จับ ทรมาน ที่นครสวรรค์ จริง เท็จ ที่พึ่งมี
วันที่ 22 มีนาคม 2549 ที่ จ.นครสวรรค์ เสียงค้อนทุบไปที่บัลลังก์ดังกึกก้องไปทั่วทั้งห้องพิจารณาคดี พร้อมคำพิพากษาจำเลย เนื่องจากมียาบ้าไว้ในครอบครองไว้เพื่อจำหน่ายและจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลจึงขอตัดสินให้จำคุก เป็นเวลา 8 ปี ปรับเป็นเงิน 200,000 บาท แต่เนื่องจากจำเลยได้ให้การรับสารภาพศาลจึงขอลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เป็นเวลา 4 ปีและปรับ 100,000 บาทโดยไม่รอลงอาญา

อดีตผู้ต้องหาคดีครอบครองยาเสพติดรายนี้ถูกควบคุมตัวเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2548 และถูกปล่อยตัววันที่ 31 ธันวาคม 2551 แต่ภาพในอดีตยังคงชัดเจนในความทรงจำแม้ระยะเวลาจะผ่านมานาน 9 ปีแล้ว
“ผมถูกถามว่าจะไป บิ๊กซี หรือ แฟร์ลี่แลนด์ (ห้างสรรพสินค้าชื่อดังใน จ.นครสวรรค์) ยังไม่ทันได้ตอบคำถามก็ถูกถุงลักษณะทึบของห้างดังเมืองปากน้ำโพคลุมหัว ถูกรัดปากถุงด้วยมือของตำรวจชุดจับกุม ระยะเวลาเพียงไม่นานผมก็ต้องดิ้นทุรนทุรายหายใจก็ไม่เข้าเพราะติดถุงพลาสติก โดยที่ร่างกายไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เพราะ แขนทั้งสองข้างก็ถูกใส่กุญแจมือไพล่หลังเอาไว้ ขาก็ถูกตำรวจอีกรายจับ จนร่างกายจะทนไม่ไหวกระตุกทั้งตัวตำรวจจึงเปิดปากถุง ออกซิเจนยังไม่ทันเข้าสู่ร่างกายมากนักตำรวจก็รัดปากถุงเช่นเดิม อีกทำเช่นนี้อยู่หลายครั้งเพื่อให้ผมบอกที่ซ่อนของยาเสพติดและให้คายความลับว่าซื้อมาจากแหล่งใด เมื่อเจ้าหน้าที่กระทำจนพอใจและแน่ใจว่าผมไม่รู้จริงๆถึงได้ยอมหยุดพฤติกรรมเถื่อนที่กระทำต่อผู้สงสัยอย่างผม ทั้งหมดตำรวจคิดว่าผมเป็นพ่อค้ายาบ้ารายใหญ่และต้องมียาบ้าซุกไว้มากอย่างที่ตำรวจคิด”
นั้นเป็นคำของ นายวีรสิทธิ์ หลวงจอก เจ้าของร้านป้ายอิงแจ๊ท ที่ทำให้เชื่อว่า ตำรวจยังคงใช้การทรมานผู้ต้องหาเพื่อให้ได้มาเพื่อสิ่งที่ต้องการ
นายวีรสิทธิ์ อ้างต่อว่า จากการอยู่ร่วมกันและพบปะพูดคุยกับกลุ่มผู้ต้องหาคดียาเสพติดในเรือนจำจ.นครสวรรค์ จึงรู้ว่า คดียาเสพติดถูกทรมานและให้เป็นสายต่องานแทบทุกคน แต่ละคนได้โดนหลากวิธีมากบ้างน้อยบ้างต่างกันไป ตรงกันข้ามกับผู้ต้องหาฆ่าคนตาย หรือคดีอื่นๆที่จะไม่ถูกซ้อม ทรมาน หรือโดนก็เป็นส่วนน้อย
แต่เมื่อถามว่าทำไมไม่ร้องเรียนก็ได้รับคำตอบกลับมาทันทีโดยแทบไม่ต้องคิดว่า จะให้ไปร้องเรียนที่ไหน หรือหากมีหน่วยงานให้ร้องเรียน ร้องไปก็เรื่องยาวขณะที่อีกฝ่ายเป็นถึงตำรวจผู้บังคับใช้กฎหมาย
