เปิดโปงขบวนการค้าซากสัตว์ในไทย เชื่อมโยงสู่เครือข่ายระดับโลก
"..ว่ากันว่าเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว ข่าวเล็ก ๆ ของคนไทยที่ถูกจับที่แอฟริกาใต้ กำลังจะสร้างแรงสะเทือนที่ยิ่งใหญ่ให้กับระบบราชการไทย และเปิดไฟส่องสว่างให้โครงสร้างอันแสนเศร้าของระบบคอรัปชั่นในประเทศแห่งนี้อย่างกระจ่างตา.."

9 พ.ย. 2555 ระยะทางห่างจากประเทศไทยไปเกือบครึ่งโลก นายจำลอง แหลมทองไทย ผู้ต้องหาชาวไทยถูกศาลแขวงแคมป์ตัน เมืองโยฮันเนสเบิร์ก ประเทศแอฟริกาใต้ ตัดสินลงโทษจำคุก 40 ปี ตามความผิดข้อหาลักลอบค้านอแรดในตลาดมืด โดยปลอมแปลงเป็นของที่ระลึกซึ่งอ้างว่าได้มาจากการล่าสัตว์ โดยศาลตัดสินลงโทษสถานหนัก ท่ามกลางข่าวการเสียชีวิตของแรดที่ถูกสังหารเอานอในปีดังกล่าวทั้งหมดถึง 528 ตัว
นายจำลองให้การรับสารภาพว่ากระทำผิดตามข้อกล่าวหา โดยได้รับการว่าจ้างจากหญิงขายบริการให้ปลอมตัวเป็นนักล่าสัตว์เพื่อจะเอานอแรดที่อ้างว่าได้จากการล่าสัตว์ส่งไปขายในภูมิภาคเอเชีย เพื่อนำไปปรุงเป็นยาบำรุงสรรพคุณ โดยมีนอแรดที่ครอบครอง ณ ตอนถูกจับทั้งหมด 20 นอ ทางนายจำลองให้การว่าซักทอดนายวิชัย แก้วสว่าง นายทุนชาวลาวเป็นผู้บงการใหญ่ในการขนนอแรดครั้งนี้
ข่าวชิ้นนี้ยังเปิดเผยอีกว่ารัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมของแอฟริกาใต้อยากให้ผู้ต้องหารับโทษสถานหนักถึงขั้นจำคุก 260 ปี เนื่องจากไม่ต้องการให้คนแอฟริกาใต้รุ่นหลังเติบโตมาโดยไม่รู้จักแรด อย่างไรก็ดีคำตัดสินของศาลแอฟริกาใต้ก็ถือเป็นการลงโทษสถานหนักอยู่แล้ว
ว่ากันว่าเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว ข่าวเล็ก ๆ ของคนไทยที่ถูกจับที่แอฟริกาใต้ กำลังจะสร้างแรงสะเทือนที่ยิ่งใหญ่ให้กับระบบราชการไทย และเปิดไฟส่องสว่างให้โครงสร้างอันแสนเศร้าของระบบคอรัปชั่นในประเทศแห่งนี้อย่างกระจ่างตา
@@ ปริศนานอแรดที่สนามบินสุวรรณภูมิ@@
เกือบ 2 เดือนต่อมาในค่ำคืนวันที่ 6 ม.ค. 2556 ที่สนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินโอ่โถงทันสมัย ที่ใช้เวลาสร้างนานหลายปี ผู้คนเดินทางเข้าและออกกันอย่างคับคั่ง ลากกระเป๋ากันจนชินตา สัมภาระมากมายถูกขนถ่าย
ห้วงเวลาคล้ายปกติเหมือนวันก่อน ๆ ในสนามบินแห่งนี้ เรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรสามารถจับกุมนายฟาม กวง ลอค ชาวเวียดนามที่เดินทางมาจากประเทศเอธิโอเปียพร้อมของกลางนอแรด จำนวน 6 ชิ้น น้ำหนักรวม 10.6 กิโลกรัม มูลค่า 18 ล้านบาทซึ่งซ่อนอยู่ในตุ๊กตาไฟเบอร์สีดำรูปฮิปโปโปเตมัส อยู่ในกระเป๋าเดินทางสีเขียว
