สื่อไทยย่ำยีเด็กซ้ำซาก ต้องเชือดไก่ให้ลิงดู?

ละครซีรีส์เรื่อง "ฮอร์โมน วัยว้าวุ่น” นอกจากตกเป็นข่าวโด่งดังเพราะมีกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)บางคนทำตัวเป็น “คุณพ่อรู้ดี” ต้องการเข้าควบคุมเนื้อหาของละครแล้ว
ดาราสาววัยรุ่นที่แสดงเรื่องดังกล่าว ยังมีภาพที่ถูกแพร่ในเครือข่ายสื่อสังคมออนไลน์ว่า กำลังเสพยาเสพติด จนสื่อกระแสหลักนำมาเสนอเป็นอย่างแพร่หลาย
สื่อบางสำนักนำเสนอข่าวอย่างระมัดระวัง ไม่มีการเผยแพร่ภาพดาราวัยรุ่น ไม่มีระบุชื่อ นามสกุล ไม่ปรากฏภาพและชื่อของพ่อที่ออกมาแถลงขอโทษและขอความเห็นใจจากสังคม
สื่อมวลชนละเมิดสิทธิดาราสาวอย่างโจ่งแจ้ง
แต่มีหนังสือพิมพ์อย่างน้อย 4 ฉบับ เป็นยักษ์ใหญ่สองฉบับ
ฉบับแรกลงทั้งภาพขนาดใหญ่ของดาราสาววัยรุ่น และเด็กสาวอีกรายที่ถ่ายภาพคู่กัน ภาพและชื่อของพ่อดาราสาวที่ออกมาแถลงข่าวแบบเต็มๆ
ฉบับที่สอง ลงภาพและระบุชื่อพ่อดาราสาว พร้อมชื่อเล่นของลูก แต่ทำเป็นคาดตาด้วยแถบสีดำบนใบหน้าเด็กสาวและเพื่อนหญิงที่ถ่ายคู่กัน(ไม่รู้ว่าจะคาดหน้าไปเพื่ออะไรเพราะลงภาพพ่อ พร้อมชื่อ สกุล และชื่อเล่นดาราสาววัยรุ่นครบถ้วน)
อีก 2 ฉบับลงภาพพ่อพร้อมชื่อ สกุล แต่มีการเบลอหน้าหรือคาดแถบดำที่ตาของดาราสาววัยรุ่นและเพื่อน(การทำภาพเบลอและการคาดตาไม่มีประโยชน์ใดๆเช่นกันเพราะภาพและชื่อพ่อถูกเปิดเผยอย่างโจ่งแจ้งแล้ว)
(ยังไม่ได้ตรวจสอบสื่อมวลชนอื่นว่า นำเสนอละเมิดสิทธิเด็กอีกหรือไม่ ในลักษณะใด)
การลงภาพและข่าวในลักษณะละเมิดสิทธิเด็กของสื่อมวลชนไทยเคยมีมาอย่างต่อเนื่องในอดีต ซึ่งในระยะหลังดูเหมือนว่า สถานการณ์ดังกล่าวจะดีขึ้นเพราะองค์กรที่ทำงานด้านเด็กและองค์กรวิชาชีพ เช่น ยูนิเซฟ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สถาบันอิศราร่วมกันรณรงค์ เผยแพร่ความรู้และกฎหมายในด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิเด็กให้แก่ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนอย่างต่อเนื่องหลายปี
สื่อไทยล้าหลัง พัฒนาไม่ทันกฎหมายคุ้มครองเด็ก
ขณะเดียวกันมีการพัฒนากฎหมายด้านการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิเด็กและเยาวชนให้สอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กแห่งสหประชาชาติซึ่งมีกำหนดขั้นตอนการปฏิบัติในการคุ้มครองสิทธิเด็กมากขึ้นรวมทั้งการเพิ่มบทลงโทษผู้ที่ละเมิดสิทธิเด็กให้หนักขึ้นด้วย
แม้การพัฒนากฎหมายด้านนี้ของไทยค่อนข้างก้าวหน้าในระดับสากล แต่บุคคลากรในกระบวนการยุติธรรมโดยเฉพาะตำรวจและผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนทั้งใน พิธีกร บรรณาธิการจนถึงระดับปฏิบัติการมิได้พัฒนาวิธีคิดและการทำงานให้สอดคล้องกับระบบกฎหมายที่ก้าวล้ำหน้า เราจึงเห็นภาพและข่าวที่ละเมิดสิทธิเด็กและเยาวชนอยู่เป็นประจำ
