ปัญหาใบเกิดไม่สวย แก้ด้วยดีเอ็นเอคงไม่พอ
การแจ้งเกิดบุตร โดยไม่ระบุชื่อบิดาหรือใส่ชื่อผู้อื่นเป็นบิดาลงในสูติบัตรของเด็กเป็นปัญหา สำคัญที่เกิดขึ้นจริงในสังคมไทยโดยยังไม่มีหน่วยงานใดคิดแก้ไข อย่างจริงจัง อีกทั้งดูเหมือนทุกฝ่ายยังคงปล่อยปละปานประหนึ่งว่ากำลังรอคอยให้ผลกระทบและ ความวุ่นวายอุบัติขึ้น

การใช้สูติบัตรเป็นเครื่องมือละเมิดสิทธิมนุษยชนเอารัดเอาเปรียบกันในสังคมมีเกิดขึ้นมานานแล้ว และคงไม่มีใครกล้าปฏิเสธบ้างว่า ไม่เคยได้ยินเรื่องบุคคลที่พ่อแม่แจ้งเกิดช้า จนมีเด็กโข่งร่วมชั้นเรียนเดียวกันกับเด็กตามวัยปกติปะปนอยู่จำนวนมาก
จะด้วยความหัวหมอของพ่อกับแม่ หรือความรู้เท่าไม่ถึงการณ์อันนำมาซึ่งการแจ้งเกิดต่อนายทะเบียนล่าช้า แต่ทว่าเด็กโข่งเหล่านั้นกลับมีวัยวุฒิได้เปรียบคนอื่น เพราะตัวเองเกิดก่อนลูกชาวบ้านในช่วงวันและเวลาที่ต้องเข้ารับการศึกษา การเกณฑ์ทหาร หรือสอบแข่งขันเข้าทำงานราชการ จึงเกิดความเหลื่อมล้ำกับคนวัยเดียวกันไปตามนิตินัย
ต่อมาจึงมีการร่างกฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหาความเอารัดเอาเปรียบและความสับสน วุ่นวายที่เกิดขึ้นมาช้านาน โดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ.2534 ได้กำหนดระเบียบปฏิบัติ การแจ้งเกิด การแจ้งตาย การโยกย้ายที่อยู่ การจัดทำทั้งทะเบียนคนและทะเบียนบ้านขึ้นมาอย่างเป็นระบบระเบียบมากขึ้น
สาระสำคัญหนึ่งของการแจ้งเกิดที่ระบุไว้ตามกฎหมายฉบับนี้ คือ หากมีคนกำเนิดเกิดจากครรภ์มารดา ไม่ว่าจะคลอดในบ้าน คลอดนอกบ้าน หรือคลอดออกมาตามสถานพยาบาล ให้ผู้เป็นบิดา มารดา เจ้าบ้าน หรือเจ้าหน้าที่ของสถานพยาบาลไปแจ้งเกิดต่อนายทะเบียนภายใน 15 วัน กรณีมีอุปสรรคทำให้การแจ้งเกิดล่าช้าสามารถยื้อเวลาออกไปได้ไม่เกิน 30 วัน
ทว่ายังมีปัญหาที่เกิดขึ้นจากช่องว่างของกฎหมายฉบับดังกล่าวในส่วนที่ เป็นสาระสำคัญของการแจ้งเกิดตามมาอีกนั่นคือ มีการอนุญาตให้แจ้งเกิดบุคคลต่อนายทะเบียน โดยไม่ต้องระบุชื่อบิดาก็ได้ นั่นหมายความว่า ในช่องใส่ชื่อบิดาของสูติบัตรบุคคลคนนั้นจะแสดงข้อความในสถานะ “ไม่ปรากฏ” เรียกตามความเข้าใจของชาวบ้านได้อีกอย่างว่า “ใบเกิดไม่สวย” หรือ “ใบเกิดไม่สมบูรณ์”
ความตั้งใจของมารดาและผู้สมรู้ร่วมคิดชิดใกล้ในขณะนั้นไม่ว่าจะกรณีใดๆ ที่ร่วมกันก่อเหตุให้ใบเกิดหรือสูติบัตรบุตรตนเองออกมาไม่สวย ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นรุนแรงต่อเด็กตั้งแต่วันแรกที่ลืมตาออกมา ดูโลก เพราะไม่ว่ามนุษย์คนใดบนโลกใบนี้ต่างก็อยากรู้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตัวตนผู้ ให้กำเนิดของตัวเอง อย่างน้อยได้รู้ว่าใครเป็นพ่อเป็นแม่แม้จะไม่ได้เห็นหน้าค่าตากันจนถึงวัน หมดลมหายใจก็ยังดีกว่าโดนปิดกั้นไม่ให้ล่วงรู้ได้เลยแม้กระทั่งชื่อบิดา