นายวีรสิทธิ์ยังบอกว่า ไม่อยากให้เรื่องยาว เพราะต้องขึ้นศาลอีกหลายรอบทำให้เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม ทุกวันนี้หลุดพ้นเวรกรรมก็เป็นสุขแล้ว และไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวกับสิ่งผิดกฎหมายอีกหลังจากโดนศาลตัดสิน
ย้อนกลับไป ช่วงหัวค่ำ วันที่ 27 มิถุนายน 2548 สาเหตุที่นายวีรสิทธิ์โดนจับเนื่องจากมีวัยรุ่น 3 คน อ้างว่าซื้อยาบ้ามาจากตัวเขาคนละ 5 เม็ดบ้าง 10 เม็ด บ้าง ซึ่งเบื้องหลังความผิดครั้งนี้เกิดจากที่รับหน้าที่เป็นหน้าร้านติดต่อขายยาบ้าให้วัยรุ่นในตัวเมืองนครสวรรค์ โดยมีผู้ที่อยู่เบื้องหลังที่ให้เงินค่าหัวต่อ 1 เม็ดได้ 50 บาท ให้ได้เต็มที่ 5 เม็ด ต่อคน ช่วงนั้นจำหน่ายยาบ้าวันละไม่ต่ำกว่า 20 เม็ด รายได้ขั้นต่ำวันละ 1,000 บาท โดยที่ไม่ต้องลงทุนเพียงแค่รับโทรศัพท์และติดต่อให้ลูกค้ามารับที่บ้าน
อดีตพ่อค้าบอกว่าตัวเองไม่เคยเสพยาบ้าด้วยซ้ำแต่ด้วยรายได้ที่เย้ายวนใจ แม้ไม่มีประสบการณ์ในด้านนี้แต่ที่เข้าร่วมในวงการยาเสพติดได้ก็เป็นเพราะเพื่อนที่เล่นดนตรีด้วยกันแนะนำให้รู้จัก และก็ถูกชักชวนจนถล้ำลึกเข้าร่วมเครือข่ายยาเสพติด จนโดนจับพร้อมยา 30 เม็ดในวันนั้น ก่อนอ้างว่าโดนซ้อมโดยไม่มีโอกาสได้พบแพทย์ และนำไปสู่การจองจำในที่สุด
คดีนี้ตำรวจชุดจับกุมนำโดย พ.ต.ท.คงฤทธิ์ คงศิริสมบัติ รอง.ผกก.ปป.สภ.เมืองนครสวรรค์ ณ เวลานั้น ซึ่งปัจจุบันเลื่อนขึ้นเป็นพันตำรวจเอก ดำรงตำแหน่งผู้กำกับ สภ.เมืองขอนแก่น โดยได้ทำการควบคุมตัวนาย
วีรสิทธิ์บริเวณหน้าบ้านของเขา ช่วงนั้นได้ทำการสอบสวนเพื่อขยายผลซึ่งก็ยอมรับว่ามีการขู่ให้ผู้ต้องหากลัวเท่านั้น ไม่ได้มีการซ้อมหรือกระทำต่อผู้ต้องหาเกินกว่าขั้นตอนการสอบสวน เพื่อจับกุมผู้ร่วมขบวนการและป้องกันความสูญเสีย ซึ่งตำรวจไม่ได้ต้องการผลงานอย่างเดียวยังห่วงชีวิตของผู้ต้องหาด้วย
พ.ต.อ.คงฤทธิ์ กล่าวด้วยว่า ผู้ต้องหายาเสพติดรายนี้ได้ถูกซักถามถึงที่มาที่ไปของยาเสพติด จากนั้นจะให้ผู้ต้องหาช่วยให้ข้อมูลกับตำรวจ เพื่อเจ้าหน้าที่จะได้ติดตามเครือข่ายยาเสพติดที่เกี่ยวข้องกับผู้ต้องหาให้หมดไป
สำหรับความคิดเห็นเรื่องการใช้วิธีการนั้นทางนายตำรวจเชื่อว่ายังมีความจำเป็น เนื่องจากบางครั้งตำรวจต้องเจอเป็นสถานการณ์ที่บังคับทำให้ผู้ต้องหายอมรับผิดได้ และในสถานการณ์จริงการจัดการกับคนร้าย บางครั้งก็ต้องใช้การกระทำเช่นนี้ จึงจะสามารถควบคุมได้
ด้านดาบตำรวจ สมชาย (สมมุติชื่อ) และดาบตำรวจ สมหวัง (สมมุติชื่อ) หน่วยป้องกันปราบปรามอาชญากรรมและยาเสพติด สภ.เมืองนครสวรรค์ ที่ร่วมในการทำคดีกล่าวว่า คดีนี้เป็นการติดตามขบวนการค้ายาบ้าในเขตพื้นที่เมืองนครสวรรค์ ซึ่งที่ผ่านมาได้ติดตามควบคุมตัวผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด โดยเป็นวัยรุ่นในพื้นที่ รวมถึงนักเรียน นักศึกษา ทั้งชายหญิง สำหรับการติดตามจับกุมนายวีรสิทธิ์ ก็เป็นการล่อซื้อจนสามารถจับผู้ต้องหาพร้อมกับยาเสพติด