เราอาจจะเห็นการนำเสนอข่าวและภาพข่าวที่มีการปิดบังหน้าตา ชื่อสกุลของเหยื่อ ผู้ต้องหาหรือจำเลยพอเป็นพิธีโดยเชื่อว่า ไม่เป็นการละเมิดกฎหมาย เพื่อหลีกเลี่ยงโทษทางอาญาเท่านั้น แต่มิได้มีความตระหนักอย่างแท้จริงว่า การนำเสนอภาพและข่าวต้องคำนึงถึงการคุ้มครองสิทธิเด็กเป็นสำคัญเพราะเด็กและเยาวชนเหล่านี้ต้องดำรงชีวิตอยู่ในสังคมอีกยาวนาน การถูกประจานให้อับอายขายหน้าต่อสาธารณะผ่านสื่ออาจกลายเป็น “ตราบาป”ไปตลอดชีวิต
ไม่มีคำขอโทษ-แสดงความเสียใจจากสื่อ
การขาดความตระหนักในเรื่องการคุ้มครองสิทธิเด็ก และคุ้นชินกับวิธีการนำเสนอภาพและข่าวแบบเดิมๆโดยไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงของสังคม เมื่อมีข่าวดาราสาววัยรุ่นเสพยาเสพติดพร้อมกับการแถลงข่าวของพ่อดาราสาว ทำให้สัญชาติญาณดั่งเดิมในการตระครุบเหยื่อลุกโพล่งขึ้น ไม่คำนึงถึงกฎหมายและจรรยาบรรณแข่งกันนำเสนอภาพและข่าวละเมิดสิทธิเด็กกันอย่างน่าละอาย
ไม่มีคำขอโทษ หรือการแสดงความเสียใจใดๆต่อสาธารณชนต่อการกระทำที่น่าละอายดังกล่าว เพราะต่างคิดว่า การขอโทษหรือการแสดงความเสียใจเสื่อมเสียต่อเกียติศักดิ์หรือศักดิ์ศรีของสื่อมวลชนอันยิ่งใหญ่?
นอกจากสื่อมวลชนแล้ว นักการเมืองบางคนยังฉกฉวยโอกาสพาครอบครัวของดาราสาวมาแถลงข่าวต่อสาธารณชนโดยมิได้คำนึงถึงผลที่จะเกิดขึ้นกับเด็กและครอบครัว ทั้งๆที่เรื่องควรจะยุติลงโดยเร็ว
ความฉับไวของประธานสภาการ นสพ.แห่งชาติ
อย่างไรก็ตามมีปรากฏการณ์อันน่ายินดีเล็กๆเกิดขึ้น เมื่อนายจักรกฤษ เพิ่มพูน ประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติได้ออกแถลงการณ์ในทันทีว่า “...การเสนอภาพและข่าวเช่นนี้ เป็นการกระทำผิดทั้งกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองเด็กซึ่งมีโทษทางอาญา และถือว่าเป็นการละเมิดจริยธรรม เป็นการกระทำซ้ำต่อผู้ประสบเคราะห์กรรมโดยเฉพาะที่เป็นเด็กและเยาวชนอย่างร้ายแรง
“ข้อบังคับว่าด้วยจริยธรรมแห่งวิชาชีพหนังสือพิมพ์ สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ พ.ศ.2541 ข้อ 15 ความเบางตอนที่เกี่ยวข้องการละเมิดสิทธิเด็ก ตราไว้ว่า “ในการเสนอข่าวหรือภาพใดๆ หนังสือพิมพ์ต้องคำนึง มิให้ล่วงละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุคคลที่ตกเป็นข่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องให้ความคุ้มครองอย่างเคร่งครัดต่อสิทธิมนุษยชนของเด็กในการเสนอข่าวต้องไม่เป็นการซ้ำเติมความทุกข์หรือโศกนาฎกรรมอันเกิดแก่เด็ก ไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง” ซึ่งในกรณีนี้ ปรากฎชัดว่า หนังสือพิมพ์ได้กระทำการฝ่าฝืนข้อกำหนดในการคุ้มครองสิทธิเด็ก