แต่ที่ย่ำแย่แลดูอีรุงตุงนังไปมากกว่านั้นคือ ระหว่างที่ยังหาชื่อบิดาตัวจริงมารับผิดชอบชีวิตน้อยๆ ด้อยเดียงสาในใบสูติบัตรไม่ได้ บางกรณีกลับมีผู้หวังดีเจตนาลบปมด้อยของเด็ก ด้วยการยินยอมเสนอชื่อสวมรอยแจ้งเท็จเป็นบิดาเสียเองในใบเกิด โดยหารู้ไม่นั่นอาจเป็นการเพิ่มปัญหาให้ตัวผู้กำเนิดตั้งแต่วันแจ้งเกิดตลอด ไปจนถึงวันตาย
ช่องว่างของกฎหมายดังกล่าวน่าจะเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนกันตั้งแต่ตอนแจ้งเกิด ในสายตาของ นายสมชาย หอมลออ เลขาธิการมูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา นักวิชาการคนสำคัญด้านสิทธิมนุษยชน
นายสมชายได้กล่าวไว้ว่า “มนุษย์ทั้งหลายเกิดมามีอิสระและเสมอภาคกันในศักดิ์ศรีและสิทธิ มีเหตุผลและมโนธรรม และควรปฏิบัติต่อกันฉันท์พี่น้องตามปฏิญญาสากล สำหรับประเทศไทยศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพและความเสมอภาคของบุคคลย่อมได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มาตรา 4สิทธิของบุคคลตามหลักสากลสามารถจำแนกเป็นด้านๆ ได้หลายประการอาทิ สิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง สิทธิทางเศรษฐกิจสังคมและวัฒนธรรม สิทธิความเสมอภาคระหว่างประเทศ สิทธิในการพัฒนาและสิทธิชุมชน โดยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองเป็นเรื่องพื้นฐานที่บุคคลควรได้รับความ เป็นธรรมตั้งแต่ต้น เช่น สิทธิในการมีทะเบียนเกิด เป็นของตัวเอง”
เนื่องจากรัฐธรรมนูญไทยได้ให้ความคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพและความเสมอภาคของบุคคล ซึ่งหมายรวมถึงสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองอันเป็นเรื่องพื้นฐานที่ บุคคลควรได้รับความเป็นธรรมตั้งแต่ต้น ดังนั้น สิทธิในการมีทะเบียนเกิดหรือมีสูติบัตรที่ถูกต้องสมบูรณ์ตั้งแต่เกิดย่อม เป็นเรื่องที่บุคคลควรได้รับโดยชอบธรรมอย่างมิต้องเคลือบแคลงสงสัย
นายวิโรจน์ ศรีสวัสดิ์ ผู้อำนวยการส่วนการทะเบียนราษฎร กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ยอมรับว่า ปัจจุบันมีการแจ้งเกิดในสูติบัตรโดยไม่ระบุชื่อบิดาจริงซึ่งยังไม่มีการเก็บ รวบรวมสถิติอย่างเป็นทางการ โดยเหตุผลเชื่อได้ว่ามารดาเด็กหรือผู้แจ้งเกิดคงยึดตามข้อเท็จจริงในขณะที่ แจ้งเป็นหลัก หากบิดามีเจตนาจะไม่รับผิดชอบและตั้งใจจะไม่ปรากฏตัวขณะบุตรเกิดก็ให้แจ้ง ชื่อมารดาในสูติบัตรเพียงคนเดียว ซึ่งมารดาจะมีสิทธิเต็มที่ในการดูแลและตัดสินใจแทนบุตรเพียงผู้เดียวจนกว่า จะบรรลุนิติภาวะ และทางกฎหมายคงไม่สามารถไปบังคับให้ใส่ชื่อบิดาขณะแจ้งเกิดได้เนื่องจากเป็น เรื่องตามข้อเท็จจริงในขณะนั้น
