“แพะ” บาปบริสุทธิ์ กรณีศึกษา ที่ไม่ควรเกิดซ้ำซาก
กรณีการจับกุมผู้ต้องหาผิดตัว หรือที่เรียกกันว่า “แพะ” ปรากฏให้เห็นเป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์และออกอากาศผ่านสื่อโทรทัศน์อยู่บ่อยครั้ง

หลายคดีทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องสูญเสียอิสรภาพไปในช่วงเวลาหนึ่งและยังถูกตราหน้าจากสังคมว่าเป็นคนเลว แม้ว่าในเวลาต่อมาบางรายจะได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็น “ผู้บริสุทธิ์”โดยมีหน่วยงานที่ยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือในเรื่องการเยียวยา แต่ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เนื่องจากสภาพจิตใจและชีวิตหลังจากการได้รับอิสรภาพ และการดำเนินชีวิตต่อไปในอนาคตข้างหน้านั้นไม่ได้ถูกเยียวยาไปด้วย
คดีการจับแพะที่โด่งดังจนกลายเป็นคดีประวัติศาสตร์และสร้างความอัปยศให้กับวงการตำรวจไทย ก็คือคดี “เชอร์รี่แอน ดันแคน” เด็กหญิงวัย 16 ปี ลูกครึ่งไทย-อเมริกันที่ถูกฆาตกรรมในป่าแสมบางสำราญ ต.บางปูใหม่ จ.สมุทรปราการ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2529 ผู้ที่ตกเป็นแพะประกอบด้วย 1.นายวินัย ชัยพานิช หลังถูกจับกุมแล้วอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง เนื่องจากพยานหลักฐานไม่เพียงพอ 2.นายรุ่งเฉลิม กนกชวาลชัย 3.นายพิทักษ์ ค้าขาย 4.นายกระแสร์ พลอยกลุ่ม และ 5.นายธวัช กิจประยูร ทั้ง 4 คนหลังถูกศาลชั้นต้นพิพากษาให้ประหารชีวิต แต่ญาติได้พยายามดิ้นรนหาทางต่อสู้คดีมาโดยตลอด จนกระทั่งในปี 2536 ศาลฎีกามีคำพิพากษาว่าทั้งหมดเป็นผู้บริสุทธิ์ หลังจากที่แพะรับบาปทั้ง 4 คน ต้องถูกจองจำอยู่นานถึง 6 ปี พวกเขาต้องพบกับความทุกข์ทรมาน บางรายเสียชีวิตจากการติดโรคร้ายภายในคุก บางรายก็เสียชีวิตนอกคุก แต่โดยรวมชีวิตครอบครัวนั้นถือว่าหมดอนาคต ส่วนนายกระแสร์ ผู้รอดชีวิตที่เหลืออยู่คนสุดท้ายในคดีนี้ได้จบชีวิตลงแล้ว เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2555 ที่ผ่านมา
ผู้เสียหายในคดีเชอรี่แอน ถือว่าเป็นเหยื่อในคดีอาญาที่ถูกจับคุมขังโดยไม่ได้กระทำความผิด และเป็นคดีตัวอย่างที่ส่งผลให้ในเวลาต่อมามีการออกพระราชบัญญัติค่าตอบแทน ผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ.2544 เกิดขึ้นในเวลาต่อมา เพื่อให้ความช่วยเหลือเยียวยาแก่ผู้เสียหายที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการกระทำ ความผิด
ในแต่ละปี สำนักงบประมาณ สำนักนายกรัฐมนตรี จะต้องจ่ายเงินจำนวน 200 ล้านบาท ให้กับ สำนักงานช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เพื่อเยียวยาให้กับผู้เสียหายที่ตกเป็นเหยื่อจากปัญหาอาชญากรรมและชดเชยให้ กับจำเลยที่ไม่ได้กระทำความผิด แต่จะต้องสูญเสียอิสรภาพจากการถูกจำคุกในระหว่างการพิจารณาคดี อันเนื่องมาจากการสืบสวนจับกุมตัวที่ผิดพลาด
