สภาการหนังสือพิมพ์ฯ ยุฟ้องสื่อเสนอข่าว-ภาพละเมิดสิทธิเด็กเป็นกรณีตัวอย่าง
สภาการหนังสือพิมพ์ฯ ยุฟ้องสื่อนำเสนอข่าว-ภาพละเมิดสิทธิเด็กตามกม. หวังเป็นกรณีตัวอย่าง แพทย์จิตวิทยาชี้เด็กอาจเครียดฉับพลันถึงขั้นฆ่าตัวตาย ด้านพม.ชงตั้งองค์กรกลางดูแลขอบเขตอีกทอดหนึ่ง

วันที่ 2 ส.ค. 56 คณะอนุกรรมการเฉพาะกิจเพื่อพัฒนาเครื่องมือในการเฝ้าระวังการละเมิดสิทธิมนุษยชนทางสื่อ ในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) จัดสัมมนา ‘เด็กคลุมโม่ง:คุ้มครองหรือละเมิด’ ณ สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
น.ส.เข็มพร วิรุณราพันธ์ ผู้จัดการแผนงานสื่อสร้างสุขภาวะเยาวชน กล่าวว่า แม้จะมีกฎหมายคุ้มครองสิทธิเด็ก แต่ยังพบปัญหาการละเมิดอยู่ ดังเช่นกรณีการนำเสนอข่าวโดยใช้นามสมมติอย่างเดียวไม่พอ จำเป็นต้องปกปิดชื่อพ่อแม่ ที่อยู่ สถาบันการศึกษา และอื่น ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อเด็กได้ ซึ่งสื่อมวลชนอาจไม่คำนึงถึง กลับเน้นการขายข่าว ความรวดเร็ว จนทำให้เด็กไม่สามารถมีชีวิตปกติได้ ทั้งที่สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องอ่อนไหวและละเอียดอ่อน นอกจากนี้ยังมีเด็กกลุ่มพิเศษที่มีความอ่อนไหวมากกว่า ปรากฏการนำเสนอในรายการเกมโชว์และทอล์คโชว์ทั่วไป ซึ่งหลายกรณีมีการตั้งคำถามเชิงกดดันเกินความสามารถเด็กที่จะตอบหรือแสดงออกได้
“สังคมไทยยังขาดมาตรฐานด้านจริยธรรมการนำเสนอข่าว ซึ่งเท่าที่เห็นคงมีเพียงสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสที่มีการสร้างกรอมจริยธรรมเกี่ยวกับการสัมภาษณ์และนำเสนอข่าว ทั้งนี้กังวลว่าสื่อโซเซียลมีเดียจะกลายเป็นประเด็นที่มีความซ้ำซ้อนในอนาคตให้แก้ไขต่อไป” ผจก.แผนงานสื่อสร้างสุขภาวะเยาวชน กล่าว
ด้านน.ส.วาสนา เก้านพรัตน์ ผอ.มูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก กล่าวว่าสื่อมวลชนไทยมักนำเสนอข่าวแบบปรากฏการณ์ จ้องแต่ตามหาความจริงว่า เด็กเป็นใคร เพื่อวัดว่าใครนำเสนอได้ลึกกว่า ทั้งที่ความจริงควรจะเปลี่ยนแหล่งข่าวไปสอบถามแพทย์ต่อผลกระทบที่จะเกิดกับเด็กแทน ซึ่งการนำเสนอข่าวเช่นนี้จะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในสังคมได้มากกว่า
ด้านนายจักร์กฤษ เพิ่มพูล ประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ กล่าวว่า สื่อมวลชนทราบดีเกี่ยวกับการรายงานข่าวเด็กปัจจุบันที่ละเมิดสิทธิ แต่ด้วยปัจจัยแวดล้อมหลายด้าน โดยเฉพาะการแข่งขันระหว่างสื่อด้วยกัน ทำให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวเรื่อยมา ยกตัวอย่างกรณีหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ 2 ฉบับ ที่มีการละเมิดสิทธิเด็กในการนำเสนอข่าวนักแสดงรายหนึ่งจากซีรี่ย์ดัง เหตุผลเพียงเพราะบรรณาธิการข่าวกลัวว่าหนังสือพิมพ์อีกฉบับจะนำเสนอข่าวที่ชัดเจนกว่าเท่านั้น ซึ่งสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติได้ออกแถลงการณ์ทันที จนสร้างความเข้าใจพร้อมจะระมัดระวังในการนำเสนอข่าวมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม มีนักกฎหมายบางท่านออกมาระบุว่า