นายวิโรจน์กล่าวว่า กรณีการไม่ระบุชื่อบิดาตั้งแต่แจ้งเกิดหากบิดามีความประสงค์ที่จะกลับมา รับรองบุตรตัวเองในภายหลัง ทางนายทะเบียนท้องที่ที่รับแจ้งจะทำการสอบสวนตามขั้นตอนเพื่อดำเนินการเพิ่ม เติมในใบสูติบัตรให้ ซึ่งมีความจำเป็นต้องพาผู้นำชุมชน ผู้ใหญ่บ้าน หรือญาติพี่น้องมาช่วยยืนยันหรือรับรองกันจึงจะเพิ่มเติมให้ได้ ขั้นตอนจะวุ่นวายพอสมควร หากมีการยืนยันกันแล้วยังไม่น่าเชื่อถือก็อาจต้องลงลึกถึงการพิจารณาผลตรวจ ดีเอ็นเอเพื่อยืนยันความสัมพันธ์ของพ่อกับลูกด้วยเช่นกัน
“สำหรับกรณีการแจ้งชื่อบิดาเป็นเท็จในใบสูติบัตรไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ ตาม หากมีการตรวจพบในภายหลังหรือบิดาตัวจริงกลับมาทวงสิทธิขอรับรองบุตร ยืนยันว่าเรื่องยุ่งยากกว่าแน่นอน เริ่มจากผู้แจ้งจะถูกดำเนินคดีตามฐานความผิด ผู้ใด ทำ ใช้หรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จหรือกระทำการเพื่อให้ตนเอง หรือผู้อื่นมีชื่อหรือมีรายการอย่างใดอย่างหนึ่งในทะเบียนบ้านหรือเอกสารการ ทะเบียนราษฎรอื่นโดยมิชอบ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 3 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000 บาทถึง 100,000 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตาม พ.ร.บ.ทะเบียนราษฎร มาตรา 50 พ.ศ.2534 (แก้ไข พ.ศ.2551) จากนั้นจึงเข้ากระบวนการสอบสวนของนายทะเบียนแต่ละท้องถิ่นเพื่อทำให้เชื่อ ว่าบิดาคนใดเป็นตัวจริง ซึ่งกรณีนี้คงต้องลงลึกถึงผลตรวจดีเอ็นเอแน่นอน”
ในแง่กฎหมายนั้น นายอวิรุทธ์ ชาญชัยกิตติกร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล แขวงสมุทรปราการ เตือนถึงผลลบต่อเรื่องนี้ของคนที่มี”ใบเกิดไม่สวย”ที่อาจตามมาภายหลังได้โดย ที่เจ้าตัวอาจไม่ได้ตระหนักถึงนอกจากเรื่องปมด้อยของตัวเอง
“ประเด็นของผู้ที่มีใบเกิดไม่ปรากฏชื่อบิดา นอกจากทำให้เกิดปมด้อยในใจตั้งแต่เด็กแล้ว ยังอาจเกิดปัญหาเรื่องการรับเข้าศึกษาของบางสถาบัน และขัดต่อระเบียบการขอสมัครสอบเข้าทำงานในหน่วยงานราชการต่างๆ เนื่องจากส่วนใหญ่ระบุว่าผู้สมัครต้องมีพ่อและแม่ถือสัญชาติไทย นอกจากนี้เวลาขอวีซ่าเดินทางไปบางประเทศต้องให้พ่อแม่ที่แท้จริงเป็นผู้รับรองบุตรเองด้วย ถ้าหากไม่ปรากฏชื่อบิดาใบในเกิดตั้งแต่ต้นจึงจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการ แก้ไขหรือผ่านกระบวนการทำให้ถูกต้องมากกว่าคนอื่นที่มีทั้งพ่อและแม่อย่าง สมบูรณ์ โดยห้วงเวลาดำเนินการนี้จะมีความยุ่งยากและอาจทำให้บุคคลนั้นเสียสิทธิ์ที่พึงจะได้รับ”