ซึ่งงบประมาณดังกล่าวยังไม่เพียงพอต่อภารกิจของกรมคุ้มครองสิทธิฯ เพราะนอกจากจะต้องส่งเสริมให้ประชาชนมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับกรมคุ้มครองสิทธิฯแล้ว ยังมีภารกิจที่ต้องประสานงานร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อดำเนินการให้พยาน ผู้เสียหาย และจำเลยในคดีอาญาได้รับการคุ้มครองช่วยเหลือเยียวยา เช่น การจ่ายเงินเยียวยาให้กับผู้เสียหายที่เสียชีวิต จากการกระทำความผิดทางอาญาของบุคคลอื่น ไม่ว่าจะเป็นค่าทดแทนในกรณีที่ถึงแก่ความตาย จำนวนเงิน 30,000-100,000 บาท ค่าทำศพ 20,000 บาท ค่าขาดอุปการะเลี้ยงดู ไม่เกิน 30,000 บาท และค่าเสียหายอื่นๆอีกไม่เกิน 30,000 บาท
นอกจากนี้ ยังต้องจ่ายเงินเยียวยาให้กับจำเลยที่ถูกดำเนินคดีโดยพนักงานอัยการ ซึ่งต่อมาปรากฏหลักฐานว่าไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิด โดยกรมคุ้มครองสิทธิฯจะต้องจ่ายค่าทดแทนการถูกคุมขังในอัตรา วันละ 200 บาท ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการดำเนินคดี เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 30,000 บาท ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายและจิตใจ ไม่เกิน 50,000 บาท เป็นต้น ทำให้ในแต่ละปีกรมคุ้มครองสิทธิฯต้องจ่ายเงินให้กับผู้เสียหายและจำเลยในคดี อาญาเป็นจำนวนมาก เพื่อเรียกความเชื่อมั่นของสังคมที่เสียไปจากกระบวนการยุติธรรมที่ผิดพลาด และบังคับให้เจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติงานด้วยความรอบคอบและระมัดระวังมากยิ่ง ขึ้น ซึ่งงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรในแต่ละปีไม่เพียงพอ
สถิติจากสำนักงานช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา ของกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ในช่วง 3 ปีย้อนหลัง พบว่า งบประมาณประจำปี 2554 มีจำเลยยื่นขอรับเงินเยียวยา 922 ราย ผลการพิจารณาจากคณะกรรมการเห็นสมควรจ่าย 177 ราย ไม่จ่าย 745 ราย รวมเงินเยียวยาที่ต้องจ่ายให้กับผู้ที่ตกเป็นจำเลย รวมทั้งสิ้น 30,748,661.85 บาท งบประมาณปี 2555 มีจำเลยที่ยื่นขอรับเงินเยียวยา 646 ราย พิจารณาตามขั้นตอนแล้วเห็นสมควรจ่าย 68 ราย ไม่จ่าย 578 ราย รวมเงินที่ต้องช่วยเหลือเยียวยาทั้งสิ้น 11,829,834.00 บาท และงบประมาณปี 2556 ข้อมูล ณ วันที่ 31 พฤษภาคม ระบุว่า มีจำเลยยื่นขอรับเงินเยียวยา 465 ราย ผลการพิจารณาเห็นสมควรจ่าย 54 ราย ไม่จ่าย 411 ราย รวมเงินที่ต้องช่วยเหลือเยียวยารวม 10,552,102.00 บาท