ตราบใดที่เด็กยังไม่เป็นผู้ต้องหาหรือผู้กระทำความผิด สื่อสามารถตีพิมพ์ชื่อและภาพได้ ดังนั้นเพื่อความเข้าใจที่ตรงกันสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติจะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ อธิบดีศาลเด็กและเยาวชน บรรณาธิการข่าวทั้งสื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ และโทรทัศน์ ร่วมพูดคุยหาแนวทางที่ชัดเจนในการปฏิบัติต่อไป ทั้งนี้หากสื่อยังมีการนำเสนอภาพที่ละเมิดสิทธิเด็กอีก ยินดีสนับสนุนให้มีการกล่าวโทษร้องทุกข์สื่อตามกฎหมายเพื่อเป็นกรณีตัวอย่าง แต่เท่าที่มีข้อมูล ยังไม่เคยพบผู้เสียหายฟ้องสื่อเลย
นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ผอ.สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กล่าวถึงการนำเสนอข่าวที่ละเมิดสิทธิเด็กของสื่อมวลชนทำให้เด็กเกิดผลกระทบ 2 ด้าน คือ 1.ทางด้านสุขภาพจิตต่อเด็ก โดยไม่ว่าเด็กจะเป็นผู้กระทำ ผู้ถูกกระทำ หรือพยาน จะทำให้เกิดภาวะกระทบกระเทือนจิตใจ เครียดฉับพลัน สุดท้ายเมื่อเก็บกดมาก ๆ ก็จะฆ่าตัวตาย และ 2.ทางด้านสุขภาพจิตต่อสังคม จะทำให้เด็กเกิดการเลียนแบบในพฤติกรรมทันที, จำไว้แต่จะเลียนแบบเมื่อเกิดเหตุการณ์จำเป็น หรือพยายามนำบุคลิกภาพที่เห็นผ่านสื่อมาเป็นบุคลิกประจำตัว
ส่วนกรณีคลุมโม่งเด็กแถลงข่าวนั้น แม้ไม่ผิดกฎหมายในสายตาสื่อมวลชน แต่หากศึกษาเจตนารมณ์ของกฎหมายให้ดีจะพบให้คุ้มครองเด็กทั้งทางร่างกาย จิตใจ สังคม และอนาคต ดังนั้นการคลุมโม่งจึงผิดกฎหมายชัดเจน พร้อมกำชับให้สื่อมวลชนหมั่นศึกษาความรู้เพิ่มเติมเพื่อประโยชน์ในการนำเสนอข่าวด้วย
พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ ที่ปรึกษา (สบ.10) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า เมื่อมีผู้เสียหายเด็กแจ้งความขึ้น ตำรวจไม่มีนโยบายจะนำเสนอข่าวให้สังคมรับรู้ เพราะไม่เกิดประโยชน์เลย แต่บางครั้งการที่ตำรวจนำเสนอข่าวนั้นเพียงเพราะต้องการให้เด็กได้ดูเป็นเยี่ยงอย่างถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นต่อตนเอง หรือต้องการประชาสัมพันธ์ผลงานของตำรวจเท่านั้น ส่วนการนำเด็กคลุมโม่งไปชี้จุดเกิดเหตุเพื่อประกอบการทำแผนรับสารภาพ นอกจากการคลี่คลายคดีแล้ว ยังหวังว่าจะได้หลักฐานเพิ่มจากการทำสำนวนอีกด้วย
ขณะที่ว่าที่ร้อยตรีศรันย์ สมานพันธ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กล่าวว่า การนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนปัจจุบันคือการรายงานข้อเท็จจริงที่มีประโยชน์ต่อสังคม หากแต่วิธีการนำเสนอแตกต่างกันขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมองค์กร และหากมองเฉพาะเด็ก พม.หนีไม่พ้นที่จะทำงานร่วมกับนานาชาติ ภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ดังนั้นเพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิเด็ก ควรสนับสนุนให้เกิดองค์กรกลางในการกำกับดูแลขอบเขตการนำเสนอข่าวที่ไม่ละเมิดสิทธิเด็กให้ชัดเจนต่อไป .
ที่มาภาพ: http://www.chiangmai.m-society.go.th/main.php?mod=/showdownload/1426/