"สำหรับกรณีการแจ้งชื่อบิดาอันเป็นเท็จพิจารณาความตามกฎหมายครอบครัวโดย เฉพาะเรื่องที่มารดาแอบอ้างนำชื่อฝ่ายชายที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันไปใส่ใน สูติบัตร ฝ่ายชายสามารถฟ้องร้องเพิกถอนและเรียกร้องเอาค่าเสียหายได้โดยต้องผ่านการ พิสูจน์ทางดีเอ็นเอ ซึ่งหากตรวจแล้วไม่ตรงกันแน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องรับรองบุตรและบุตรก็ไม่ สามารถขอแบ่งมรดกได้ ทั้งนี้ในประเด็นที่ว่ามีการนำชื่อญาติ พี่น้อง เพื่อนฝูงมาใส่เป็นบิดาก็จะเกิดปัญหาตามมาเช่นเดียวกัน ตัวอย่างเช่น หากบิดาตัวปลอมคนดังกล่าวไปก่อเรื่องเป็นหนี้เป็นสินแล้วเกิดการเสียชีวิตไป ก่อน เจ้าหนี้ก็จะฟ้องร้องบังคับให้ทายาทชำระแทนได้ หรือหากบิดาตัวปลอมคนที่ว่าขับรถไปประสบอุบัติเหตุจนตัวเองตายแล้วมีคู่กรณี ตายด้วย ทางญาติของคู่กรณีก็สามารถเรียกร้องค่าสินไหมจากการกระทำของบิดาโดยทายาท ต้องรับผิดชอบ ซึ่งกระบวนการพิสูจน์ข้อเท็จจริงตามตัวอย่างเหล่านี้ล้วนมีความยุ่งยากและ ต้องใช้ระยะเวลานาน”

ขณะที่ พล.ต.ท.จรัมพร สุระมณี ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และอดีตผู้บัญชาการสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ กล่าวว่า ตามความคิดเห็นส่วนตัวเชื่อว่า การที่ทางราชการอนุญาตให้แจ้งเกิดได้โดยไม่ปรากฏชื่อบิดาในสูติบัตร เป็นการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับทะเบียนประวัติบุคคลในเบื้องต้นให้แก่เด็กและ มารดามากกว่า
ส่วนเรื่องที่มีการแจ้งชื่อเท็จโดยนำชื่อญาติๆ เพื่อนฝูงของมารดาไปลงข้อมูลในสูติบัตรนั้นเชื่อว่าส่วนใหญ่ต้องการทำเพื่อ ลบปมด้อยทางสังคมที่จะเกิดขึ้นกับเด็กโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่นั่นเป็นเรื่องที่นายทะเบียนไม่สามารถล่วงรู้ได้ตั้งแต่ต้น จนกว่าจะมีปัญหาฟ้องร้องขอเปลี่ยนชื่อหรือต้องการพิสูจน์ข้อเท็จจริงกันใน ภายหลัง
กรณีที่มารดาถูกข่มขืนแล้วเกิดตั้งครรภ์จนคลอดบุตรออกมาแต่ไม่อยากแจ้ง เกิดบุตรโดยมีชื่อบิดาในสูติบัตรอาจพอเข้าใจได้ซึ่งก็เป็นส่วนน้อยที่ผู้ เสียหายจะยินยอมให้บุตรเกิดมาในสภาพแบบนั้น แต่การตั้งครรภ์นอกสมรสควรมีมาตรการชี้ชัดไปเลยว่าจะให้แจ้งเกิดในลักษณะใด เพราะสังคมไทยในปัจจุบันมีบิดาที่ไม่ประสงค์จะรับผิดชอบหรือรับรองบุตรของ ตัวเองตั้งแต่แรกเกิดมากขึ้น
