการขนส่งทางบก 3 ครั้ง และได้รับคำตอบว่ากำลังอยู่ในระหว่างดำเนินการ แพทยสภาจึงหวังให้มีการเร่งรัดการแก้ปัญหาดังกล่าว และทุกภาคส่วน ทุกหน่วยงานในสังคมต้องให้ความร่วมมือ กรมการขนส่งทางบกต้องร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุขในการตรวจสุขภาพพนักงาน ส่วนด้านวินัยจราจร นอกจากการบังคับใช้กฎหมายต้องเข้มงวดแล้ว กระทรวงศึกษาธิการก็ควรต้องปลูกฝังจิตสำนึกให้เด็กนักเรียนทุกคน เพื่อให้เติบโตขึ้นเป็นผู้ที่เคารพกฏจราจร

