ระบบกล่าวหา เกิดจำเลยสังคม สตช.ยกเครื่องงานสอบสวน แก้ปมจับแพะ
หากพูดถึงกระบวน การยุติธรรมของไทยนั้น การค้นหาความจริงในคดีแพ่ง-อาญาที่ผ่านมา จะใช้หลักการค้นหาความจริงใน "ระบบกล่าวหา" ซึ่งเป็นระบบที่ใช้ในวิธีพิจารณาทางแพ่งและอาญาในการค้นหาความจริงจากพยาน หลักฐานที่ได้มา เพื่อนำมาหักล้างกับข้อกล่าวหา เพื่อให้ศาลทำการวินิจฉัยตัดสิน

แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงสร้างปัญหาและทำให้เกิดข้อสงสัยมาโดยตลอดว่า กระบวนการดังกล่าวสร้างความยุติธรรมได้จริงหรือไม่ เพราะใครก็สามารถกล่าวหาผู้อื่นได้ ถ้ามีหลักฐานพยาน (เท็จ) ได้สมจริงกว่ากัน ???
“ผมไม่ได้ทำ ผมบริสุทธิ์ ทำไมไม่มีใครเชื่อผม” เสียงของหนุ่มใหญ่วัย 36 ปี นามว่า นายชรินทร์ ช้ำเกตุ คนขับรถแท็กซี่ หมายเลขทะเบียน มจ 621 กรุงเทพมหานคร ที่เดินทางมาสถานีตำรวจนครบาลลาดกระบังเพื่อต้องการแสดงความบริสุทธิ์ของตัว เอง หลังต้องตกเป็นผู้ต้องสงสัยก่อเหตุในคดีชิงทรัพย์และข่มขืนอีกด้วย
ย้อนกลับไปกลางดึกวันที่ 1 กรกฎาคม 2555 ร้อยเวร สน.ลาดกระบัง ได้รับแจ้งจาก น.ส.ชลลดา จาระสิทธิ์ พนักงานฝ่ายครัวการบินของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ระบุว่าถูกโชเฟอร์แท็กซี่ โตโยต้า อัลติส สีเขียวเหลือง ป้ายเหลืองทะเบียน มจ 621 กรุงเทพมหานคร ใช้อาวุธมีดจี้ชิงทรัพย์ได้เงินสดไป 1,500 บาท พร้อมโทรศัพท์ยี่ห้อไอโฟนและแบล็คเบอร์รี่ รวมมูลค่ากว่า 5 หมื่นบาท
ผู้เสียหายเล่าว่า เรียกรถแท็กซี่จากสถานบันเทิงย่านอาร์ซีเอให้ไปส่งที่ศรีนครินทร์ โดยขับออกนอกเส้นทางซึ่งอ้างว่าเป็นทางลัดและไปจอดที่หน้าวัดคุณแม่จันทร์ ถนนเลียบทางคู่ขนานมอเตอร์เวย์ แขวงคลองสองต้นนุ่น เขตลาดกระบัง จากนั้นได้กดปิดล็อกประตูรถพร้อมสั่งให้ส่งกระเป๋ามา ด้วยความที่กลัวถูกทำร้ายจึงยื่นทรัพย์สินให้ไป ก่อนจะเปิดประตูรถวิ่งหลบหนีออกมา หลังสอบปากคำเสร็จสิ้นลงได้มีการระดมทีมสืบสวนตามล่าคนร้ายรายนี้ โดยอาศัยจากเบาะแสข้อมูลทะเบียนรถทำให้ทราบว่านายชรินทร์เป็นผู้ขับขี่รถ คันนี้
ด้านนายชรินทร์ เล่าว่า วันที่ 2 กรกฎาคม 2555 ได้รับการติดต่อจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ลาดกระบังแจ้งว่า รถของตนไปก่อเหตุในพื้นที่ สน.ลาดกระบัง จึงเดินทางไปแสดงความบริสุทธิ์ใจ เมื่อไปถึงปรากฏว่ามีผู้เสียหายจำนวนมากได้มาร้องทุกข์และชี้ว่าตนเป็นผู้ กระทำผิด นับจากวินาทีนั้นอิสรภาพของตนได้สิ้นสุดลงทันที เพราะทะเบียน มจ 621 กรุงเทพมหานครเป็นชื่อของตัวเองจริง พร้อมกับถูกกล่าวหาว่าก่อคดีชิงทรัพย์และข่มขืน ซึ่งเป็นคดีใหญ่และร้ายแรงมาก แม้จะพยายามปฏิเสธ แต่ก็ไม่มีใครฟัง ในที่สุดต้องตกเป็นผู้ต้องหาอยู่ในห้องขัง 2 วัน ก่อนถูกนำตัวไปฝากขังที่เรือนจำมีนบุรีอีก 7 วัน รวมเป็น 9 วัน
อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่นายชรินทร์ถูกคุมขังอยู่นั้น ปรากฏว่าได้เกิดเหตุแท็กซี่จี้ชิงเงินผู้โดยสารขึ้นอีก โดยเหยื่อแจ้งความว่าถูกชิงเงินจากแท็กซี่ เมื่อสอบปากคำผู้เสียหายระบุทะเบียนข้างรถว่า มจ 621 กรุงเทพมหานคร แต่หลักฐานที่ชัดเจนเป็นข้อมูลจากการกดบัตรเอทีเอ็มที่ชิงจากผู้เสียหายไป เมื่อประสานกับธนาคารตรวจสอบกล้องวงจรปิด ทำให้ได้รายละเอียดข้อมูลจนในที่สุดสามารถจับกุมคนร้ายตัวจริงได้ ก็คือ นายทินภัทร สิริโสภาโชติกุล ที่ได้รับสารภาพ พร้อมรถที่ใช้ก่อเหตุ ทะเบียน มจ 9216 กรุงเทพมหานคร แต่มีการตัดสติ๊กเกอร์ทะเบียนรถแท็กซี่ มจ 621 (ซึ่งเป็นทะเบียนของนายชรินทร์) ติดไว้ในรถเพื่อตบตาผู้โดยสารนั่นเอง เมื่อผลปรากฏว่าชัดเจนว่าใครคือผู้ก่อเหตุตัวจริง ทำให้ทาง สน.ลาดกระบังได้ทำเรื่องเพื่อปล่อยตัวนายชรินทร์ออกมาทันที เพราะเป็นการจับผิดตัวนั่นเอง
กรณีจับผู้ต้องหาผิดตัวในครั้งนี้ ส่งผลให้ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ได้ยอมรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น แต่ไม่มีการลงโทษผู้ใต้บังคับบัญชาว่าทำผิดพลาด บอกเพียงว่าตำรวจทำงานอย่างเต็มที่และผู้เสียหายก็ชี้ตัวทั้งหมด พร้อมกับมอบเงินเยียวยา 20,000 บาท เพื่อปลอบขวัญให้กับนายชนินทร์แทน ซึ่งนายชรินทร์ไม่ติดใจเอาความ รวมทั้งไม่ได้มีการฟ้องร้องเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือผู้เสียหาย แต่มีความต้องการกลับไปอยู่กับครอบครัว และตัดสินใจเลิกอาชีพขับรถแท็กซี่ตลอดชีวิต
"สิ่งที่ผมติดใจ คือทำไมผู้เสียหายทุกคนต้องชี้ว่าผมเป็นคนร้าย หรือเพราะคืนก่อนวันชี้ตัว มีการปริ๊นท์รูปผมจากทะเบียนราษฎร์เพื่อนำไปเสนอข่าว ทำให้คนที่มาชี้ตัวอาจจำภาพจากตรงนั้น" นายชรินทร์ทิ้งท้ายกับปริศนาที่คาใจ

นอกจากคดีจับแท็กซี่แพะแล้ว ปรากฏว่ามีอีกหลายคดีที่เกิดขึ้นในลักษณะเดียวกันนี้ ทำให้ผู้เสียหายต้องตกเป็นเหยื่อจากการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ใช้ระบบกล่าวหา เช่น คดีฆ่าหั่นศพหนุ่มแบงค์ นายเกรียงไกร ขวัญอ่อน อายุ 24 ปี ชาว จ.กำแพงเพชร จุดเริ่มต้นของคดีฆ่าหั่นศพสยองรายนี้ เริ่มจากเจ้าหน้าที่ไปพบศพชายนิรนามถูกฆ่าหั่นใส่ถุงดำซ้อนด้วยถุงปุ๋ย 2 ใบ ทิ้งไว้บริเวณคลองส่งน้ำ ใน อ.มโนรมย์ จ.ชัยนาท ในท้องที่ สภ. หางน้ำสาคร เมื่อกลางดึกวันที่ 18 เมษายน 2556 เมื่อนำมาปะติดปะต่อพบเป็นร่างของผู้ชายสูงประมาณ 170 เซนติเมตร ผิวพรรณดี แต่ไม่สามารถระบุได้ผู้ตายเป็นใคร เนื่องจากส่วนหัวขาดหายไป ในขณะที่ตามร่างกายไม่พบหลักฐานบ่งชี้ว่าผู้ตายคือใคร และมาจากไหน !!?