“ต้องยอมรับว่าการกำหนดมาตรการดังกล่าวอาจพูดกันง่ายแต่เป็นเรื่อง ยากอย่างยิ่งในทางปฏิบัติเนื่องจากต้องระวังปัญหาเด็กเกิดมามีปมด้อย ซึ่งเวลานี้พอมีปัญหาเรื่องการฟ้องร้องขอรับรองบุตรนอกสมรส ขอแบ่งและรับมรดก ขอสัญชาติร่วมกับบิดาชาวต่างชาติ ขอมีถิ่นที่อยู่ หรืออีกจิปาถะตามคำสั่งศาลและคำร้องขอของหน่วยงานราชการ ต้องกระทำการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลยืนยันความเป็นพ่อ แม่ ลูก กันด้วยวิธีการตรวจจากดีเอ็นเอ”
การตรวจหาดีเอ็นเอตามคำสั่งศาลหรือการร้องขอจากหน่วยราชการต้องผ่านการ รับรองจากองค์กรอันเป็นที่ยอมรับ หากคู่กรณีประสงค์ดำเนินการพิสูจน์กันเองก็ได้แต่ต้องได้รับความยินยอมทั้ง 2 ฝ่าย กรณีบุตรบรรลุนิติภาวะแล้วตัวบุตรต้องยินยอมด้วย ส่วนหน่วยงานราชการที่รับตรวจนอกจากสถาบันนิติเวชวิทยา สำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้ว ยังมีคณะแพทยศาสตร์ของโรงพยาบาลรัฐบาลอีกหลายแห่งรับดำเนินการ
“ขั้นตอนการตรวจตามหลักสากลที่ปฏิบัติกันคือการเจาะเลือดและใช้เครื่อง มือขูดเนื้อเยื่อบริเวณกระพุ้งแก้มของผู้รับการตรวจ จากนั้นผู้ทำหน้าที่ตรวจก็จะนำตัวอย่างดีเอ็นไปเข้ากระบวนการทางเคมีตามระยะ เวลาที่กำหนดไว้ ใช้น้ำยาสกัด วัดปริมาณ เพิ่มปริมาณ อ่านวิเคราะห์ค่าที่ออกมาตามกราฟ จะทราบผลการตรวจยืนยันได้ภายใน 1 สัปดาห์” พล.ต.ท.จรัมพร กล่าว
มาถึงบรรทัดนี้จึงทราบได้ว่า นอกจากกระบวนการฟ้องร้องไม่ว่ากรณีใดๆ อันเกี่ยวข้องกับการขอใส่ชื่อหรือแก้ไขชื่อบิดาตามความเป็นจริงในสูติบัตร ล้วนมีความยุ่งยากมากมายหลายขั้นตอน บวกกับค่าใช้จ่ายที่ต้องมีเพิ่มขึ้นจากกรรมวิธีขอตรวจดีเอ็นเอยืนยันความ สัมพันธ์ของคนในครอบครัวถือเป็นเรื่องวุ่นวาย โดยเฉพำหรับผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางอันเป็นหมู่ชนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ใน สังคมไทย แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้รับความนิยมเสียทีเดียว
เพราะจากการตรวจสอบสถิติผู้ขอเข้ารับการตรวจดีเอ็นเอ เพื่อยืนยันความสัมพันธ์ทางสายเลือด ของสถาบันนิติเวชวิทยา สำนักงานตำรวจแห่งชาติเพียงแห่งเดียว ย้อนหลังไป 3 ปี พบว่า มีตัวเลขสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย ปี พ.ศ.2553 มีผู้ขอเข้ารับการตรวจ จำนวน 329 ครอบครัว ปี พ.ศ.2554 มีผู้ขอเข้ารับการตรวจ จำนวน 352 ครอบครัว และ ปี พ.ศ.2555 มีผู้ขอเข้ารับการตรวจ จำนวน 388 ครอบครัว