“การที่ภาพ และข้อความอันเป็นประเด็นสำคัญในการละเมิดสิทธิเด็กครั้งนี้ ซึ่งต่อมามีการแพร่กระจายไปในสังคมออนไลน์ และหนังสือพิมพ์ได้นำไปขยายความต่อ มีแหล่งที่มาจากเฟซบุ๊ค มิได้เป็นเหตุยกเว้นความรับผิดตามกฎหมาย รวมทั้งมิใช่เป็นคำอนุญาตที่สื่อสามารถที่จะนำไปตีพิมพ์ได้ ซึ่งหากพิเคราะห์เจตนาของผู้ที่โพสต์ภาพและข้อความนี้แต่แรก อาจเป็นด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ความไม่เข้าใจในภาพและข้อความ ซึ่งอาจถูกหยิบฉวยไปเป็นผลร้ายกับเธอในอนาคต
“กรณีนี้จะได้เสนอให้คณะกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ พิจารณาในการประชุมวันที่ 30 กรกฎาคมนี้
“ในขณะเดียวกัน ขอเรียกร้องให้ผู้ประกอบการหนังสือพิมพ์ทั้งหลาย ได้โปรดทบทวนและระงับการตีพิมพ์ภาพข่าว เด็ก ครั้งนี้ในทันที อีกทั้งผู้ที่ขยายความ วิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ในสื่อสังคมออนไลน์ ได้โปรดหยุดที่จะซ้ำเติมชะตากรรมของเด็กและครอบครัวนี้เช่นเดียวกัน“
ธุรกิจสื่อมวลชนไม่ใส่ใจพัฒนาบุคคลากร
หลังเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์พฤติกรรมของสื่อมวลชนที่ละเมิดสิทธิเด็กแล้ว หัวหน้าช่างภาพของสำนักข่าวแห่งหนึ่งซึ่งมีความรู้และให้ความสนใจในเรื่องการคุ้มครองสิทธิเด็กอย่างมากมาหารือว่า มีช่างภาพจำนวนหนึ่งบอกว่า ไม่เคยมีความรู้เกี่ยวกับกฎหมายคุ้มครองสิทธิเด็กเลย
ปรากฏการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า ในแวดวงธุรกิจสื่อสารมวลชนขาดความใส่ใจในการลงทุนพัฒนาบุคลาการหรือตัวผู้ประกอบวิชาชีพเองก็ขาดความกระตือรือล้นในการขวนขวายหาความรู้ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในการทำหน้าที่ของตัวเอง
สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สถาบันอิศรา และองค์วิชาชีพมีหลักสูตรในการอบรมผู้ประกอบวิชาชีพต่างๆอย่างต่อเนื่อง แต่สื่อบางแห่งปฏิเสธหรือไม่เคยส่งบุคคลากรเข้าอบรมด้วยข้ออ้างต่างๆนานา เช่น ไม่มีเวลา ไม่มีคนทำงาน ถ้าส่งไปอบรม
เพื่อลดปัญหาหรือมิให้เกิดมีการละเมิดสิทธิเด็กเหมือนช่วงที่ผ่านมา สื่อมวลชนให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรในทุกระดับโดยเฉพาะด้านกฎหมายที่จะทวีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะถ้าผู้แระกอบวิชาชีพในทุกระดับมีความรู้ความเข้าใจในด้านนี้มากขึ้น อาจจะทำให้เปลี่ยนแปลงวิธีคิดและวิธีการทำงานที่ระมัดระวังโดยเห็นความสำคัญในการคุ้มครองสิทธิเด็กมากขึ้น
เมื่อสื่อมวลชนตระหนักในเรื่องนี้ ก็จะทำให้ประชาชนสามารถเรียนรู้เรื่องการคุ้มครองสิทธิเด็กจากภาพและเรื่องราวที่สื่อมวลชนนำเสนอ
สาระสำคัญของกฎหมายคุ้มครองเด็ก
กฎหมายคุ้มครองสิทธิเด็กที่สำคัญมีอยู่ด้วยกัน 2 ฉบับ