การจับกุมดังกล่าวเริ่มขึ้นด้วยเจ้าหน้าที่ศุลกากรของสนามบินตรวจของผู้โดยสารที่ท่าอากาศยาน พบกระเป๋าต้องสงสัยทรงแข็งสีเขียว ตั้งอยู่บนรถเข็นกระเป๋าสัมภาระจอดไว้หน้าเคาน์เตอร์บริการสายการบินใกล้กับช่องตรวจของมีสิ่งของต้องสำแดง หมายเลข 13 โซน B อาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ โดยกระเป๋าดังกล่าวมีบัตรผูกกระเป๋าเป็นของสายการบินเอธิโอเปีย เที่ยวบินที่ ET618 แต่เจ้าหน้าที่ไม่พบผู้แสดงความเป็นเจ้าของ จึงตรวจสอบพบว่ากระเป๋าดังกล่าว มาจากเมืองแอดดิสอาบาบา ของประเทศเอธิโอเปีย เมื่อนำกระเป๋าเข้าเครื่องเอกซเรย์ ก็พบสิ่งของต้องสงสัยเป็นรูปทรงกรวย บรรจุอยู่ในบรรจุภัณฑ์สัตว์ เมื่อทำการเปิดออกก็พบของกลางดังกล่าว
ต่อมาเมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบกระเป๋าก็พบชื่อผู้ครอบครองว่าเป็นคนเวียดนาม จึงสามารถจับกุมได้คาสนามบินในที่สุด

อย่างไรก็ดีหลังการแถลงข่าว มีข่าวลือกระหึ่มมาว่า บุคคลที่ขนกระเป๋าสีเขียวนั้นเป็นคนมีสี หรือ เจ้าหน้าที่รัฐที่กำลังนำกระเป๋าออกไปขึ้นเครื่องโดยอ้างว่าเป็นของนาย แต่มาพลาดท่าถูกจับกุมได้เสียก่อน
แต่เรื่องดังกล่าวยังไม่มีบุคคลใดมายืนยัน ท่ามกลางข่าวลือว่ามีการพยายามล็อบบี้วิ่งเต้นไม่ให้คนมีสีถูกจับกุม โดยให้จับเพียงแค่ผู้ต้องหาชาวเวียดนามเท่านั้น ท่ามกลางข้อพิรุธสงสัยว่า ทำไมนอแรดมูลค่ามหาศาลเตรียมส่งออก ถึงวางโดยไม่มีใครแสดงตนเป็นเจ้าของ จนกระทั่งถูกจับกุมได้ พร้อมกับการที่เจ้าหน้าที่ใช้วิธีเก่งกาจใดในการล่าตัวผู้ต้องหาคนเวียดนาม ท่ามกลางคนนับร้อยนับพันกลางสนามบินสุวรรณภูมิ
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ดำเนินคดีนายฟาม แจ้งข้อหานำของต้องห้ามประเภทซากสัตว์ป่าคุ้มครองเข้ามาในราชอาณาจักร และความผิด พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าฯ
หลังจากแถลงข่าวจบสิ้น ก็มีข่าวออกมาว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเตรียมเดินหน้าสืบสวนขยายผลเพิ่มเติม หลังพบ “กลุ่มคนมีสี” เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ตามข่าวที่สำนักข่าวหลายแห่งตีพิมพ์กระหึ่มออกมาโดยมีเจ้าหน้าที่บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับธรรมชาติและตำรวจจากกองสิ่งแวดล้อมหรือ บก.ปทส. ได้เข้ามาเริ่มสอบสวนตามล่าคนมีสีตามที่เป็นข่าวออกไป