อย่างไรก็ตาม คดีนี้แม้จะไม่ปรากฏภาพใบหน้าของศพ แต่ทีมสืบสวนก็ตรวจสอบจนรู้ว่า ผู้เสียชีวิตรายนี้เป็นใครภายในเวลาอันรวดเร็ว โดยใช้วิธีการตาหลักนิติวิทยาศาสตร์นำลายนิ้วมือไปเทียบกับข้อมูลของกรมการ ปกครอง ผลปรากฏว่าลายนิ้วมือตรงกับชื่อของนายเกรียงไกร นั่นเอง คำถามที่ตามมาก็คือ ใคร??เป็นผู้ฆ่านายเกรียงไกร ใคร??ที่ลงมืออย่างเหี้ยมโหดขนาดนี้ ทำให้คดีนี้กลายเป็นที่สนใจขึ้นมาทันที
พล.ต.ท.นเรศ นันทโชติ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 (ผบช.ภ.1) สั่งการทีมสืบสวนลงพื้นที่ทำงานร่วมกันคลี่คลายคดีนี้ กล่าวว่า ใช้เวลาไม่นานก็พบรถยนต์ยี่ห้อมิตซูบิชิ มิราจ สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน กจ 656 กำแพงเพชร ของนายเกรียงไกรจอดขวางอยู่หน้าโรงพยาบาลลาดยาว จึงได้ทำการเก็บหลักฐานทำให้พบหลักฐานสำคัญคือ ใบอนุญาตให้ดำเนินการสถานพยาบาลชื่อ “ชัยพร คลินิกทันตกรรม” ใน จ.กำแพงเพชร สลิปข้อมูลบัญชีเงินฝากธนาคารทหารไทย และสำเนาบัตรประชาชนของนายชัยพร แซ่อึ้ง ตกอยู่ในรถคันนี้ด้วย
จากข้อมูลที่ได้ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พุ่งเป้าประเด็นไปที่ทันตแพทย์ชัยพร เจ้าของชัยพรคลินิกทันตกรรม ซึ่งพบว่าเป็นคนบ้านเดียวกับผู้ตายอีกด้วย ทำให้มีการคาดการณ์ถึงพฤติกรรมฆาตกรรายนี้ว่าน่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ ความวิปริตเบี่ยงเบนทางเพศกับผู้ตาย ในลักษณะที่เรียกว่า “คู่เกย์” เมื่อปรากฏเป็นข่าวออกไป ทำให้ “หมอชัยพร” ตกเป็นจำเลยของสังคม ซึ่งถือว่าไม่เป็นธรรมกับเขาและครอบครัวเป็นอย่างมาก เพราะข่าวได้ส่งผลเสียหายต่อชื่อเสียง และยังถูกวิพากษ์วิจารณ์จากบุคคลที่ไม่ได้รู้จักมาก่อน พร้อมกับบอกว่ารู้จักผู้ตายในฐานะคนไข้ ส่วนเอกสารที่ตกอยู่ในรถนั้นเนื่องจากผู้ตายได้ติดต่อขอทำบัตรเครดิต จึงได้ช่วยดำเนินการให้เท่านั้น
ในเวลาต่อมา เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมคนร้ายตัวจริงได้ ก็คือ นายประดิษฐ์ สุวรรณภาพ หรือ “เสี่ยเปีย” เจ้าของร้านร้านต้นไทรก๋วยเตี๋ยวลิ้นวัวชื่อดังใน จ.อุทัยธานี ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจแกะรอยและตรวจจับสัญญาณการใช้โทรศัพท์ของผู้ตายครั้ง สุดท้ายได้ พบว่าอยู่ในละแวกบ้านพักของนายประดิษฐ์ แม้ว่าจะใช้เบอร์พิเศษที่ไม่ได้มีการลงทะเบียนในการติดต่อกับผู้ตายและหลัง เกิดเหตุก็ได้ปิดการใช้งานเบอร์ก็ตาม แต่จากการตรวจสอบลายนิ้วมือในรถคนตาย และมีพยานเห็นว่านายประดิษฐ์อยู่ในโรงพยาบาลลาดยาวในวันที่นายเกรียงไกรหาย ตัวไปด้วย
เป็นที่น่าสังเกตว่า คดีจับโซเฟอร์แท็กซี่ผิดตัวกับคดีฆาตกรรมนายเกรียงไกร มีความคล้ายคลึงกันคือการทำงานของตำรวจในการเร่งรีบสรุปคดี