ฉบับแรก คือ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 มีสาระสำคัญในการคุ้มครองสิทธิเด็กทั่วๆไปและเด็กที่ตกเป็น “เหยื่อ”ของสังคม
ในส่วนบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับสื่อมวลชนหรือ คุ้มครองมิให้เด็กถูกประจานต่อสาธารณะระบุว่า
“ห้ามมิให้ผู้ใดโฆษณาหรือเผยแพร่ทางสื่อมวลชนหรือสื่อสารสนเทศประเภทใด ซึ่งข้อมูลเกี่ยวกับตัวเด็กหรือผู้ปกครอง โดยเจตนาที่จะทำให้เกิดความเสียหายแก่จิตใจ ชื่อเสียง เกียรติคุณ หรือสิทธิประโยชน์อื่นใดของเด็ก หรือเพื่อแสวงหาประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ”(มาตรา27)
ผู้ใดฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ(มาตรา79)
ในกรณีดาราสาววัยรุ่นที่ตกเป็นข่าวที่มีการนำเสนอทั้งภาพ ชื่อตัว ชื่อพ่อหรือแม้จะปิดบังหน้าดาราสาว แต่เสนอทั้งภาพและชื่อของพ่อก็เข้าข่ายความผิดตามบทบัญญัติของกฎหมายเพราะสื่อมวลชนย่อมรู้อยู่แล้วว่า จะทำให้เกิดความเสียหายแก่จิตใจ ชื่อเสียง เกียรติคุณ หรือสิทธิประโยชน์อื่นใดของเด็ก
ข้ออ้างว่า ไม่รู้กฎหมายฟังไม่ขึ้น ข้ออ้างดังกล่าวยิ่งสะท้อนให้เห็นความไร้เดียงสาของบรรณาธิการหรือผู้รับผิดชอบระดับสูงของสื่อ
ฉบับที่สอง คือ พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 ซึ่งมีสาระสำคัญในการคุ้มครองเด็กและเยาวชนที่ตกเป็นผู้ต้องหาในชั้นพนักงานสอบสวน อัยการและ ตกเป็นจำเลยในชั้นการพิจารณาคดีของศาล
ในกฎหมายฉบับนี้ได้กำหนดวิธีการปฏิบัติเพื่อคุ้มครองสิทธิเด็กมิให้ถูกประจานต่อสาธารณะไว้อย่างชัดเจนทั้งในส่วนของพนักงานสอบสวนและในส่วนของสื่อมวลชน โดยในส่วนของพนักงานสอบสวนระบุว่า
“เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิเด็กหรือเยาวชนซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิด ห้ามมิให้เจ้าพนักงานผู้จับกุมเด็กหรือเยาวชน หรือพนักงานสอบสวนจัดให้มีหรืออนุญาตให้มีหรือยินยอมให้มีการถ่ายภาพหรือบันทึกภาพเด็กหรือเยาวชนซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิด เว้นแต่เพื่อประโยชน์ในการสอบสวน”(มาตรา76)
บทบัญญัติในมาตรานี้ เป็นการควบคุมเจ้าพนักงานหรือพนักงานสอบสวนโดยเฉพาะ แม้ไม่มีบทกำหนดโทษการฝ่าฝืนบทบัญญัติไว้ในกฎหมายฉบับนี้ แต่พนักงานสอบสวนที่ชอบเอาตัวผู้ต้องหาเด็กและเยาวชนมาคลุมหน้าให้สื่อมวลชนถ่ายภาพเพื่อเป็นผลงานหรือสนองความต้องการของนักการเมืองบางคนก็เสี่ยงต่อการถูกดำเนินการทางวินัยหรืออาจถูกผู้เสียหายดำเนินการคดีฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ได้
น่าที่จะมีองค์กรที่ทำหน้าที่ด้านการคุ้มครองสิทธิเด็กกล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่ชอบปฏิบัติในลักษณะนี้เป็นนิจศีลโดยมิได้คำนึงถึงผลร้ายที่เกิดแก่เด็กและเยาวชน หวังแต่เพียงโฆษณาผลงานต่อสาธารณชน
