‘ดร.อัมมาร’ โยนคิดดันรพ.เป็นนิติบุคคล หวังแก้ปัญหาสภาพคล่อง
นักวิชาการทีดีอาร์ไอชี้ไทยขาดการพัฒนาระบบสารสนเทศรับส่งผู้ป่วย-บริการปฐมภูมิ เร่งหนุนวิจัยเสริม โยนคิดเเก้ปัญหาสภาพคล่องรพ.ขาดเเพทย์ ต้องดันเป็นนิติบุคคล เเต่ระวังซ้ำรอยรฟท.

วันที่ 29 ก.ค. 56 ศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาระบบสุขภาพ จัดสัมมนา ‘ระบบบริการสุขภาพไทยและงานวิจัยที่พึงประสงค์’ ณ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ช่วงแรกภายในงานได้มีการนำเสนอยุทธศาสตร์งานวิจัยในระบบบริการสุขภาพ โดยสรุป คือ มุ่งเน้นการวิจัยเชิงนโยบายที่จะสร้างองค์ความรู้เพื่อการพัฒนาระบบบริการสุขภาพในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า และต้องมีการสร้างระบบและกลไกสนับสนุนงานวิจัยที่เน้นคนเป็นศูนย์กลาง มองการพัฒนาคนเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ และมีการพัฒนาระบบและกลไกเพื่อสนับสนุนงานวิจัยบริการสุขภาพ มุ่งเน้นประเด็นวิจัยหลัก 6 เรื่อง ได้แก่ 1.เครือข่ายเขตบริการสุขภาพ 2.Medical Hub 3.Chronic care service system 4.ICT and Technology for service development 5.Public hospital governance และ 6.การพัฒนาบุคลากรในระบบบริการสุขภาพ
ศ.พิเศษ ดร.อัมมาร สยามวาลา นักวิชาการเกียรติคุณ มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวถึงนโยบายการจัดรูปแบบบริการสุขภาพของ 12 เครือข่ายเขตสาธารณสุขเป็นสิ่งที่ควรศึกษาวิจัยระบบการทำงาน แต่สิ่งที่ควรเร่งศึกษาวิจัยมากกว่านี้ คือกรณีกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ไม่มีระบบสารสนเทศในการรับส่งผู้ป่วย (Refer) ที่จัดการดีพอ ซึ่งกำลังเป็นปัญหาใหญ่ที่แก้ไม่ได้ นอกจากนี้ควรมีการศึกษาวิจัยเรื่องระบบบริการปฐมภูมิด้วย เพราะปัจจุบันเมืองใหญ่ ๆ ยังขาดสถานบริการเหล่านี้อยู่ ยกเว้นชนบทที่มีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) แล้ว
ด้านนโยบายเมดิคัลฮับนั้น ทีดีอาร์ไอเคยคำนวณว่า หากเราจัดให้มีการเพิ่มจำนวนแพทย์ให้ทันความต้องการได้ จะถือเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจประเทศ แต่ต้องเข้าใจว่า เป็นเรื่องไก่กับไข่ แม้เราจัดให้มีนักเรียนแพทย์มากขึ้นเพื่อให้ทันต่อความต้องการใช้บริการ แต่กลับพบว่า อาจารย์แพทย์ขาดแคลน เพราะถูกดึงตัวไปให้บริการทางการแพทย์ด้วย ดังนั้น การแก้ไขปัญหาทำแบบการเมืองไม่ได้ ซึ่ง ทางออกเดียวคือการจ้างแพทย์ต่างชาติเข้ามาให้บริการเฉพาะผู้ใช้บริการต่างชาติเท่านั้น แต่ก็อาจเป็นไปได้ยากอีก เมื่อเทียบกับการเปิดให้บริการในประเทศตนเองที่ดีกว่า
นักวิชาการทีดีอาร์ไอ กล่าวถึงการลงทุนในระบบบริการสุขภาพควรมีการใส่ใจรับผิดชอบให้มากขึ้น แต่ปัจจุบันจะเห็นโรงพยาบาลต่าง ๆ ได้รับค่าเสื่อมจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เท่านั้น จะพอหรือไม่เป็นเรื่องที่ทราบกันดีว่า สำนักงบประมาณชอบตัดงบประมาณที่ยื่นไป ทั้งที่ตนเองพยายามเสนอให้คงงบลงทุนไว้ เพราะจากตัวอย่างในหลายประเทศ เช่น อังกฤษ การตัดงบลงทุนจะทำให้ระบบสุขภาพเสื่อมลงเรื่อย ๆ จึงจำเป็นที่โรงพยาบาลต้องมีอุปกรณ์ใหม่รองรับตลอดเวลา
ทั้งนี้ นักวิชาการทีดีอาร์ไอ ยังเสนอการเเนวทางเพิ่มสภาพคล่องในการบริหารจัดการที่เหมาะสม โรงพยาบาลควรมีสถานะเป็นนิติบุคคลที่สามารถจ้างแพทย์ได้เอง แต่ก็มีข้อเสีย นิติบุคคลเกิดขี้นได้ก็ปิดตัวได้ ฉะนั้นไทยพร้อมหรือไม่ที่จะเห็นโรงพยาบาลในประเทศปิดตัวลง
“ตามกฎหมายรัฐบาลจะนำเงินไปให้นิติบุคคลไม่ได้ แต่ตราบใดที่เราต้องการให้โรงพยาบาลทุกแห่งอยู่ได้จะต้องมีการให้เงินสนับสนุน แต่อาจเป็นปัญหาให้มีการใช้จ่ายเงินไม่เกิดประโยชน์ ยกตัวอย่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เป็นรัฐวิสาหกิจ ได้เขียนไว้ในกฎหมายว่าหากขาดทุนรัฐจะต้องสมทบให้ จึงทำให้รฟท.ขณะนี้ติดหนี้รัฐบาลเป็นพันล้านบาทอย่างไม่รับผิดชอบ” ศ.พิเศษ ดร.อัมมาร กล่าวทิ้งท้าย .