นายดาบทั้งสองนายกล่าวว่า ประวัติที่ผ่านมาพบว่านายวีรสิทธิ์มีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาบ้าในเครือข่ายของ ไผ่ สะพานดำ ซึ่งเป็นคนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามตัวมานานในช่วงนั้น เนื่องจากทราบมาว่าเป็นผู้ค้ายาบ้าที่เชื่อมโยงกับเขตภาคเหนือและจ.อุทัยธานี
กรณีโดนทรมานของนายวีรสิทธิ์และการซ้อมคนอื่นๆตามที่ตัวเขาอ้างนั้น ดร.เกียรติศักดิ์ วรวิทย์รัตนกุล ประธานสภาทนายความจังหวัดนครสวรรค์ ให้ข้อมูลว่า จากการตรวจสอบเอกสารเรื่องร้องเรียนย้อนหลังไป 3 ปี ปรากฏว่า ไม่พบมีการมาร้องเรียน คดีซ้อมทรมาน หรือคดีลักษณะใกล้เคียงกัน แม้แต่รายเดียวในพื้นที่จ.นครสวรรค์ ซึ่งหากมีการร้องเรียนทางสภาทนายความจะดำเนินการพาตัวไปพบแพทย์ให้ตรวจร่างกาย หากพบร่องรอยที่เกิดจากการถูกทำร้ายร่างกาย ก็จะนำเอกสารผลการตรวจพร้อมตัวผู้ร้องเรียนไปแจ้งความดำเนินคดีต่อผู้กระทำผิด
ดร.เกียรติศักดิ์ บอกว่า ที่ผ่านมาก็ทราบมาบ้างว่าตำรวจได้มีการซ้อมผู้ต้องหาในระหว่างการสอบสวน แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เนื่องจากผู้เสียหายและครอบครัวส่วนใหญ่กลัวไม่อยากให้เป็นคดีความกับเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ประกอบกับเหยื่อส่วนใหญ่มีคดีความในคดีที่ถูกจับมาอยู่แล้วและไม่อยากเพิ่มคดีในชั้นศาลแม้จะเป็นฝ่ายโจทก์ก็ตาม เท่าที่ทราบเหยื่อส่วนใหญ่มักจะเป็นผู้มีรายได้น้อย ไม่ใช่ลูกหลานหรือตัวผู้มีอิทธิพลในพื้นที่
ดร.เกียรติศักดิ์ ได้ฝากว่าทางสภาทนายความจังหวัดนครสวรรค์จะดำเนินการอย่างจริงจังหากพบว่ามีการร้องเรียนเข้ามาในทุกคดีโดยเฉพาะคดีซ้อมทรมาน เพราะคนเหล่านี้ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครเมื่อเกิดเหตุขึ้น ประกอบกับว่าคู่กรณีมักจะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ต้องหาหรือเหยื่อจึงไม่กล้าที่จะไปแจ้งความดำเนินคดี
สอดคล้องกับ นายผาติ หอกิติคุณ คณะกรรมการบริหารสภาทนายความภาค 6 เผยข้อมูลใน 9 จังหวัดภาคเหนือตอนล่าง มีจ.พิษณุโลก ตาก เพชรบูรณ์ สุโขทัย อุตรดิตถ์ นครสวรรค์ พิจิตร กำแพงเพชร และ อุทัยธานี ว่าที่ผ่านมาไม่มีข้อมูลการร้องเรียนเรื่องเจ้าหน้าที่ภาครัฐซ้อมทรมานผู้ต้องหาในพื้นที่รับผิดชอบ ซึ่งหากมีก็จะดำเนินการช่วยเหลือทางกฎหมายอย่างเต็มที่ แต่เชื่อว่าการซ้อมผู้ต้องหายังมีอยู่ในทุกท้องที่