จากการสอบสวน เบาะแสแรกที่เจ้าหน้าที่เริ่มต้นคลำทางเพื่อหาตัวคนมีสีนั้น ทางพ.ต.อ.ธนัญชัย เพียรช่าง ผกก.2 บก.ปทส. เปิดเผยว่าเบาะแสดังกล่าวคือ การตรวจสอบกล้องวงจรปิดตามจุดต่าง ๆ ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเพื่อหาตัวผู้เกี่ยวข้องกับผู้ต้องหา เบื้องต้นทราบเพียงว่าขบวนการค้านอแรดนั้น กระทำการโดยแบ่งหน้าที่กันเป็นส่วน ๆ เริ่มจากผู้จ้างวานที่เป็นนายทุน ว่าจ้างคนเดินของทำหน้าที่ขนของจากประเทศต้นทาง ขนนำเข้ามาที่ประเทศไทย จากนั้นจะมีนกต่อซึ่งจะใช้วิธีไปรับของตามจุดที่นัดหมายภายในสนามบิน ด้วยการนำรถเข็นไปจอดทิ้งเอาไว้ เมื่อได้รับของก็จะส่งต่อไปประเทศที่ 3 ทันที เพื่อนำนอแรดไปใช้เป็นส่วนประกอบของยาต่าง ๆ เนื่องจากบางประเทศเชื่อกันว่าเป็นยาชูกำลังหรือยาเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ
@@ Who are they ? ปริศนาชาย 3 คน@@
10 วันหลังจากการจับกุมดังกล่าว เบาะแสที่สำคัญก็เกิดขึ้นพร้อมปริศนาใหม่ให้ขบคิดคล้ายเกมส์ปริศนา ที่มีการตายของสัตว์เป็นเดิมพัน
พล.ต.ต.นรศักดิ์ เหมนิธิ ผบก.ปทส. ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าของคดีนี้ว่าเจ้าหน้าที่นำนอแรดของกลางทั้งหมดไปให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชเก็บรักษาและทำการตรวจสอบว่าเป็นนอแรดจริงหรือไม่ ในส่วนของคดี ขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้ภาพวงจรปิดมาครบทุกจุดของสนามบินแล้ว และจากการตรวจสอบพบชายต้องสงสัย 3 คน
ท่ามกลางข้อสงสัยถึงชายปริศนา 3 คนที่มีคำถามผุดว่าเกี่ยวข้องกับผู้ต้องหาชาวเวียดนามหรือมีส่วนกับปฏิบัติการขนนอแรดออกประเทศไทยหรือไม่นั้น ทางพล.ต.ต.นรศักดิ์เปิดเผยเพียงว่าอยู่ในขั้นตอนรวบรวมพยานหลักฐานให้ได้มากที่สุด โดยสั่งการให้เจ้าหน้าที่ทำงานกันอย่างเต็มที่และรายงานความคืบหน้าตลอด 24 ชั่วโมง เชื่อว่าไม่นานน่าจะปิดคดีลงได้
คำสัมภาษณ์ของผบก.ปทส.ยังทิ้งร่องรอยคำถามข้อสงสัยของสื่อมวลชน พร้อมปริศนาชาย 3 คน คือใคร เกี่ยวข้องกับการขนนอแรดอย่างไรและสุดท้ายหรือจะเป็นคนมีสี? คำให้สัมภาษณ์สั้น ห้วน กระชับ แต่ยังไม่ลบเลือนข้อสงสัยไปได้
เบาะแสจากการตรวจสอบภาพวงจรปิดที่ทางเจ้าหน้าที่ได้มาเพื่อหาร่องรอยกลุ่มชายปริศนา 3 คน เมื่อตรวจสอบพบกล้องในสนามบินสุวรรณภูมิสามารถจับภาพผู้ต้องสงสัยได้ โดยเป็นกล้องตัวที่ 4 และกล้องตัวที่ 8 โดยกล้องตัวที่ 4 จับภาพบริเวณช่องทางออกศุลกากร สามารถจับภาพ ชายคนหนึ่ง ใส่เสื้อโปโลสีดำ แขวนป้ายชื่อคล้ายเป็นเจ้าหน้าที่รัฐเข็นรถเข็นที่มีกระเป๋าสีเขียววางอยู่ โดยกำลังเข็นกระเป๋าใบดังกล่าวเข้ามาที่ช่องทางออกศุลกากร โดยด้านหลังชายดังกล่าวมีชายสวมชุดโปโลสีดำสะพายกระเป๋าเดินตามหลังไม่ห่าง โดยทั้งสองคนต่างสวมบัตรคล้องคอคล้ายกับเจ้าหน้าที่รัฐ
