ไอเดียใหม่ "สุรพงษ์" เปิดให้เอกชน ตรวจลงตราวีซ่าต่างแดนแทนราชการ
"สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล" รมว.กระทรวงต่างประเทศ ไอเดียกระฉูด เตรียมเปิดให้เอกชน รับบริการตรวจลงตราวีซ่าในต่างแดนแทนราชการ อ้างเหตุผลจำนวนคำร้องมามี พื้นที่ทำงานแออัด ภาพลักษณ์เสียหาย เกิดปัญหาทุจริตง่าย ยันรายได้ไม่ลด - กฤษฎีกา ชี้ไม่เข้าข่ายพรบ.ให้เอกชนเข้าร่วมงานฯ

ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า ขณะนี้กระทรวงการต่างประเทศ มีนโยบายที่จะเปิดให้บริษัทเอกชนเข้ามาเป็นตัวแทน ในการบริการรับคำร้องขอรับการตรวจลงตราหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทาง (วีซ่า) ให้แก่สถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ ประเทศไทยในต่างประเทศ ซึ่งมีปริมาณการรับคำร้องประมาณ 50,000 รายต่อปี เพื่อช่วยให้งานด้านนี้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศ ให้เหตุผลประกอบการดำเนินงานตามนโยบายนี้ว่า ปัจจุบันจำนวนผู้ที่จะประสงค์ขอรับการตรวจลงตราหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทาง (วีซ่า) มีจำนวนมาก ขณะที่แผนกกงสุลของสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ของประเทศไทยในต่างประเทศ มีขนาดเล็กไม่สามารถรองรับปริมาณของผู้มายื่นคำร้องขอรับการตรวจลงตราฯ ได้อย่างเหมาะสม เกิดความแออัด ไม่เป็นระเบียบ ผู้มารับบริการต้องใช้เวลารอนานมากกว่าปกติ เกิดปัญหาความปลอดภัยแก่เจ้าหน้าที่และที่ทำการของราชการ และส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทย เกิดปัญหาการประพฤติมิชอบขึ้นได้ง่าย
สำหรับแนวทางดำเนินการ มีดังนี้
(1) เอกชนเป็นผู้ลงทุนในการจัดหาสถานที่ที่เหมาะสม โดยความเห็นชอบของกระทรวงการต่างประเทศ สถานเอกอัครราชทูต หรือสถานกงสุลใหญ่เพื่อเป็นศูนย์ให้บริการรับคำร้องขอรับการตรวจลงตราฯ รวมทั้งการจ้างพนักงานและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ
(2) เอกชนเสนอเป็นตัวแทนในการรับคำร้องขอรับการตรวจลงตราฯ แทนกระทรวงการต่างประเทศ โดยไม่ได้ขอให้สถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่เป็นผู้ว่าจ้างให้เป็นตัวแทนรับคำร้องขอ และมิได้เสนอผลประโยชน์ตอบแทนใด ๆ แก่รัฐ
นอกจากนี้ รัฐยังได้รับค่าธรรมเนียมการตรวจลงตราฯ ตามกฎหมายทุกประการ
(3) เอกชนจะเรียกเก็บค่าบริการจากผู้มายื่นคำร้องขอรับการตรวจลงตราฯ โดยการกำหนดอัตราค่าบริการต้องได้รับความเห็นชอบจากสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ด้วย
(4) สถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ยังเป็นผู้ควบคุมและดำเนินการตรวจลงตราฯ โดยเอกชนทำการแต่เพียงรับคำขอ ตรวจ จัดเก็บข้อมูล และรับส่งเอกสารให้แก่ผู้มาขอรับบริการ
โดยแนวทางการดำเนินการทั้งหมด กระทรวงการต่างประเทศ สถานเอกอัครราชทูต หรือสถานกงสุลใหญ่จะต้องลงนามแต่งตั้งให้เอกชนเข้ามาเป็นตัวแทนดังกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบพบว่า กระทรวงการต่างประเทศ ได้พิจารณาเรื่องนี้แล้วเห็นว่า การให้บริษัทเอกชนเป็นตัวแทนในการบริการรับคำร้องการตรวจลงตราฯ ไม่เข้าข่ายการจ้างหรือการร่วมลงทุน เนื่องจาก กระทรวงการต่างประเทศ สถานเอกอัครราชทูต หรือสถานกงสุลใหญ่มิได้จ่ายค่าดำเนินการใด ๆ แก่เอกชน
ขณะที่เอกชนมิได้มีค่าตอบแทนใด ๆ ให้แก่กระทรวงการต่างประเทศ สถานเอกอัครราชทูต หรือสถานกงสุลใหญ่
ส่วนรายได้จากค่าธรรมเนียมการตรวจลงตราฯ ยังคงได้เท่าเดิม และการทำสัญญาเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นการแต่งตั้งให้เป็นผู้ดำเนินการแทนสถานเอกอัครราชทูตหรือสถานกงสุลใหญ่ ภายใต้เงื่อนไขที่กระทรวงการต่างประเทศ สถานเอกอัครราชทูต หรือสถานกงสุลใหญ่กำหนด มิใช่สัญญาว่าจ้าง และไม่ผูกพันงบประมาณของทางราชการ
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบพบว่า ล่าสุดกระทรวงการต่างประเทศ ได้มีหนังสือ ด่วนมาก ที่ กต 0303/8486 ลงวันที่ 10 เมษายน 2556 ถึงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อขอหารือเกี่ยวกับการดำเนินงานตามนโยบายนี้ ใน 2 ประเด็น คือ
1. การแต่งตั้งให้เอกชนเป็นตัวแทนในการให้บริการรับคำร้องขอรับการตรวจลงตราฯ เข้าข่ายตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 หรือไม่ หากเข้าข่ายตามพระราชบัญญัติดังกล่าวจะต้องดำเนินการอย่างไร
2. หากไม่เข้าข่ายตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานฯ กระทรวงการต่างประเทศ สถานเอกอัครราชทูต หรือสถานกงสุลใหญ่ สามารถลงนามในสัญญาแต่งตั้งบริษัทเอกชนให้เป็นตัวแทนในการให้บริการรับคำร้องการตรวจลงตราฯ ได้โดยเอกเทศหรือไม่
เบื้องต้น คณะกรรมการกฤษฎีกา มีความเห็นว่า การแต่งตั้งตัวแทนดำเนินการรับเอกสารจากผู้ขอรับตรวจลงตราฯ ตามข้อหารือนี้เป็นเพียงการดำเนินการเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่การตรวจลงตราฯ ของกระทรวงการต่างประเทศ สถานเอกอัครราชทูต หรือสถานกงสุลใหญ่เท่านั้น และไม่เป็นการเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานฯ
ส่วนการที่กระทรวงการต่างประเทศ สถานเอกอัครราชทูต หรือสถานกงสุลใหญ่จะดำเนินการแต่งตั้งเอกชนให้เป็นตัวแทนเพื่อกระทำการดังกล่าว กระทรวงการต่างประเทศย่อมต้องพิจารณาอำนาจหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง และปฏิบัติให้สอดคล้องต่อไป