เช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่จากศูนย์ดำรงธรรมนครสวรรค์ได้สืบค้นข้อมูลย้อนหลัง 5 ปี แต่กลับไม่พบว่ามีการร้องเรียนเรื่องถูกเจ้าหน้าที่ทำร้ายร่างกาย หรือการซ้อมทรมานในพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์ ที่ผ่านมาพบแต่การร้องเรียนคดีความล่าช้าและเรื่องอื่นๆ

ทางด้าน ดร.แพทย์หญิง ปานใจ โวหารดี จากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ได้กล่าวในการโครงการอบรมหลักนิติวิทยาศาสตร์และข้อควรรู้ในการทำข่าวอาชญากรรม จัดโดยมูลนิธิเอเชีย ร่วมกับสถาบันอิศรา เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2555 เรื่องการเข้าถึงความยุติธรรมและการเยียวยาเหยื่อซ้อมทรมานว่า ตำรวจไทยส่วนใหญ่ยังพึ่งคำสารภาพจากพยานบุคคล ที่มีความไม่แน่นอน ผิดกับกระบวนการใช้นิติวิทยาศาสตร์ที่จะช่วยไขคดีได้จากนิติวิทยาศาสตร์ เพราะจะไม่ใช้พยานบุคคลในการสืบสวนสอบสวนมากนักแต่จะใช้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ทำให้ไม่ต้องซ้อมใครเพื่อให้ได้หลักฐาน
ดร.พญ.ปานใจ กล่าวต่อว่า เมื่อมีเหตุการณ์ซ้อมทรมาน พิสูจน์หลักฐานต้องเข้าตรวจร่างกายและสถานที่เพื่อเก็บพยานหลักฐานโดยเร็วที่สุด เพราะรอยฟกช้ำหรือบาดแผลบางอย่างอยู่ไม่นาน และการที่ไม่พบบาดแผลภายนอกก็ไม่ใช่ว่าไม่เกิดการทรมานขึ้น เช่น การปิดกั้นประสาทสัมผัส ไม่ให้เห็น ไม่ได้ยินเสียง เป็นระยะเวลานาน เพียงลำพัง ซึ่งเหยื่อจะไม่บาดเจ็บ ไม่มีบาดแผล แต่เป็นการทรมานที่ได้ผลอย่างมาก ผลทำให้ผู้ถูกกระทำแทบบ้า จำเป็นต้องใช้จิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาเข้าไปเก็บข้อมูลผลกระทบด้านจิตใจ
ดร.พญ.ปานใจให้ความเห็นอีกว่า ที่ผ่านมาเหยื่อกลัวว่าหากร้องเรียนแล้วจะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ ดำเนินคดีกลับ หากคิดจะร้องเรียนก็ยังอาจพบอุปสรรค ความล่าช้า ทำให้ไม่อยากร้องเรียนต่อส่วนใหญ่จะปล่อยให้ผ่านเลยไป และยังมีปัญหาเรื่องการพิสูจน์พยานหลักฐาน ที่แพทย์ควรเข้าถึงผู้ถูกร้องเรียนเร็วที่สุด แต่ความจริงแล้วกว่าจะได้พบเหยื่อผู้ร้องเรียนบาดแผลก็หายไปแล้ว แพทย์ไม่สามารถออกใบรับรองได้
ทาง พ.ต.ท.หญิง ดารา มากจาด หัวหน้าพิสูจน์หลักฐานจังหวัดนครสวรรค์ ให้ข้อมูลว่า ที่ผ่านมาการทำงานของพิสูจน์หลักฐานนครสวรรค์ต้องได้รับการร้องขอโดยมีเอกสารจาก ร้อยเวร หรือหัวหน้าสถานีตำรวจในท้องที่นั้นๆ มิเช่นนั้นจะไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายคดีใดๆได้เพราะเป็นคนละหน้าที่ ซึ่งที่ผ่านมาพิสูจน์หลักฐานยังไม่เคยถูกร้องขอให้ไปช่วยหาหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ในการสืบสวนสอบสวนคดีเกี่ยวกับยาเสพติด และคดีเกี่ยวกับตำรวจซ้อมผู้ต้องหาในพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์