ทั้งสองเดินตรงเข้าพูดคุยเหมือนเป็นการเจรจากันกับเจ้าหน้าที่ศุลกากรที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ ทั้งสองอ้างว่าเป็นกระเป๋าของผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการขอผ่านไปเลยไม่ต้องตรวจ แต่เจ้าหน้าที่ศุลกากรไม่ยอม แม้จะเจรจาเท่าใดก็ไม่เป็นผล ทำให้ทั้งสองต้องเข็นกระเป๋าดังกล่าวออกไปพร้อมเจ้าหน้าที่ เพื่อไปที่ช่องเอ๊กเรย์ตรวจสอบของในกระเป๋า ซึ่งระหว่างการเจรจานั้น ก็ปรากฏชายคนที่ 3 ซึ่งสวมเสื้อแจ็คเก็ตสีน้ำเงิน ด้านหลังมีตัวอักษรย่อว่า D.A.P. เข้ามาในกล้องเพื่อร่วมทำการเจรจาด้วย
ขณะที่ในส่วนของกล้องตัวที่8 นั้น เป็นภาพจากเครื่องเอกซเรย์ ซึ่งสามารถจับภาพต่อเนื่องขณะที่ชายคนแรกยกกระเป๋าเพื่อตรวจ และเจ้าหน้าที่ประจำเครื่องตรวจพบสิ่งของในกระเป๋ามีลักษณะซุกซ่อนของบางอย่างแบบพิรุธ จึงขอตรวจยึดกระเป๋าดังกล่าวไว้ เมื่อเปิดออกมา เจ้าหน้าที่ก็พบนอแรดซุกซ่อนอยู่ จึงรีบตามหาตัวเจ้าของกระเป๋า ส่วนชาย 3 คนได้ทิ้งกระเป๋าแล้วเร่งหลบหนีไป ทิ้งร่องรอยปริศนาไว้ให้สืบสวนต่อไป
@@ เฉลยปริศนาชาย 3 คน ที่แท้...!!@@
2 เดือนหลังการจับกุมผู้ต้องหาชาวเวียดนามพร้อมนอแรดมูลค่า 18 ล้านบาท หลังเบาะแสชาย 3 คนถูกเปิดโปงขึ้น ท่ามกลางข้อสงสัยและข่าวลือว่า ชาย 3 คนนั้นเป็นเจ้าหน้าที่รัฐหรือไม่?
ในวันที่ 6 มีนาคม เจ้าหน้าที่บก.ปทส.ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวจับกุมส.ต.อ.จักรพันธ์ ปานประเสริฐ ส.ต.อ.เพชรฤทธิ์ ปานไทยสงค์ ทั้งสองตำแหน่งและสังกัดเดียวกัน คือ ผบ.หมู่ งานสืบสวน สภ.สุวรรณภูมิ โดยปฏิบัติหน้าที่ในสนามบินสุวรรณภูมิ ยังไม่ทันจะต้องอ้าปากแถลงถ้อยคำใด ภาพตรงหน้าก็ตอบคำถามและปิดฉากปริศนาที่กินเวลามาหลายเดือนลงไปในบัดดล

ข้อสงสัยทั้งหมดได้รับความกระจ่างแทบจะทันทีเรื่องปริศนาชาย 3 คน เพราะเมื่อสามารถจับกุมตำรวจ 2 นายนี้ได้ ทุกอย่างก็กระจ่างว่าชาย 3 คนที่อยู่ในกล้องวงจรปิดนั้น ที่แท้ก็คือผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ เจ้าหน้าที่ข้าราชการตำรวจของประเทศไทยนั่นเอง
โดยในวันที่ 6 ม.ค.ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุนั้น จ.ส.ต.สมัย รัชจางวาง ส.ต.อ.จักรพันธ์ ปานประเสริฐ และส.ต.อ.เพชรฤทธิ์ ปานไทยสงค์ ทั้ง 3 นายได้เข็นรถเข็นมีกระเป๋าเดินทางสีเขียว ไปยังช่องทางออกศุลกากร เมื่อถึงจุดตรวจ ตำรวจ 3 นายบอกกับเจ้าหน้าที่ศุลกากรว่าขอผ่านโดยไม่ต้องตรวจ พร้อมอ้างว่าเป็นของผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง แต่เจ้าหน้าที่ด่านตรวจของศุลกากรไม่เชื่อ และยืนยันจะขอตรวจกระเป๋าเดินทางดังกล่าว แต่ตำรวจทั้ง 3 นายกลับบ่ายเบี่ยงไม่ยอมให้ตรวจและเข็นรถหนีออกจากช่องตรวจ ทำให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรรีบระดมกำลังเพื่อขอเข้าตรวจค้นกระเป๋าเดินทางดังกล่าวทันที