หากย้อนไปในช่วงปี 2553-2555 ที่ผ่านมา พบว่ามีคดีที่เป็นการจับกุมผิดตัวหลายคดี มีทั้งที่ปรากฏเป็นข่าวครึกโครมในหน้าหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ และไม่ปรากฏเป็นข่าว ตัวอย่างคดีการจับผิดตัวที่เกิดขึ้นในพื้นที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล เมื่อปี 2555 ซึ่งปรากฏเป็นข่าวหน้า 1 ของหนังสือพิมพ์หลายฉบับ คือคดีของ นายชรินทร์ ช้ำเกตุ อายุ 35 ปี คนขับรถแท็กซี่ หมายเลขทะเบียน มจ 621 กรุงเทพมหานคร ที่ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีชิงทรัพย์ น.ส.ชลลดา จาระสิทธิ์ อายุ 25 ปี พนักงานฝ่ายครัวการบิน บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2555 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ลาดกระบัง และชุดสืบสวนสอบสวน กก.สส.บก.น.3 ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนยืนยันว่ามีพยานหลักฐานชัดเจน แม้นายชรินทร์จะปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิดโดยมีพยานยืนยันว่าวัน เกิดเหตุเขาเดินทางไปต่างจังหวัดกับญาติ แต่คำให้การดังกล่าวกลับไม่เป็นผล แต่ถูกจับขังอยู่ที่โรงพัก 2 วัน ก่อนจะถูกนำตัวไปฝากขังที่เรือนจำมีนบุรีอีก 7 วัน รวมเป็น 9 วันที่ขาดอิสรภาพ
อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่นายชรินทร์ถูกคุมขังอยู่นั้น ได้เกิดเหตุคนร้ายขับแท็กซี่หมายเลขทะเบียน มจ 621 กรุงเทพมหานคร ชิงทรัพย์และข่มขืนหญิงสาวอีกรายหนึ่งเป็นคดีที่เกิดขึ้นซ้ำอีก ทำให้ฝ่ายสืบสวน สน.ลาดกระบัง ต้องมีการรื้อคดีขึ้นมาสืบสวนใหม่ จนกระทั่งพบว่าผู้ต้องหาที่ก่อเหตุตัวจริงคือ นายทินภัทร สิริโสภาโชติกุล เมื่อจับกุมมาได้ก็ให้การรับสารภาพว่าเป็นผู้ก่อเหตุชิงทรัพย์ผู้โดยสาร จริง บางรายก็ลงมือข่มขืนด้วย โดยใช้วิธีติดสติ๊กเกอร์ทะเบียนรถปลอมไว้ภายในรถเพื่อตบตาผู้โดยสาร เมื่อผลคดีออกมาเช่นนี้ ทำให้พนักงานสอบสวน สน.ลาดกระบังมีคำสั่งไม่ฟ้องและรีบนำตัวนายชรินทร์ออกจากเรือนจำทันที แต่กลับไม่มีการแถลงข่าวกับสื่อมวลชนเพื่อให้สังคมได้รับรู้ความจริงว่าเขา เป็นผู้บริสุทธิ์
ต่อมาเมื่อญาติของนายชรินทร์เข้าร้องเรียนต่อสื่อมวลชน จนกลายเป็นข่าวว่ามีการจับผิดตัว ทำให้ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ซึ่งทราบเรื่องภายหลัง ได้เชิญตัวนายชรินทร์มาทำการแถลงข่าวที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล เพื่อยืนยันว่านายชรินทร์เป็นผู้บริสุทธิ์ พร้อมมอบเงิน 20,000 บาท เพื่อช่วยเหลือเยียวยาให้ เพราะกรณีนี้ไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะได้รับเงินเยียวยาจากกรมคุ้มครองสิทธิ และเสรีภาพ เนื่องจากคดีอยู่ในชั้นสอบสวน ไม่ได้ถูกพนักงานอัยการฟ้องเป็นจำเลยในคดีอาญา จึงได้รับเพียงเงินเยียวยาจากเจ้าหน้าที่ตำรวจตามสมควรเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม มีข้อน่าสังเกตว่า คดีดังกล่าวไม่มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสืบสวนหาข้อเท็จจริง เพื่อดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม โดยที่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ออกมาปกป้องว่าเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมปฏิบัติไปตามหน้าที่ เพราะหมายเลขทะเบียนที่คนร้ายตัวจริงทำปลอมขึ้นมาตรงกับทะเบียนรถแท็กซี่ ของนายชรินทร์ รวมทั้งมีผู้เสียหายชี้ตัวยืนยัน ทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้น แต่เรื่องนี้นายชรินทร์ไม่ได้ติดใจเอาความและไม่คิดจะฟ้องร้องดำเนินคดีกับ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ต้องการกลับไปใช้ชีวิตกับครอบครัวเท่านั้น ทำให้เรื่องนี้จบลงได้ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เขาตัดสินใจเลิกอาชีพขับรถแท็กซี่ตลอดไป
จากตัวอย่างคดีที่กล่าวข้างต้นถือเป็นบทเรียนในการสืบสวนสอบสวนของเจ้า หน้าที่ตำรวจที่ควรจะมีการปรับปรุงมาตรฐานในการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเช่นนี้ได้อีก การสืบสวนที่เร่งรัดเพื่อปิดคดี หรือใช้แนวการสืบสวนแบบเก่า เช่น รวบรวมหลักฐานและจับกุมเพียงเพราะหน้าคล้าย ชื่อ – นามสกุล เหมือนกัน หรือมีพยานหลักฐานประกอบไม่กี่อย่าง ควรจะเปลี่ยนไปใช้หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วยในการคลี่คลายคดี เพราะจะทำให้เกิดความถูกต้องและชัดเจนแล้ว ยังสามารถตอบคำถามกับสังคมจนปราศจากความแคลงใจได้อีกด้วย

(ตารางแสดงสถิติการจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาให้กับผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา ในช่วงปีพ.ศ. 2552 – วันที่ 31 พ.ค.2556 ข้อมูลจากสำนักงานช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ)
นายสิทธิศักดิ์ วนะชกิจ โฆษกศาลยุติธรรม กล่าวว่า กระบวนการยุติธรรมทางอาญา ได้แก่ ตำรวจ ศาล อัยการ และราชทัณฑ์ มีหน้าที่นำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษ คุ้มครองความปลอดภัยให้กับผู้เสียหายและสังคม บำบัดผู้กระทำผิดให้เป็นคนดีเมื่อกลับคืนสู่สังคม ในกระบวนการยุติธรรมนั้นแต่ละหน่วยงานมีความเป็นอิสระจากกัน แต่จะต้องอยู่ภายใต้หลักการตรวจสอบดุลและคานกัน เช่น อัยการตรวจสอบสำนวนการสอบสวนของตำรวจ ศาลเปิดโอกาสให้จำเลยได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ตามที่ถูกโจทย์ยื่นฟ้อง แต่การจับกุมผิดตัวก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้เช่นกัน แต่การลงโทษผิดคนมีโอกาสเกิดขึ้นน้อย
โฆษกศาลยุติธรรม ระบุว่า การลงโทษผิดคนมีโอกาสเกิดขึ้นน้อย เนื่องจากการพิพากษาของศาลยุติธรรมจะอยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย ป.วิอาญา มาตรา 227 ว่า "ให้ศาลใช้ดุลยพินิจ วินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวง อย่าพิพากษาลงโทษจนกว่าจะแน่ใจว่ามีการกระทำความผิดจริงและจำเลยเป็นผู้ กระทำความผิดนั้น" เมื่อเกิดความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยกระทำความผิดหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย
นอกจากนี้ นายสิทธิศักดิ์ ยอมรับว่า การจับผิดตัวส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของสถาบันวิชาชีพตำรวจ และกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนและสายตาของชาวต่างชาติที่มีคดีความ ทำให้ผู้ที่ตกเป็นจำเลยโดยไม่ได้กระทำความผิดต้องสูญเสียเสรีภาพ ได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียง เกียรติคุณ หน้าที่การงานและครอบครัว สูญเสียโอกาสต่างๆมากมาย แต่บุคคลที่ไปยื่นขอรับเงินเยียวยาจากกรมคุ้มครองสิทธิฯ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นแพะเสมอไป อาจเป็นกรณีที่ศาลยกฟ้องเพราะพยานหลักฐานไม่เพียงพอ ยกฟ้องเพราะมีเหตุแห่งความสงสัย การที่ศาลยกฟ้องไม่ได้หมายความว่าบุคคลนั้นบริสุทธิ์อันเกิดจากการจับผิดตัว แต่จะมีคนกลุ่มหนึ่งที่ศาลยกฟ้องเพราะหลักฐานไม่เพียงพอหรือเพราะเหตุสงสัย ดังนั้นกรณีจับแพะหากเกิดขึ้นจริงก็ต้องตรวจสอบว่าเกิดความผิดพลาดในขั้น ตอนใด
นายสิทธิศักดิ์ กล่าวว่า ระบบการสืบสวนสอบสวนของกระบวนการชั้นต้นหรือตำรวจของประเทศไทยนั้น ยังขาดความเป็นมาตรฐานสากล ขาดความเป็นมืออาชีพ เพราะในประเทศที่เจริญแล้วต้องมีความรู้ มีทั้งศาสตร์และศิลป์ จะไม่ใช้วิธีการเอาตัวมาก่อน แล้วมาเค้นเพื่อให้ยอมรับสารภาพ จากนั้นจึงไปดำเนินการขออำนาจศาลออกหมายจับหรืออหมายค้น ตามหลักการต้องขอหมายจับหมายค้นก่อนจึงจะนำตัวมาสอบสวนได้ มีนายตำรวจหลายคนที่รู้จักกันเล่าให้ฟังว่า “ศาลถูกหลอก” เพราะตำรวจไปดำเนินการมาเรียบร้อยแล้ว จากนั้นจึงมาขอหมายจับทีหลัง เพื่อให้ถูกต้องตามกระบวนการของกฎหมาย สาเหตุเพราะถูกผู้บังคับบัญชาขีดเส้นว่าต้องจับให้ได้ภายใน 3 วัน 7 วัน โดยเฉพาะคดีที่อยู่ในความสนใจของสื่อมวลชนหรือพี่น้องประชาชน
“บางครั้งก็จับคนหน้าเหมือนมา ทำให้กระบวนการจับตัวผู้กระทำความผิดเกิดความผิดพลาดได้ ปัจจุบันตำรวจ มีหลายปัจจัยแทรก เช่น ระยะเวลาที่ถูกกำหนดโดยนโยบาย ความเป็นมืออาชีพ และความไม่รู้ของผู้ต้องหา ซึ่งผู้จับกุมต้องแจ้งสิทธิ์ให้ผู้ต้องหาทราบ เช่น มีสิทธิ์ที่จะให้การหรือไม่ให้ก็ได้ สิทธิ์ที่จะได้พบทนาย กฎหมายรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ป.วิอาญา ของประเทศไทยก็บัญญัติเอาไว้ แต่ในทางปฏิบัติ เจ้าหน้าที่ตำรวจมักไม่แจ้งสิทธิ์เหล่านี้ให้ผู้ต้องหาทราบ ส่วนใหญ่ใช้วิธีจับกุมเพื่อให้ได้ผลงานโดยเร็ว เราไม่ได้โทษว่าตำรวจทำไม่ถูก แต่น่าจะเป็นการคุ้นชินกับระบบการสืบสวนสอบสวนที่ไม่ใช้กฎหมายเป็นตัวนำ แต่ใช้วิธีการที่นำไปสู่การแสวงหาพยานหลักฐาน เมื่อได้แล้วจึงค่อยหาวิธีทำให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย” นายสิทธิศักดิ์กล่าว