ซึ่งหลักฐานที่ปรากกฎเพียงพอหรือไม่ที่จะระบุว่าใครเป็นคนร้าย รวมทั้งการเปิดเผยข้อมูลผ่านสื่อมวลชนได้ก่อให้เกิดความเสียหายกับผู้บริสุทธิ์ ในเรื่องนี้ พ.ต.อ.คมสัน แตงจุ้ย ผู้กำกับ สน.ลาดกระบัง ซึ่งรับผิดชอบคดีแท็กซี่จับผิดตัว อธิบายว่า ระบบกระบวนการยุติธรรมของไทยเป็นระบบกล่าวหา กรณีที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ เพราะมีผู้เสียหายเดินทางมาร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในเบื้องต้นก็ต้องรับเรื่องไว้ ก่อนจะทำการสอบสวน ในขั้นแรกพนักงานสอบสวนจะสอบปากคำถึงที่มาที่ไปก่อนจะมอบให้ฝ่ายสืบสวนลง พื้นที่ตรวจสอบ ขั้นตอนต่อไปเมื่อรู้ว่าผู้ก่อเหตุเป็นใครจะนำรูปภาพมาให้ผู้เสียหายยืนยัน (หากผู้เสียหายยืนยันว่าใช่ก็จะเชิญตัวหรือจับกุม)
พ.ต.อ.คมสัน ระบุถึงสาเหตุที่ดำเนินคดีกับนายชรินทร์ เพราะมีผู้เสียหายชี้ตัวยืนยัน เจ้าหน้าที่จึงต้องแจ้งข้อกล่าวหาและควบคุมตัว (ขั้นตอนการสืบสวนสอบสวนหาข้อเท็จจริงจนกระทั่งมีคำพิพากษาถึงที่สุดนั้นต้องใช้เวลา จึงต้องควบคุมผู้ถูกกล่าวหาไว้ก่อน อำนาจของพนักงานสอบสวนในการควบคุมตัวผู้ถูกมีข้อจำกัดเพียง 48 ชั่วโมง จากนั้นต้องต้องขออำนาจฝากขังไปยังเรือนจำ) แต่ผู้ต้องหามีสิทธิที่ยื่นขอประกันตัวได้ กรณีที่ผู้ต้องหาที่ไม่มีหลักทรัพย์ในการประกันหรือผู้มีอำนาจไม่พิจารณา อนุมัติก็จะถูกนำตัวส่งคุมขังในเรือนจำ ในกรณีของนายชรินทร์มีการแจ้งเรื่องสิทธิ์ประกันตัว แต่ไม่มีหลักทรัพย์ประกันตัว จึงต้องขออนุญาตฝากขังต่อไปยังศาลจังหวัดมีนบุรี
“คดีที่เกิดขึ้นเป็นคดีที่สื่อมวลชนให้ความสนใจตั้งแต่วันแรกที่เกิดเรื่อง จึงกลายเป็นการเร่งรัดการทำงานของเจ้าหน้าที่ให้รีบนำตัวคนร้ายมาดำเนินคดี รวมทั้งมีการประโคมข่าวถึงการทำงานของเจ้าหน้าที่ แต่ยืนยันว่าตำรวจไม่ได้กลั่นแกล้งใคร เพราะรูปคนร้ายตัวจริงกับที่ผู้ที่ตกเป็นแพะนั้นคล้ายกันมาก” ผู้กำกับ สน.ลาดกระบัง กล่าว
ด้านแหล่งข่าวฝ่ายสืบสวนที่รับผิดชอบคดีนายเกรียงไกร ระบุว่าการตั้งธงทางคดีหรือข้อสันนิษฐานเบื้องต้นของสาเหตุในการถูกฆาตกรรมนั้น ตอนแรกเจ้าหน้าที่พุ่งเป้าหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นการฆ่าชิงทรัพย์ ชู้สาว เป็นต้น ประเด็นการฆ่าชิงทรัพย์มีความเป็นไปได้ เพราะไม่พบทรัพย์สินของผู้ตาย ตอนแรกไม่ทราบว่าผู้ตายเป็นใคร หลังจากเจ้าหน้าที่ทราบว่าผู้ตายคือนายเกรียงไกร ทำให้แนวทางการสืบสวนและตั้งประเด็นได้แคบลง เมื่อสอบปากคำเพื่อนของผู้ตายที่ส่วนใหญ่มีพฤติกรรมชายรักชาย ประกอบกับข้อมูลจากฝ่ายสืบสวนทำให้ทราบว่าก่อนเกิดเหตุผู้ตายเดินทางไปพบ ทันตแพทย์ชัยพรที่ตกเป็นข่าว จึงทำให้มีการสันนิษฐานในเบื้องต้น เมื่อทันตแพทย์รายนี้มีหลักฐานสมุดตรวจคนไข้ตั้งแต่วันที่ 16-20 เม.ย.2556 เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ในข้อสงสัยต่างๆของตำรวจก็ถือว่าตัดข้อสงสัยนี้ออกไป
