"ธาริต" ยันหมายจับคดีภาษี 5 ราย -"วีรยุทธ -สายธาร- สุรเชษฐ์" เผ่นหนีนอกปท.
"ธาริต" ยันศาลอาญาอนุมัติออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องคดีคืนภาษี ลอตแรก 5 ราย "ประสิทธิ์ -กิตติศักดิ์ อัญญโชติ" สองพ่อลูก ชาวนา-ลูกจ้าง โผล่ติดชื่อด้วย "วีรยุทธ -สายธาร- สุรเชษฐ์" เผ่นหนีออกนอกประเทศแล้ว
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2556 ที่กระทรวงยุติธรรม นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แถลงความคืบหน้าการสอบสวนคดีกรมสรรพากรคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม จำนวน 4,600 ล้านบาท ว่า เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2556 ที่ผ่านมา ศาลอาญา ได้อนุมัติหมายจับผู้เกี่ยวข้องในคดีนี้ จำนวน 5 รายแรกแล้ว ประกอบไปด้วย
1.นายวีรยุทธ แซ่หลก หรือ นายธนยุทธ ดลธนโกเศศ บัตรประจำตัวประชาชน เลขที่ 1-1015-00088-57-6 ในข้อหากระทำความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกง เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน โดยเจตนาหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงภาษีมูลค่าเพิ่ม กระทำการใดๆโดยความเท็จ โดยฉ้อโกง หรืออุบาย หรือโดยวิธีการอื่นใดในทำนองเดียวกัน อันเป็นความผิดตามมาตรา 90/4(6) แห่งประมวลรัษฎากร และมาตรา 341 ประกอบมาตรา 83 แห่งประมวลกฎหมายอาญา
2. นางสาวสายธาร แซ่หลก บัตรประจำตัวประชาชน เลขที่ 3-1021-02220-55 ในข้อหากระทำความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกง เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนโดยเจตนาหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงภาษีมูลค่าเพิ่ม กระทำการใดๆโดยความเท็จ โดยฉ้อโกง หรืออุบาย หรือโดยวิธีการอื่นใดในทำนองเดียวกัน อันเป็นความผิดตามมาตรา 90/4(6) แห่งประมวลรัษฎากร และมาตรา 341 ประกอบมาตรา 83 แห่งประมวลกฎหมายอาญา
3. นายสุรเชษฐ์ มหารำลึก บัตรประจำตัวประชาชน เลขที่ 1-1004-00002-19-9 ในข้อหากระทำความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกง เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนโดยเจตนาหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงภาษีมูลค่าเพิ่ม กระทำการใดๆโดยความเท็จ โดยฉ้อโกง หรืออุบาย หรือโดยวิธีการอื่นใดในทำนองเดียวกัน อันเป็นความผิดตามมาตรา 90/4(6) แห่งประมวลรัษฎากร และมาตรา 341 ประกอบมาตรา 83 แห่งประมวลกฎหมายอาญา
4. นายประสิทธิ์ อัญญโชติ บัตรประจำตัวประชาชน เลขที่ 3-1012-01192-03-3 ในข้อหากระทำความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกง เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนโดยเจตนาหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงภาษีมูลค่าเพิ่ม กระทำการใดๆโดยความเท็จ โดยฉ้อโกง หรืออุบาย หรือโดยวิธีการอื่นใดในทำนองเดียวกัน อันเป็นความผิดตามมาตรา 90/4(6) แห่งประมวลรัษฎากร และมาตรา 341 ประกอบมาตรา 83 แห่งประมวลกฎหมายอาญา