โฆษกศาลยุติธรรม ให้คำแนะนำว่า หากบุคคลใดตกเป็นจำเลยโดยที่ไม่ได้กระทำความผิด ให้ปฏิเสธและต่อสู้คดีในชั้นศาลจนถึงที่สุด หากศาลพิพากษาอันถึงที่สุดแล้วว่าไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิด ก็สามารถยื่นเรื่องขอรับเงินเยียวยาจากกรมคุ้มครองสิทธิฯได้ และหากต้องการเอาผิดกับเจ้าหน้าที่รัฐก็สามารถฟ้องร้องได้ในข้อหาปฏิบัติ หน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา157 แต่ต้องเป็นกรณีที่มีการเจตนาหรือกลั่นแกล้งจับกุม หากผู้จับกุมได้กระทำโดยรอบคอบแล้ว ศาลก็จะพิจารณาว่าไม่ต้องรับโทษทางอาญาได้
นอกจากนี้ นายสิทธิศักดิ์ กล่าวถึงแนวปฏิบัติในการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อไม่ให้เกิดการจับผิดตัวนั้น จะต้องยึดกฎหมายเป็นเครื่องมือในการทำงาน อาจล่าช้าบ้าง แต่ก็ดีกว่าใช้วิธีการนอกรูปแบบไปล่วงละเมิดสิทธิของผู้อื่น ทำให้เกิดความเสียหาย การสืบสวนสอบสวนแบบสมัยโบราณหรือใช้ความถนัดเฉพาะตัวในการจับกุมตัวมาสอบสวน ควรจะหมดไปได้แล้ว ควรใช้วิธีการอย่างมืออาชีพ ใช้หลักวิชาการในการสืบสวนสอบสวน เทคนิคทางบุคคล เทคโนโลยีและหลักนิติวิทยาศาสตร์ในการหาหลักฐานมัดตัวผู้กระทำความผิด ไม่ควรใช้วิธีข่มขู่ บังคับ หรือใช้ความรุนแรง รวมทั้งจะต้องแจ้งสิทธิให้ผู้ต้องหาทราบและมีทนายในการที่จะให้ถ้อยคำตามที่ กฎหมายบัญญัติไว้ จำเป็นต้องมีการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมในวิชาชีพให้มากๆ
“การเป็นผู้รักษากฎหมายมีกฎหมายอยู่ในมือ ควรใช้กฎหมายรักษาความเป็นธรรม ไม่ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการแสวงหาผลประโยชน์ คนที่จะทำหน้าที่สืบสวนสอบสวน ติดตามจับกุมตัวคนร้าย และที่สำคัญการดำเนินการทุกอย่างต้องตรวจสอบได้ ไม่อยู่บนความเคลือบแคลงสงสัย กระบวนการยุติธรรมต้องเข้าถึงได้ เข้าถึงง่าย ผู้เสียหาย เหยื่อ หรือตัวผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด จึงจะทำให้ปัญหาความคาใจในกระบวนการยุติธรรมลดน้อยลงได้" โฆษกศาลยุติธรรมกล่าว
ส่วนปัญหาเรื่องการจับผิดตัวนั้น พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(ผบช.ก.) ได้ทำการศึกษาวิจัยปัญหาในการสืบสวนของตำรวจจนบางครั้งนำไปสู่ปัญหาการจับ ผิดตัว หรือขยายผลจับกุมตัวการใหญ่ไม่ได้ว่า มีการใช้เทคนิคการสืบสวนสมัยใหม่ร่วมกับทีมงานตำรวจมือดีในต่างประเทศ รวมทั้งการจัดทำหลักสูตรการฝึกอบรมให้แก่ตำรวจในสังกัด เนื้อหาว่าด้วยการสืบสวนสมัยใหม่แบ่งเป็น 15 วิชา อาทิ การใช้วิชาการตำรวจสมัยใหม่ 5 ทฤษฎี 1 หลักการ, วิทยาศาสตร์ประยุกต์, การสืบสวนเชิงรุก, การจัดการด้านข้อมูลอาชญากรรม ประเภทของคนร้าย ภูมิศาสตร์อาชญากรรม การบูรณาการและการรักษาสถานที่เกิดเหตุ แผนประทุษกรรมและลายเซ็นอาชญากร การสังเกตการณ์และการสะกดรอยติดตาม การอำพราง การวิเคราะห์พฤติกรรม ผลวิจัยในงานตำรวจ และความรู้เรื่องเหยื่อวิทยา วิธีการล่าเหยื่อของมนุษย์ ซึ่งตำรวจควรต้องรู้ว่ามนุษย์มีธรรมชาติในการล่าเหยื่ออย่างไร ถือเป็นครั้งแรกในวงการตำรวจไทยที่มีการสอนวิชาการสืบสวนสมัยใหม่ ซึ่งหลักสูตรนี้เปิดสอนมากว่า 3 ปี
พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ยอมรับว่า การสืบสวนแบบเก่ายังไม่สามารถตอบข้อสงสัยบางประการ และไม่สามารถตรวจสอบได้ ในขณะที่การสืบสวนสมัยใหม่ต้องพร้อมที่จะถูกตรวจสอบ การออกหมายจับหรือการจับกุมตัวมาดำเนินคดีด้วยวิธีเก่าๆอาจก่อให้เกิดความ ผิดพลาดได้ง่าย แต่หลักนิติวิทยาศาสตร์เป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยในการศึกษาพฤติกรรมศาสตร์ได้ ซึ่งการวิจัยการกระทำผิดของผู้ต้องหา จากการสอบถามและเก็บข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ตำรวจทั่วประเทศพบว่า 92 เปอร์เซ็นต์ ยอมรับว่า ควรปรับปรุงการสืบสวนแบบเก่า การทำงานสืบสวนจะต้องมีความระมัดระวังมากขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากมีกฎหมายคุ้มครองเรื่องสิทธิมนุษยชนมากขึ้น
พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ กล่าวด้วยว่า การจัดอบรมในหลักสูตรดังกล่าว ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ มีความรู้ความเข้าใจในหลักการสืบสวนสมัยใหม่ที่ใช้หลักนิติวิทยาศาสตร์เข้า มาวิเคราะห์และประกอบในการทำคดี เช่น การศึกษาหลักพฤติกรรมศาสตร์ของคนร้าย การสืบสวนแบบปกปิดและเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ในการสะกดรอย เพราะปัจจุบันเทคโนโลยีมีความล้ำหน้าไปมาก คนร้ายเปลี่ยนรูปแบบการก่ออาชญากรรมอยู่ตลอด เมื่อตำรวจมีความรู้ทำให้งานสืบสวนจับกุมมีคุณภาพ ไม่สืบสวนผิดทาง ค้นหาความจริงได้ ไม่จับผิดตัว และสืบสวนไปถึงคนร้ายรายสำคัญได้ ที่ผ่านมา บช.ก.ใช้หลักการสืบสวนสมัยใหม่ในหลายคดีสามารถแก้ปัญหาการจับผิดตัวได้หลาย ราย แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้เพราะเกรงว่าจะกลายเป็นประเด็นการเมืองและกระทบต่อ ความมั่นคง
ดังนั้น หากการสืบสวนของตำรวจไทยจะถึงเวลาที่จะปรับเปลี่ยนการทำงานจากรูปแบบเดิมๆ ที่ใช้วิธีการสอบปากคำ การชี้ตัว และดูภาพจากกล้องวงจรปิดแล้วออกหมายจับเพื่อดำเนินคดี แต่เปลี่ยนมาใช้แนวทางการสืบสวนแนวใหม่ที่มีการเชื่อมโยงโดยใช้หลักนิติ วิทยาศาสตร์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการทำงานสืบสวนและพิสูจน์ทราบในคดีต่างๆ ก็เชื่อแน่ว่าจะช่วยให้ปัญหาการจับผิดตัวลดน้อยลงได้ และคงจะไม่เกิดการจับแพะดังเช่นคดีที่ผ่านๆมา รวมทั้งทำให้รัฐบาลเองก็ไม่ต้องสูญเสียงบประมาณจำนวนมากในการเยียวยาจำเลย ที่ไม่ได้กระทำความผิดด้วย
.....
หมายเหตุ : สกู๊ปข่าวชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของ “โครงการอบรมการรายงานข่าวเชิงสืบสวนสอบสวนในคดีละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยใช้พยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์” ที่สถาบันอิศราจัดขึ้นโดยการสนับสนุนของมูลนิธิเอเชีย ติดตามสกู๊ปข่าวชิ้นอื่นๆ ในโครงการนี้ได้ที่ http://forensicnews.isranews.org/