แหล่งข่าวคนเดิมระบุว่า ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในทางคดีนั้นมาจากพยานปากสำคัญที่เป็นพนักงานในร้าน ก๋วยเตี๋ยวของเสี่ยเปียที่ชื่อว่า “น้ำหวาน” ระบุว่าผู้ตายมีพฤติกรรมรักชายรักชายกับเสี่ยเปียซึ่งผู้ต้องหาตัวจริง และสามารถจับกุมคนร้ายตัวจริงได้ในที่สุด ในขณะเดียวกันสิ่งที่เกิดขึ้นในคดีนี้ ทำให้ได้บทเรียนที่สำคัญว่า ความผิดพลาดเกิดจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนมีการเร่งรัดในการสรุปคดีเกินไป ส่วนหนึ่งเพราะเป็นคดีอุฉกรรจ์สะเทือนขวัญ และถูกกระแสสังคมกดดันการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำให้ต้องเร่งหาตัวฆาตกรรายนี้มาดำเนินคดีด้วย

ทางด้าน นายนิวัติ แก้วล้วน เลขาธิการสภาทนายความ ยอมรับว่า กระบวนการยุติธรรมของไทยเป็นระบบกล่าวหา เจ้าหน้าที่ตำรวจมีหน้าที่ในการนำสืบพยาน รวบรวมหลักฐาน ก่อนแจ้งข้อกล่าวหา กรณีของนายชรินทร์นั้น เมื่อมีผู้เสียหายมาแจ้งความว่าถูกคนขับรถแท็กซี่ มจ 621 กรุงเทพมหานคร ก่อเหตุ ตำรวจมีหน้าที่ในการสืบสวนตรวจสอบว่าคนขับเป็นใคร ประกอบกับในวันที่เกิดเหตุมีผู้เสียหายยืนยันจึงมองว่าคดีนี้เจ้าหน้าที่ ตำรวจทำถูกต้อง เมื่อปรากฏเป็นข่าวว่ามีการจับผิดตัว ผู้เสียหาย(หมายถึงนายชรินทร์) สามารถฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากคู่กรณี คือ ผู้ที่มากล่าวหาว่าผู้เสียหายกระทำความผิด รวมทั้งฟ้องร้องในข้อหาว่าให้การเท็จต่อเจ้าพนักงานในคดีอาญาด้วย ส่วนการเรียกค่าเสียหายกับภาครัฐนั้นต้องพิสูจน์ทราบว่าเจ้าหน้าที่กระทำ การเกินอำนาจหรือไม่
พล.ต.ท.จรัมพร สุระมณี ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผช.ผบ.ตร.) กล่าวถึงกระบวนการตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับคดีต่างๆนั้น ไม่มีค่าใช้จ่าย เพราะรัฐบาลจะจัดสรรงบประมาณในส่วนนี้ให้อยู่แล้ว จึงไม่ใช่อุปสรรคปัญหาหากจะดำเนินการเพื่อให้เกิดความรอบคอบขึ้น ส่วนที่มองว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งรัดในการสรุปเพื่อปิดคดีนั้น เหตุผลส่วนหนึ่งเป็นเพราะสื่อมวลชนให้ความสนใจมาก แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลหลักเสมอไป ขึ้นอยู่กับตัวบุคลหรือเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบ แต่ส่วนตัวเห็นว่าการที่สื่อมวลชนให้ความสนใจนั้นเป็นสิ่งดีเพราะสื่อจะทำหน้าที่ในการตรวจสอบในประเด็นข้อสงสัยแทนประชาชนได้