ส่วนในปีนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2556 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2556 มีครอบครัวที่ขอรับการตรวจสารพันธุกรรมยืนยันความสัมพันธุ์ทางสายเลือดไป แล้ว จำนวน 228 ครอบครัว แบ่งเป็น มกราคม 66 ครอบครัว กุมภาพันธ์ 36 ครอบครัว มีนาคม 40 ครอบครัว เมษายน 25 ครอบครัว พฤษภาคม 34 ครอบครัว และ มิถุนายน 27 ครอบครัว ตัวเลขในครึ่งปีแรกนี้พอคาดเดาได้ว่าน่าจะมีสถิติสูงกว่า 3 ปี ที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อสอบถาม พ.ต.ท.สรยุทธ ปุสสะ ช่างภาพทางการแพทย์ กลุ่มงานนิติพยาธิ สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ ได้ความว่า การเดินทางมาขอรับการตรวจสารพันธุกรรมเพื่อพิสูจน์หลักฐานเกี่ยวกับความ สัมพันธ์ของบุคคลในครอบครัวนั้น ส่วนใหญ่จะมีคำสั่งศาลหรือหนังสือนำส่งจากหน่วยงานราชการมายื่นประกอบการ เขียนคำร้องด้วย มีบ้างที่คู่สามีภรรยาทั้งในและนอกสมรสต้องการตรวจสอบกันเองว่าดีเอ็นเอของ ลูกตรงกับฝ่ายชายหรือไม่ หากมาเป็นคู่สามีภรรยาที่บรรลุนิติภาวะก็จะให้ลงนามยินยอมทั้งสองฝ่าย ทว่าหากฝ่ายสามีหรือฝ่ายภรรยายังเป็นผู้เยาว์ก็ต้องเรียกผู้ปกครองของฝ่าย นั้นมาลงนามยินยอมด้วยเช่นกันจึงจะสามารถกรอกใบคำร้องขอรับการตรวจได้
ส่วนค่าใช้จ่ายที่กำหนดนั้นอยู่ที่ความยากง่ายและปริมาณสารเคมีที่จะใช้ ตรวจ อาทิ กรณีตรวจพ่อ แม่ และลูก ในคราวเดียวกัน คิดอัตรารายละ 4,200 บาท รวม 3 คน ก็เสียค่าตรวจ จำนวน 12,600 บาท แต่กรณีที่จะตรวจยากและมีใช้จ่ายสูงกว่านั้นคือ ครอบครัวที่มารับการตรวจเฉพาะคู่ พ่อกับลูก แม่กับลูก ปู่กับหลานชาย ยายกับหลานสาว ลุงกับหลาน ป้ากับหลาน หรือพี่กับน้อง โดยสถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจจะตรวจให้ฟรีเพียงกรณีที่ได้รับการร้องขอจากพนักงานสอบสวนตาม โรงพักเมื่อเกิดคดีความทางอาญา เช่น ตรวจดีเอ็นเอจากญาติของศพที่ถูกฆาตกรรม เพื่อสนับสนุนกระบวนยุติธรรมและการดำเนินการสอบสวนให้เดินหน้าไปอย่าง สมบูรณ์
สำหรับกรณีที่มีใบคำร้องจากทางอำเภอหรือทางสำนักงานเขตส่งมาให้ตรวจเพื่อ พิสูจน์ทราบและผลลัพธ์ส่งผลกระทบโดยตรงต่อตัวผู้รับการตรวจทางกฎหมาย มีทั้ง กรณีการขอถิ่นที่อยู่ให้บุตรซึ่งรับมาจากต่างประเทศ การขอทำบัตรประชาชนย้อนหลังในพื้นที่ทุรกันดาร หรือการพิสูจน์ตัวตนบิดามารดาก็มีมากขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะครอบครัวที่แจ้งชื่อบิดาเป็นเท็จในใบสูติบัตรเด็กนับวันจะมีมากขึ้น ยิ่งตามต่างจังหวัดผู้เฒ่าผู้แก่ไม่มีความรู้ถึงกับสนับสนุนให้มีการแจ้ง ชื่อบิดาเป็นเท็จเพื่อให้การแจ้งเกิดผ่านไปโดยหารู้ไม่ว่าอาจสร้างปัญหาหลาย ด้านตามมาในภายหลัง