5. นายกิตติศักดิ์ อัญญโชติ บัตรประจำตัวประชาชน เลขที่ 1-2699-00019-96-9 ในข้อหากระทำความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกง เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนโดยเจตนาหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงภาษีมูลค่าเพิ่ม กระทำการใดๆโดยความเท็จ โดยฉ้อโกง หรืออุบาย หรือโดยวิธีการอื่นใดในทำนองเดียวกัน อันเป็นความผิดตามมาตรา 90/4(6) แห่งประมวลรัษฎากร และมาตรา 341 ประกอบมาตรา 83 แห่งประมวลกฎหมายอาญา
นายธาริต กล่าวว่า สำหรับผู้เกี่ยวข้องที่ถูกออกหมายจับ ทั้ง 5 ราย ครั้งนี้ อยู่ในกลุ่มเอกชน ส่วนผู้เกี่ยวข้องในส่วนเจ้าหน้าที่รัฐ ล่าสุดกระทรวงการคลัง ได้จัดส่งรายชื่อมาให้แล้ว จำนวน 24 ราย แต่ยังไม่ขอเปิดเผยรายชื่อ เนื่องจากจะต้องมีการสอบยันว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยจริงหรือไม่
ผู้สื่อข่าวถามว่า ผู้ที่ออกหมายจับ 5 คน ยังอยู่ในประเทศไทยหรือไม่ นายธาริต ระบุว่า ในส่วนของนายวีรยุทธ นางสาวสายธาร และนายสุรเชษฐ์ น่าจะออกไปนอกประเทศแล้ว แต่นายประสิทธิ์ และนายกิตติศักดิ์ ยังอยู่ หลังจากได้รับอนุมัติหมายจับมาแล้ว ดีเอสไอ จะรีบติดตามตัวบุคคลทั้ง 5 มาดำเนินคดีโดยเร็วต่อไป”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับนายกิตติศักดิ์ อัญญโชติ และนายประสิทธิ์ อัญญโชติ ก่อนหน้านี้ สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org เคยตรวจสอบพบว่า ปรากฏรายชื่อเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นใหญ่ในหลายบริษัท ที่ได้รับคืนภาษีครั้งนี้
แต่สถานะที่แท้จริงแล้วมีอาชีพทำนาและเป็นลูกจ้างโรงงานทั้งสองคนเป็นพ่อ-ลูกกัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบสำนวนการสอบสวนคดีนี้ ของ ดีเอสไอ มีการระบุว่า คดีนี้มีรูปแบบกระทำความผิดเป็นขบวนการ มีการวางแผนแบ่งงานกันทำอย่างเป็นขั้นเป็นตอน อย่างซับซ้อนและแยบยล และมีเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นผู้สนับสนุนหรือเป็นสวนหนึ่งของขบวนการ มีลักษณะเป็นการทำลายระบบภาษีอากร และจากการสืบสวนสอบสวน พบว่า มีการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มไปแล้วกว่า 4,600 ล้านบาท
จากการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเบื้องต้นพบว่า กลุ่มบุคคลผู้กระทำความผิด ได้จัดตั้งนิติบุคคลขึ้นหลายบริษัท ในเขตบางรัก กรุงเทพมหานคร และจังหวัดสมุทรปราการ โดยการเชิดบุคคลอื่นเข้ามาเป็นกรรมการผู้มีอำนาจ
โดยมีนายกิตติศักดิ์ อัญญโชติ เป็นผู้ติดต่อรวบรวมสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้านของบุคคลที่มีภูมิลำเนาอยู่ต่างจังหวัด ซึ่งมีฐานะยากจน และมีรายได้น้อย ในพื้นที่จังหวัดพิจิตร ตาก และนครสวรรค์ โดยให้ค่าตอบแทนรายละ 200 บาท อ้างว่าจะนำไปติดต่อเกี่ยวกับการเปิดบริษัทหรือเกี่ยวกับสิทธิทางการเกษตร
จากนั้น กลุ่มบุคคลดังกล่าวก็จะนำเอกสารหลักฐานไปจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล มีทั้งกลุ่มนิติบุคคลที่เป็นผู้ขายสินค้า และกลุ่มนิติบุคคลที่ขอคืนภาษี จากกรมสรรพากร ก่อนจะปิดบริษัทหลังได้รับคืนภาษีแล้ว
-----------
อ่านประกอบ :
มัดกรมสรรพากร “หุ้นใหญ่”บริษัทขอคืนภาษี 3.6 พันล.ที่แท้เป็น“ชาวนา-ลูกจ้าง”โรงงาน
พลิกปูม 3 ตัวละคร“บอล-หลิน-คิง”ก่อนถูกหมายจับคดีภาษี 4.2 พันล้าน