ส่วนที่มีการตั้งข้อสงสัยว่าตำรวจเร่งรัดปิดคดีจนทำให้เกิดความผิดพลาด หรือมีการจับแพะเกิดขึ้นนั้น ในเรื่องนี้ พล.ต.ท.จรัมพร ยอมรับว่า การทำงานของเจ้าหน้าที่อาจขาดความละเอียดรอบคอบในบางกรณี แต่เรื่องนี้ต้องมองที่กระบวนการทำงานมากกว่า เพราะความเป็นธรรมจะเริ่มจากต้นทาง คือกระบวนการสอบสวนซึ่งจะต้องมีการให้ความรู้และปลูกฝังจรรยาบรรณให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยเฉพาะเมื่อมีคดีความเกิดขึ้น ยังไม่ทันรวบรวมพยานหลักฐานอย่างเพียงพอก็มีการจับกุมตัว ในขั้นตอนนี้จะต้องเพิ่มความรอบคอบ ส่วนการอำนวยความยุติธรรมจะต้องรวดเร็ว ถูกต้อง และให้เกิดความเป็นธรรม ไม่เช่นนั้นก็มีโอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดขึ้นได้
นอกจากนี้ นายนิวัติ กล่าวถึงกรณีทันตแพทย์ชัยพรว่า สามารถฟ้องเรียกค่าเสียหายได้ เพราะต้องตกเป็นผู้ต้องสงสัยพัวพันการตายของนายเกรียงไกร รวมทั้งเรื่องที่เจ้าหน้าที่ตั้งประเด็นเรื่องรักร่วมเพศ สามารถฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายในข้อหาหมิ่นประมาทได้ เพราะทำให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียง แต่ที่จะเป็นปัญหามากที่สุด คือการนำข้อมูลความลับที่ได้จากการสืบค้นทางคดีไปเปิดเผยต่อสาธารณะจะเข้า ข่ายความผิด รวมทั้งเป็นเรื่องของจริยธรรมด้วย
เลขาธิการสภาทนายความ กล่าวอีกว่า ไม่เห็นด้วยกับการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการให้สัมภาษณ์หรือเปิดเผย ข้อมูลทางคดีต่อสาธารณะ จะเห็นว่าในปัจจุบันแทบจะไม่มีความลับทางคดี ทั้งการทำแผนประกอบคำรับสารภาพที่มีการนำเสนอรายละเอียดจนก่อให้เกิด พฤติกรรมลอกเลียนแบบได้ ทำให้เห็นว่าการทำคดีของพนักงานสอบสวนเพื่อต้องการเป็นข่าวมากกว่าเน้นไป ที่เนื้อหาของคดี ส่วนสื่อก็ทำหน้าในการเผยแพร่ข้อมูล
ส่วนแนวทางในการแก้ไขปัญหาการจับผิดตัว นายนิวัติ ระบุว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่การใช้ระบบกล่าวหา แต่เป็นปัญหาที่พนักงานทำงานไม่รัดกุม โดยเฉพาะหลังเกิดคดีความพนักงานสอบสวนมักรีบออกหมายจับหรือหมายเรียกเร็ว เกินไป ทั้งที่ยังขาดพยานหลักฐานที่เพียงพอ จึงควรจะเร่งขั้นตอนการทำสำนวนส่งฟ้องต่ออัยการ จะช่วยลดข้อผิดพลาดได้ รวมทั้งการใช้หลักนิติวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วยคลี่คลายคดีจะลดปัญหานี้ลงได้ จะช่วยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานได้ง่ายขึ้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2556 ที่ผ่านมา พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มีคำสั่ง ตร.ที่ 419/2556 เรื่อง “การอำนวยความยุติธรรมในคดีอาญา การทำสำนวนการสอบสวน และมาตรการควบคุมตรวจสอบ เร่งรัดการสอบสวนคดีอาญา” ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 ก.ค.เป็นต้นไป ซึ่งถือว่าเป็นการยกเครื่องงานสอบสวนที่ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญในการทำงานของ เจ้าหน้าที่ตำรวจในการที่จะแสวงหาความจริงเพื่อนำไปสู่ความยุติธรรม จึงเป็นการปรับโฉมการสอบสวนครั้งใหญ่ในวงการสีกากี