งานที่ผ่านมาทำกันอยู่เป็นประจำ มีอยู่ 6 กลุ่มงานคือ กลุ่มงานตรวจสถานที่เกิดเหตุ, กลุ่มงานตรวจอาวุธและเครื่องกระสุนปืน, กลุ่มงานตรวจยาเสพติด, กลุ่มงานตรวจเอกสาร, กลุ่มงานตรวจทางเคมี ฟิสิกส์ ชีววิทยา และกลุ่มงานตรวจลายนิ้วมือแฝง สำหรับการตรวจยาเสพติดนั้นก็จะทำการตรวจนับจำนวน และตรวจว่าเป็นยาเสพติดชนิดใดก่อนจะส่งผลที่ได้และจำนวนรวมถึงยาเสพติดให้ส่วนกลางตรวจสอบให้ละเอียดอีกครั้ง
พ.ต.ท.หญิง ดารา บอกว่า หากเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในการสอบสวนผู้ต้องสงสัยหรือผู้ต้องหาเชื่อได้ว่าจะสามารถช่วยเก็บพยานวัตถุและหลักฐานที่ไม่สามารถเห็นหรือระบุได้ด้วยตาเปล่า สรุปเป็นเอกสารที่จะสามารถแนบเป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ใช้ในการมัดตัวผู้กระทำผิดหรือสามารถนำไปขยายผลการจับกลุ่มเครือข่าผู้กระทำผิดหรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับคดีได้ แต่ที่ผ่านมาตำรวจพิสูจน์หลักฐานมักถูกมองข้ามในคดียาเสพติด โดยส่วนใหญ่จะเป็นคดีอาชญากรรม คดีลักขโมย คดีฆ่า หรือวิสามัญ จึงจะถูกร้องขอให้ช่วยเข้าเก็บข้อมูลประกอบคดี
ทาง พล.ต.ต.สืบศักดิ์ ชวาลวิวัฒน์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครสวรรค์ กล่าวว่าหาก พบตำรวจในสังกัดกระทำการซ้อมผู้ต้องหาจริง มีหลักฐานครบ ก็จะดำเนินการ ตามระเบียบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติตาม กฎ ก.ตร.ว่าด้วยประมวลจริยธรรมและจรรยาบรรณของตำรวจ พ.ศ.2551 กฎ ก.ตร.ว่าด้วยประมวลจริยธรรมและจรรยาบรรณของตำรวจ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2553 และระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยจรรยาบรรณของพนักงานสอบสวน พ.ศ.2544 ซึ่งสามารถดำเนินการตามกฎหมายทันทีหากพบว่ากระทำเกินกว่าเหตุ
พล.ต.ต.สืบศักดิ์ยอมรับว่า การใช้หลักทางนิติวิทยาศาสตร์เป็นขั้นตอนที่ยุ่งยากและล่าช้าในการสืบสวนสอบสวน สู้การกระทำแบบดั่งเดิมไม่ได้ แต่ก็ต้องดูเป็นกรณีไป อาทิ หากพบผู้ต้องหาที่พูดง่ายก็ไม่ต้องใช้คำพูดหรือการกระทำที่รุนแรง แต่หากผู้ต้องหาม่ยอมรับ แม้จะพบการกระทำผิดซึ่งหน้าก็ต้องใช้วิธีที่หนักขึ้นแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องอยู่ในหลักของกฎหมาย ไม่เช่นนั้นตำรวจก็ไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายกับผู้ร้ายได้เต็มที่
.....