สำหรับในส่วนของสื่อมวลชนนั้นระบุว่า “ห้ามมิให้ผู้ใดบันทึกภาพ แพร่ภาพ พิมพ์รูป หรือบันทึกเสียง แพร่เสียงของเด็กหรือเยาวชนซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดหรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง หรือโฆษณาข้อความซึ่งปรากฏในทางสอบสวนของพนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ หรือในทางพิจารณาคดีของศาลที่อาจทำให้บุคคลอื่นรู้จักตัว ชื่อตัว หรือชื่อสกุล ของเด็กหรือเยาวชนนั้น หรือโฆษณาข้อความเปิดเผยประวัติการกระทำความผิด หรือสถานที่อยู่ สถานที่ทำงาน หรือสถานศึกษาของเด็กหรือเยาวชนนั้น
“ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับแก่การกระทำเพื่อประโยชน์ทางการศึกษาโดยได้รับอนุญาตจากศาลหรือการกระทำที่จำเป็นเพื่อประโยชน์ของทางราชการ”
บทบัญญัติในมาตรานี้ขยายการคุ้มครองเด็กและเยาวชนจากกฎหมายฉบับเดิมที่คุ้มครองเฉพาะจำเลยที่อยู่ในศาล เป็นผู้ต้องการในชั้นพนักงานสอบสวนแฃะอัยการด้วย
ผู้ใดฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน20,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ(มาตรา 192)
จะเห็นว่า โทษอาญาตามกฎหมายฉบับนี้กำหนดเพิ่มขึ้นจากกฎหมายศาลเยาวชนฉบับเก่าที่กำหนดไว้ว่า ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน
ตัวอย่างในกรณีนี้คือ การนำเสนอข่าวของเด็กสาวอายุ 16 ปีที่ขับรถบนโทลล์เวย์จนเกิดอุบัติเหตุมีผู้เสียชีวิต 10 ราย โดยสื่อมวลชนสัมภาษณ์แม่ของเด็กที่มารายการตัวต่อพนักงานสอบสวน บางฉบับนำเสนอภาพใบหน้าของเด็กสาว บางฉบับปิดบังหน้าเด็กสาว แต่กลับเปิดเผยภาพและชื่อของแม่เด็กสาว
ต้องเชือดไก่ให้ลิงดู?
ทั้งๆที่บทบัญญัติของกฎหมายกำหนดไว้ชัดเจน แต่คำถามคือทำไมสื่อมวลชนยังคงนำเสนอภาพและข่าวละเมิดสิทธิเด็กอยู่เป็นระยะๆ จนกระทั่งเกิดกรณีนำเสนอภาพและข่าวดาราสาววัยรุ่นในละครซีรีส์ชื่อดังเสพยาเสติด
นับแต่มีกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองเด็กบังคับใช้ มานานกว่า 20 ปี ไม่เคยมีสื่อมวลชนถูกดำเนินคดีในข้อหาละเมิดสิทธิเด็กแม้แต่รายเดียว จึงมีผู้เสนอว่า หากสื่อมวลชนรายใดยังคงนำเสนอภาพและข่าวละเมิดสิทธิเด็กอยู่เป็นประจำ ควรจะมีองค์กรด้านคุ้มครองสิทธิเด็กกล่าวโทษให้ดำเนินคดีสื่อมวลชนรายนั้นเป็นอย่างเพื่อให้เกิดความเกรงกลัว
เพราะความกฎหมายทั้งสองฉบับ เป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ไม่สามารถยอมความได้เหมือนกับคดีหมิ่นประมาท
ถ้าสื่อมวลชนรายใดถูกดำเนินคดี พนักงานสอบสวนต้องดำเนินการให้ถึงสุด
เชื่อว่า ถ้ามีการเชือดไกให้ลิงดูสักรายสองรายจะทำให้สื่อมวลชนระมัดระวังในการนำเสนอภาพและข่าวเกี่ยวกับเด็กมากยิ่งขึ้น.
