เจษฎ์ โทณะวณิก : นิรโทษฯ แบบวรชัย อาจสร้างความรุนแรงครั้งต่อไป
“...การนิรโทษกรรมควรแยกประชาชนผู้บริสุทธิ์ ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ไม่มีอาวุธ ไม่ทุบหรือเผาทำลายทรัพย์สิน ออกจากแกนนำและผู้กระทำผิดอย่างชัดเจน แต่ร่างกฎหมายฉบับนี้ของ นายวรชัย ยังขาดความชัดเจนในรายละเอียดเหล่านี้..."
เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2556ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก คณะบดีบัณฑิตวิทยาลัย คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม กล่าวแสดงความเห็นถึงร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมของนายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ที่นำเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร กับ "สำนักข่าวอิศรา" ว่า อาจเป็นเงื่อนไขนำไปสู่ความรุนแรง เนื่องจากร่างกฎหมายฉบับนี้ ขาดหลักการการนิรโทษกรรมอย่างเป็นธรรม และการแสวงหาข้อเท็จจริง รวมถึงอาจจะยับยั้งกระบวนการยุติธธรรมของแกนนำ ผู้สั่งการ และเจ้าหน้าที่ที่อาจกระทำเกินกว่าเหตุ
“การนิรโทษกรรมควรแยกประชาชนผู้บริสุทธิ์ ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ไม่มีอาวุธ ไม่ทุบหรือเผาทำลายทรัพย์สิน ออกจากแกนนำและผู้กระทำผิดอย่างชัดเจน แต่ร่างกฎหมายฉบับนี้ของ นายวรชัย ยังขาดความชัดเจนในรายละเอียดเหล่านี้ ประชาชนจำนวนมากยังต้องการพิสูจน์ว่า เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จึงต่อต้าน รวมถึงผู้ที่ต้องการให้แกนนำและผู้สั่งการการชุมนุมรับผิด แต่ร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวอาจนำไปสู่การตีความได้ว่าทุกคนก็เป็นประชาชนทั้งสิ้น” ดร.เจษฎ์ ระบุ
ดร.เจษฎ์ ยังระบุด้วยว่า การนิรโทษกรรมนั้นถือเป็นโจทย์ที่มีนัยทางการเมือง ดังนั้น ต้องทำให้ถี่ถ้วนและต้องเป็นธรรม การแยกประชาชนผู้บริสุทธิ์ออกจากแกนนำและผู้สั่งการทั้งหมด จึงจะถือเป็นการนิรโทษกรรมที่โปร่งใสและตรวจสอบได้
“ตอนนี้หลักการของร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมมีการถกเถียงคัดง้างกัน ทั้งแกนนำพันธมิตรฯ ที่ยอมติดคุก คุณอภิสิทธิ์ (เวชชาชีวะ) คุณสุเทพ (เทือกสุบรรณ) ก็ยอมสู้ตามกฎหมาย แล้วก็มีฉบับที่แยกประชาชนออกมา แล้วก็มีสูตรนิรโทษกรรมที่บอกว่าเจ้าหน้าที่ควรได้รับการนิรโทษก็มี ซึ่งร่าง พ.ร.บ. เหล่านี้คัดง้างกันทั้งสิ้น ก็ควรต้องเอามาพิจารณาประกอบกัน” ดร.เจษฎ์ อธิบาย
เขายังกล่าวว่า ถ้านิรโทษกรรมโดยไร้หลักการ ไม่มีการแสวงหาความผิด แสวงหาข้อเท็จจริง แล้วบ้านเมืองจะสงบสุขได้อย่างไร ดังนั้น เมื่อตั้งโจทย์นิรโทษกรรมขึ้นมา ต้องไม่ใช่สักแต่ว่าผู้กระทำผิดหรือใครก็ตามในเหตุการณ์นั้น ได้รับการละเว้นโทษ
“ถ้าทำแบบนี้บ้านเมืองจบเห่แน่ แต่ถ้าแยกประชาชนผู้บริสุทธิ์ออกมา แม้กระบวนการจะยุ่งยากแต่ต้องทำ เพราะนี่คือความเป็นธรรม เนื่องจากประชาชนที่ไม่รู้ อิโหน่อิเหน่คือผู้ที่ถูกชักจูงมา การยกโทษให้ประชาชนเหล่านี้ ไม่มีใครมีปัญหา” ดร.เจษฎ์กล่าว
ดร.เจษฎ์ ยังเสนอด้วยว่า การนิรโทษกรรมต้องไม่รวมถึงผู้ที่ทราบกันดีว่าเป็นแกนนำ หรือกล่าวอ้างว่าเป็นแกนนำหรือมีหลักฐานอันควรเชื่อหรือมีพยานอันควรเชื่อได้ว่าเป็น รวมถึงผู้มีอำนาจบริหาร มีอำนาจสั่งการ หรือมิได้เป็นผู้บริหาร แต่มีอำนาจสั่งการ คนเหล่านี้ต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย เพื่อรับโทษในกรณีที่มีการสั่งการเหล่านั้น รวมถึงเจ้าหน้าที่ทั้งหลาย ที่กระทำการภายใต้การคำสั่งการ ไม่ว่าคำสั่งเหล่านั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยกฎหมายก็ตาม หรือแม้จะกระทำการโดยที่รู้ว่าเป็นคำสั่งที่มิชอบด้วยกฎหมาย ก็ยังต้องดำเนินการบรรดาท่านเหล่านี้ต้องถูกดำเนินการตามกฎหมาย ขณะที่ประชาชนผู้เข้าร่วมชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ คือผู้ที่ได้รับการเว้นโทษ ตามหลักนิรโทษกรรม