ความคืบหน้าเรื่องกฎหมายประมวล กฎหมายอาญาที่จะเอาผิดกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน ยังอยู่ในขั้นตอนการร่างแผนของเครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน นักวิชาการ ส่วนราชการ องค์กรความร่วมมือภาคประชาชน ยังไม่สามารถบังคับใช้ตามประมวลกฎหมายอาญาในปัจจุบัน
โทษของความผิดฐานทำร้ายร่างกาย คือจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 4,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โทษของความผิดฐานทำร้ายร่างกายโดยทรมานหรือโดยการกระทำทารุณโหดร้าย คือ จำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โทษของความผิดฐานเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ คือ จำคุกตั้งแต่ 1 ปีถึง 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2,000 ถึง 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
อย่างไรก็ดี ประเทศไทยร่วมลงนามใน “อนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้ายไร้ มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี” ซึ่งเป็นกฎหมายระหว่างประเทศที่มีรัฐภาคีร่วมลงสัตยาบันมากถึง 141 รัฐ มีผลบังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2530 รวมระยะเวลากว่า 20 ปี แล้วอนุสัญญาฉบับนี้ มีเนื้อหาที่คุ้มครองสิทธิมนุษยชนและปกป้องการทรมานหรือการกระทำอันโหดร้าย จากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ
แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า เนื้อหาตามอนุสัญญาจะมีผลบังคับใช้ภายในประเทศได้ ก็ต่อเมื่อรัฐไทยเองมีกฎหมายภายในที่มีเนื้อหาหลักการเช่นเดียวกันนั้นรองรับอยู่ด้วย หากไม่มีกฎหมายภายในแล้ว หลักการในอนุสัญญาระหว่างประเทศก็มีผลเป็นเพียงหลักสากลที่รัฐต้องเคารพแต่ ไม่สามารถนำมาบังคับใช้ได้
จากเหตุที่ผ่านมา เครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน ได้ร่วมกันระดมความเห็นจากนักวิชาการ ส่วนราชการ องค์กรความร่วมมือต่างๆ และผู้ที่เกี่ยวข้องจากทุกส่วน เพื่อจัดทำ ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและต่อต้านการทรมาน ขึ้นเพื่อพัฒนากฎหมายของไทยให้รับเอาหลักการในอนุสัญญาดังกล่าวมาสู่การ ปฏิบัติจริง
สำหรับวิธีพิจารณาความ ในคดีที่มีเจ้าหน้าที่ถูกกล่าวหาว่าซ้อมหรือทรมานผู้ต้องหา ให้มีหน่วยงานแยกต่างหากที่มีอำนาจและหน้าที่สืบสวนคดีการกระทำของเจ้า หน้าที่ต่อผู้ต้องหา เป็นหน่วยงานที่เป็นอิสระ เชี่ยวชาญพิเศษ ไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของหน่วยงานใด ให้มีระบบการเยียวยาผู้เสียหายจากการถูกซ้อมหรือทรมาน โดยเยียวยาเป็นค่าเสียหายเบื้องต้น พาตัวออกจากสถานที่คุมขัง และดูแลทางการแพทย์ ฯลฯ ให้ศาลที่พิจารณาคดีที่เกี่ยวข้อง พิจารณาคดีด้วยระบบไต่สวน อัตราโทษ เจ้าหน้าที่ของรัฐที่กระทำความผิดอันเป็นการซ้อมหรือทรมานเพื่อให้ได้ข้อมูล หรือคำรับสารภาพ เพื่อลงโทษ ข่มขู่ หรือเพราะเหตุใดๆ บนพื้นฐานของการเลือกปฏิบัติ ต้องรับโทษทางอาญาสูงกว่าโทษความผิดฐานทำร้ายร่างกาย
อย่างไรก็ดีร่างพรบ.ฉบับนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการศึกษา ระดมความคิดเห็น และยังต้องช่วยกันปรับแต่งอีกหลายประเด็นจึงจะเสร็จสมบูรณ์เป็นร่างกฎหมาย ที่สอดคล้องเหมาะสมกับสภาพสังคมไทย
…..
หมายเหตุ : สกู๊ปข่าวชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของ “โครงการอบรมการรายงานข่าวเชิงสืบสวนสอบสวนในคดีละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยใช้พยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์” ที่สถาบันอิศราจัดขึ้นโดยการสนับสนุนของมูลนิธิเอเชีย ติดตามสกู๊ปข่าวชิ้นอื่นๆ ในโครงการนี้ได้ที่ http://forensicnews.isranews.org/