คำสั่งดังกล่าวได้กำหนดหลักการรับแจ้งความคดีที่ไม่มีผู้เสียหายร้องทุกข์กล่าวโทษ การสั่งคดีโดยใช้ดุลยพินิจและหลักประโยชน์สาธารณะ รวมทั้งมีกำหนดมาตรการสอบสวน การทำสำนวนให้มีความคล่องตัวยืดหยุ่น เพื่อให้สอดคล้องสถานการณ์มากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นการควบคุมการเร่งรัดการทำงานของพนักงานสอบสวนให้มีความละเอียดรอบคอบมากยิ่งขึ้นนั่นเอง
ในขณะที่ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ระบุว่า คำสั่งดังกล่าวออกมาเพื่อควบคุมและเร่งรัดการทำงานของพนักงานสอบสวนให้ดียิ่งขึ้น มีการปรับวิธีการรับคดีและต้องรับทุกคดี กำหนดรูปแบบการทำคดีให้สะดาวกขึ้น ส่วนการเรียกพยานมาสอบปากคำหรือการออกหมายเรียกคนมาแจ้งข้อหาต้องมีหลักฐาน มากเพียงพอและมั่นใจว่าจะสามารถสั่งฟ้องคดีได้ แต่ละขั้นตอนต้องมีผู้บังคับบัญชาระดับพันตำรวจเอก ตรวจสอบทุกครั้ง ส่วนการขอศาลออกหมายจับต้องผ่านการตรวจสำนวนพยานหลักฐานจากหัวหน้าโรงพัก ก่อนหรือระดับผู้กำกับก่อน เพื่อแก้ไขปัญหาการใช้ดุลยพินิจตามอำเภอใจของพนักงานสอบสวน เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด
สิ่งสำคัญที่เป็นหัวใจของการสอบสวน คือการให้ความเป็นธรรมกับประชาชน การรักษาสิทธิก็เช่นเดียวกัน เมื่อพนักงานสอบสวนรู้ว่าผู้ต้องหาถูกสั่งไม่ฟ้องฟ้อง หรือกรณีจับผิดตัว จะต้องแจ้งกองทะเบียนประวัติอาชญากรเพื่อลบประวัตินี้ออกไป ไม่ให้เป็นมลทินติดตัว เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนที่จะต้องทำ แต่ที่ผ่านมามีการละเลย เมื่ออกเป็นคำสั่งทำให้พนักงานสอบสวนต้องตามคดีตั้งแต่ต้นจนกว่าจะสิ้นสุด
อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 คดีตัวอย่างได้แสดงให้เห็นถึงข้อผิดพลาดที่คล้ายคลึงกันในเรื่องของขั้นตอน การเร่งรัดในการดำเนินคดี โดยเฉพาะการใช้ระบบกล่าวหาดังเช่นที่ผ่านมา อาจทำให้ผู้บริสุทธิ์อีกกี่คนที่จะต้องตกเป็นแพะในคดีต่อๆไปอีก สิ่งสำคัญที่สุดคือ เจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องรวบรวมพยานหลักฐานให้แน่ชัด ก่อนที่แจ้งข้อกล่าวหาผู้ใด และเร่งจัดทำสำนวนเพื่อส่งฟ้องต่ออัยการโดยเร็วที่สุด ส่วนการนำเอาหลักนิติวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วยในการพิสูจน์ความจริงเป็นอีกช่อง ทางหนึ่งที่จะช่วยคลายปมสงสัยทางคดีได้ เพื่อให้ปัญหาการจับแพะหมดไปเสียที.
.....
หมายเหตุ : สกู๊ปข่าวชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของ “โครงการอบรมการรายงานข่าวเชิงสืบสวนสอบสวนในคดีละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยใช้พยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์” ที่สถาบันอิศราจัดขึ้นโดยการสนับสนุนของมูลนิธิเอเชีย ติดตามสกู๊ปข่าวชิ้นอื่นๆ ในโครงการนี้ได้ที่ http://forensicnews.isranews.org/
