สวัสดิการรักษาพยาบาล บุคลากร ม.ของรัฐ แย่! โพลล์ระบุ รัฐเปลี่ยนด่วน
ศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา โดยอาจารย์สิงห์ สิงห์ขจร อาจารย์ประจำสาขาวิชาการประชาสัมพันธ์และการสื่อสารองค์การในฐานะประธานคณะกรรมการศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ เผยผลสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดตั้งกองทุนรักษาพยาบาลของบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ โดยสำรวจบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 976 คน เก็บข้อมูลในวันที่ 24 - 30 กรกฏาคม 2556 มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
เมื่อถามถึงความพอใจในสวัสดิการในการรักษาพยาบาลหรือไม่ 93% ระบุ ไม่พอใจ และเกือบ 100% อยากให้มีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องสวัสดิการในการรักษาพยาบาล โดยให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข ดำเนินการปรับเปลี่ยนเรื่องของสวัสดิการในการรักษาพยาบาล
ทั้งนี้ อาจารย์สิงห์ กล่าวว่า ปัจจุบันบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ ส่วนใหญ่ใช้สิทธิประกันสังคม โดยไม่ได้ใช้สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลแบบข้าราชการ แต่บุคลากรในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ ในปัจจุบันมีจำนวนประมาณ 100,000 คนทั่วประเทศ จากมหาวิทยาลัยของรัฐจำนวน 16 สถาบัน มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐจำนวน 15 สถาบัน มหาวิทยาลัยราชมงคลจำนวน 9 สถาบัน และมหาวิทยาลัยราชภัฏ จำนวน 40 สถาบัน รวมสถาบันอุดมศึกษาของรัฐมีจำนวนรวม 80 สถาบัน ซึ่งกลุ่มตัวอย่างในการสำรวจครั้งนี้ใช้เกณฑ์ตารางสำเร็จรูปของ Taro Yamane กำหนดว่า ประชากรเกิน 100,000 คนต้องการความเชื่อมั่น 99% และความผิดพลาดไม่เกิน 5% ต้องใช้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 900 กลุ่มตัวอย่าง
ด้านรศ. ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ เลขาธิการ ศูนย์ประสานงานบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษา กล่าวว่า ความร่วมมือกับบ้านสมเด็จโพลล์ในครั้งนี้ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะปัญหาความเหลื่อมล้ำไม่เป็นธรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษา มีหลายประเด็นที่ผู้บริหารในทุกระดับเพิกเฉย สังคมควรรับรู้และพิจารณาผ่านการสำรวจความคิดเห็นของโพลล์ ซึ่งสอดคล้องกับหนึ่งในวัตถุประสงค์การก่อตั้งศูนย์ประสานงานฯ คือ การส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น และเสรีภาพทางวิชาการ ร่วมกับองค์กรต่างๆ ความร่วมมือกับบ้านสมเด็จโพลล์ในเรื่องของความเหลื่อมล้ำกองทุนสุขภาพ จะสะท้อนความรู้สึกของบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษาได้เป็นอย่างดี
ด้าน อ.ดร.เฟื่องอรุณ ปรีดีดิลก อาจารย์จาก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ความเหลื่อมล้ำในระบบสุขภาพของไทยมีความแตกต่างกันไปในหลายประเด็น ทั้งในเรื่องงบประมาณ ความแตกต่างด้านชุดสิทธิประโยชน์การรักษา ซึ่งบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษา 70% มีสถานะเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย ที่ยังไม่มีกฎหมายชัดเจน ก่อกำเนิดมากว่า 14 ปีตามมติ ครม. เมื่อปี 2542 ที่ให้เปลี่ยนสถานะจากข้าราชการมาเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยนั้น ปัจจุบัน ส่วนใหญ่อยู่ในระบบประกันสังคมไปพลาง และมีบางส่วนที่เป็นข้าราชการที่เปลี่ยนสถานะมา ยังอยู่ในระบบราชการเดิมแต่สถานะเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย ซึ่งมีความแตกต่าง