ดร.เจษฎ์ ยังกล่าวย้ำว่า “ส่วนผู้ที่มีหลักฐานที่สรุปได้ว่าทุบทำลาย เผา หรือก่อให้เกิดการเสียหายทางร่างกายและชีวิต ไม่ว่าจะใช้อาวุธหรือวิธีอะไร บุคคลเหล่านี้ต้องไปขึ้นศาล ต้องถูกดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายทั้งทางแพ่ง ทางอาญา หรือกฎหมายทางการปกครอง อาทิ ในส่วนของผู้สั่งการ ก็ต้องมาดูรายละเอียดใน พ.ร.บ.บริหารราชการแผ่นดิน ถ้าผู้สั่งการเป็นผ้บริหารแผ่นดินเช่น นายกฯหรือรองนายกฯ หรือถ้ามีการตั้งหน่วยเฉพาะกิจ เช่น ศอฉ. (ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน) โดยผู้สั่งการไม่ได้เป็นนายกฯ หรือรองนายกฯ แต่เป็นผู้สั่งการ จะต้องรับโทษด้วยไหม ดังนั้น คนเหล่านี้ ต้องถูกพิจารณาตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ร.บ.ความมั่นคง กฎอัยการศึก โดยเฉพาะเรื่องความรับผิดของผู้บีริหารและผู้มีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินการเกี่ยวกับการชุมนุม ประเด็นนี้ไม่เกี่ยวกับนิรโทษ หรือถ้าพ.ร.บ. บริหารราชการแผนดินระบุไว้ว่านายกฯต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ เราก็ต้องเอามาดูว่า ถ้าให้นายกฯ ปฏิบัติสั่งการตามสมควร เราก็ต้องมาตีความกันว่าอะไรคือสมควร”
ดร.เจษฎ์ กล่าวด้วยว่า ส่วนผู้ที่เป็นแกนนำหรืออ้างว่าเป็นแกนนำ หรือเป็นผู้กำหนดจิตใจคนอื่นนั้นก็ต้องได้รับโทษตามกฎหมาย เพราะคนเหล่านี้กล่อมประชาชนจนเชื่อและทำให้ประชาชนขาดเจตจำนงของตนเอง
“เช่น ถ้าแกนนำบอกว่าไปเลย ทุกกระจกไปเลย เราต้องยึดย่านนี้ เราต้องเผาทำลายบ้านเมืองของมัน อยู่ดีๆ เราจะนิรโทษกรรมให้คนเหล่านี้ไม่ได้ การบอกให้ประชาชนไปทำแบบนี้ก็ต้องได้รับโทษตามกฎหมาย ต้องมีความผิด หรือแม้แต่เจ้าหน้าที่ที่ไปยิงชาวบ้านแล้วบอกว่าทำหน้าที่โดยสุจริต ชาวบ้านเขาก็ไม่ยอม ดังนั้น เราพิสูจน์ได้ไหม เช่น ถ้าบอกว่าเจ้าหน้าที่ยิง ยกตัวอย่าง ถ้าสมมติไปดูกล้องวงจรปิดปรากฏว่ามีคนมายิงใส่เจ้าหน้าที่ก่อน เมื่อเจ้าหน้าที่ยิงตอบโต้ คนๆ นั้น ก็ดึงผู้หญิงขึ้นมาเป็นโล่ห์กำบัง ผู้หญิงก็ตาย แบบนี้ใครผิด คือถ้ามีการสืบสาวข้อเท็จจริง เราจะได้คำตอบ” อาจารย์ด้านกฎหมายรายนี้กล่าว
ดร.เจษฎ์ ระบุว่า ถ้านิรโทษกรรมโดยขาดความชัดเจน ทุกอย่างจะจบโดยไม่มีการสืบสาวราวเรื่อง ว่าเจ้าหน้าที่ผิดหรือเปล่า ดังนั้น ถ้ามีพยานหลักฐาน ว่ามีผู้ชุมนุม มีอาวุธ พยายามฆ่าเจ้าหน้าที่ และดึงผู้อื่นเข้ามาถูกยิง คนๆ นั้นก็ต้องมีความผิด เช่นเดียวกัน เจ้าหน้าที่รัฐก็ต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริง ต้องอธิบาย แต่ถ้านิรโทษ การแสวงหาข้อเท็จจริงในส่วนนี้จะไม่มีเลย ไม่ว่าคนชุดดำ ชุดแดง ชุดสีไหนก็ตามไปยิงเจ้าหน้าที่ แล้วไปลากคนอื่นมาตาย
ดังนั้น ผู้กระทำผิดต้องถูกดำเนินการตามกระบวนการ ส่วนการที่รัฐบาลบอกว่าจ่ายเงินเยียวยา แล้วเงินนั้นเป็นของรัฐบาลเหรอครับ รัฐบาลก็ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าเงินนั้นไม่ได้มาด้วยการโกง ไม่ได้ได้มาด้วยการทุจริตเชิงนโยบาย ที่หลอกลวงโดยใช้เงินภาษีประชาชน
“ผมมองว่า เมื่อร่าง พ.ร.บ.ของคุณวรชัยขาดความชัดเจนแบบนี้ อาจเป็นเงื่อนไขนำไปสู่ความรุนแรง เพราะผู้ที่กระทำผิดอาจได้รับการละเว้นโทษไปด้วย แต่ผมยังเชื่อว่ารัฐบาลคงนำมาพิจารณาเพื่อเป็นการชิมลาง เพราะจริงๆ แล้ว ยังมีร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับอื่นๆ ถูกบรรจุเข้าสู่ระเบียบวาระการพิจารณาด้วย” ดร.เจษฎ์ กล่าวทิ้งท้าย