“เรื่องนี้สมควรได้รับการแก้ไขอย่างรวดเร็วโดยให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่ บุคลากรของชาติ ตั้งแต่ในช่วงที่ยังเป็นเด็กและเยาวชน” พ.ต.ท.สรยุทธ กล่าว
แม้จะมีความวุ่นวายจากกระบวนการแก้ไขปัญหาและเกิดภาระค่าใช้จ่ายตามมามาก มาย แต่ยังมีหน่วยงานเอกชนที่ถือโอกาสเปิดตัวขึ้นมาทำธุรกิจนี้ มีการติดประกาศข้อความโฆษณาข้างรถประจำทางและจดทะเบียนเปิดเว็บไซต์แนะนำ ช่องทางการติดต่อสื่อสารให้กับผู้ต้องการตรวจสอบอย่างเอิกเกริก อย่างเช่น www.dnathailad.com
เมื่อทดลองเปิดเข้าไปจะพบข้อมูลว่าบริษัทดังกล่าวเดำเนินธุรกิจการรับ ตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลมาตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ.2554 สามารถเปิดรับการติดต่อจากลูกค้าได้ 7 วันตลอดสัปดาห์ ที่สำคัญกล้าการันตียืนยันผลการตรวจหลังเข้ารับบริการภายใน 3 วัน แต่เรื่องราคาได้ถูกกำหนดไว้ในเกณฑ์ที่สูงกว่าห้องทดสอบหน่วยงานราชการหลาย เท่าตัว ตัวอย่างเช่นหากต้องการขอเข้ารับการตรวจดีเอ็นเอ ยืนยันความสัมพันธ์ทางสายเลือด เอาเฉพาะเพื่อความสบายใจของฝ่ายชายที่ต้องการทราบว่าบุตรเป็นของตนเองหรือ ไม่ จะมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการถึง 19,000 บาท แบ่งเป็นค่าตรวจ ของพ่อ จำนวน 9,500 บาท และ ค่าตรวจ ของลูกอีก 9,500 บาท โดยไม่มีข้อความระบุว่าจะต้องมีหนังสือคำสั่งศาลหรือใบร้องขอให้ทำการตรวจ สอบจากทางราชการไปยื่นประกอบ
ปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยการแจ้งเกิดไม่สมบูรณ์ควรได้รับการแก้ไข อย่างจริงจังให้เฉพาะการให้ความรู้กับผู้ที่กระทำ ดีกว่าปล่อยให้เกิดขึ้นแล้วส่งผลกระทบต่อผู้ที่มี “ใบเกิดไม่สวย” ทีหลัง อย่างที่ พ.ต.ท.สรยุทธให้ความเห็นปิดท้ายว่า
“เรื่องนี้สมควรได้รับการแก้ไขอย่างรวดเร็วโดยให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่บุคลากรของชาติ ตั้งแต่ในช่วงที่ยังเป็นเด็กและเยาวชน”
…..
หมายเหตุ : สกู๊ปข่าวชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของ “โครงการอบรมการรายงานข่าวเชิงสืบสวนสอบสวนในคดีละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยใช้พยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์” ที่สถาบันอิศราจัดขึ้นโดยการสนับสนุนของมูลนิธิเอเชีย ติดตามสกู๊ปข่าวชิ้นอื่นๆ ในโครงการนี้ได้ที่ http://forensicnews.isranews.org/