เมื่อเปิดออกก็พบของกลางเป็นตุ๊กตารูปฮิปโป ที่ทำจากไฟเบอร์ เมื่อเข้าเครื่องเอ็กซเรย์ ก็พบวัตถุโค้งงอขนาดมหึมาซ่อนอยู่ในตุ๊กตาดังกล่าว เมื่อทุบออกจึงพบว่าเป็นนอแรด 4 นอ น้ำหนัก 10.6 กก.โดยนอแรดอันใหญ่ถูกตัดออกเป็น 3 ท่อน ส่วนนอแรดชิ้นเล็ก 3 นอ ถูกห่อด้วยกระดาษฟรอยด์ ซ่อนในกระเป๋าเดินทางสีเขียว เจ้าหน้าที่ศุลกากรจึงประสานตำรวจจากบก.ปทส.ทันที
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบเจ้าของกระเป๋าพบว่า คือ นายฟาม กวาง ลอค อายุประมาณ 45 ปี สัญชาติเวียดนาม ที่เดินทางมาจากประเทศโมซัมบิก แอฟริกา ด้วยสายการบินเอธิโอเปีย แอร์ไลน์ เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 6 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยอยู่ระหว่างรอเพื่อเดินทางออกจากประเทศไทยด้วยเครื่องบินจากสุวรรณภูมิ ไปยังประเทศเวียดนามในเวลา 17.00 น.วันเดียวกัน เจ้าหน้าที่ศุลกากรจึงควานหาตัวจนพบและนำตัวมา สอบสวนทันที
ระหว่างนั้นนายฟาม กวาง ลอค ได้ประสานนางลอย จันทะวงศ์สา อายุ35 ปี สัญชาติลาว ซึ่งอ้างตัวว่าเป็นล่ามของผู้ต้องหาได้เข้ามาเจรจากับเจ้าหน้าที่ เมื่อตรวจค้นร่างกายและกระเป๋าสะพาย พบหนังสือเดินทาง สปป.ลาว ที่มีประวัติเดินทางไปประเทศโมซัมบิก แอฟริกา ประเทศสิงคโปร์ ประเทศเวียดนาม และประเทศไทย อีกทั้งยังพบเงินไทยสกลุไทย1,000 บาท 100 ฉบับ รวม 1 แสนบาท และเงินสดสกุลโมซัมบิกอีกจำนวนหนึ่ง
ท่ามกลางข้อสงสัย นางลอยให้การว่าเพิ่งเดินทางกลับมาจากประเทศสิงคโปร์และได้กดเงินจำนวนดังกล่าว แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบว่าเงินจำนวนดังกล่าวถูกกดออกมาก่อนวันที่เกิดเหตุ 1 วัน คือวันที่ 5 ม.ค. ทำให้เชื่อว่าเงินดังกล่าวน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการลักลอบขนนอแรดเข้ามา
ทางเจ้าหน้าที่จึงได้ทำการสอบปากคำนางลอยเพิ่มเติมอย่างละเอียด จนทราบว่าเงินดังกล่าวนั้นเป็นเงินค่าจ้างเพื่อนำนอแรดส่งไปยังประเทศเวียดนามและประเทศจีน อย่างไรก็ตามหลังจากเจรจากับตำรวจไม่ได้ผล นางลอยได้หลบหนีออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ ตำรวจจึงขออนุญาตศาลอาญารัชดาออกหมายจับเลขที่ 388/2556 ลงวันที่ 6 ม.ค.56 และได้ประสานไปยังตำรวจ สตม.ทั่วประเทศให้ดำเนินการจับกุมทันที่ที่เข้าประเทศไทย ส่วนนายฟาม กวาง ลอค เจ้าหน้าที่บก.ปทส.ได้ส่งดำเนินคดีพร้อมนำตัวฝากขังเรือนจำจังหวัดสมุทรปราการ พร้อมค้านประกันตัวทันที
หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่บก.ปทส.จึงลงมาสืบสวนคดีดังกล่าวด้วยตัวเอง และได้ขอภาพวงจรปิดพบชาย 3 คน เมื่อตรวจสอบจึงพบว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงขออำนาจศาลเพื่อออกหมายเรียกเจ้าหน้าที่ทั้ง 3 มารับทราบข้อกล่าวหา แต่ว่าจ.ส.ต.สมัยได้หลบหนีไม่ยอมมารับทราบข้อกล่าวหาและไม่ได้นำตัวมาแถลงข่าวในวันนั้นแต่อย่างใด (ต่อมาได้ประสานเดินทางมามอบตัวทีหลัง)
ด้าน ส.ต.อ.จักรพันธ์ ปานประเสริฐ กล่าวว่า ตนและเพื่อนอีก 2 นาย ปฏิบัติตามหน้าที่ ไม่รู้เห็นเกี่ยวข้องกับขบวนการลักลอบซื้อขายซากสัตว์ป่า และไม่เคยรับเงินใด ๆ จึงขอให้การชั้นศาลเท่านั้น
ในเมื่อเจ้าหน้าที่รัฐทั้ง 3 คนปฏิเสธว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว จึงไม่สามารถระบุตัวอย่างละเอียดว่าใครทำหน้าที่อะไรบ้างในการขนกระเป๋าดังกล่าว นอกจากภาพของส.ต.อ.จักรพันธ์ที่ถูกจับภาพได้อย่างชัดเจนขณะเข็นรถเข็นแบกกระเป๋าสีเขียวเข้าด่านตรวจศุลกากรเท่านั้น
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่บก.ปทส.ตั้งข้อหาตำรวจ 3 นายคือ ข้อหานำหรือพาของที่ยังมิได้ชำระค่าภาษีอากร หรือของต้องห้ามต้องกำจำกัด หรือของที่ยังไม่ได้ผ่านศุลกากรโดยถูกต้องเข้ามาในราชอาณาจักร โดยเจตนาจะฉ้อค่าภาษีอากร หลีกเลี่ยงต้องห้าม ข้อจำกัดหรือตัวบทกฎหมายอันเกี่ยวแก่ของนั้น และนำเข้าซากสัตว์ป่าชนิดที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด (นอแรด) เข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต
นอกจากนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ให้ต้นสังกัดคือ สภ.สุวรรณภูมิตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง และดำเนินคดีอาญาด้วยตามความผิดพระราชบัญญัติศุลกากร โทษจำคุก 10 ปี ปรับ 4 เท่าของราคาประเมินของกลาง ซึ่งคดีนี้มีค่าปรับกว่า 50.8 ล้านบาท และพ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า จำคุก 10 ปี ปรับ 4 หมื่น
@@ แฉรูปแบบขบวนการค้าซากสัตว์ซับซ้อนและเป็นระบบ@@
รายงานการสืบสวนของเจ้าหน้าที่บก.ปทส. ทำให้พบว่าขบวนการค้านอแรดขบวนการนี้ มีนายทุนใหญ่เป็นคนลาวชื่อนายวิชัย แก้วสว่าง เจ้าหน้าที่ตรวจสอบประวัติพบว่าเป็นพ่อค้าซากสัตว์รายใหญ่ที่สุดในแถบภูมิภาคเอเชียมีความชำนาญด้านภาษาจีน ภาษาเวียดนามมาก เคยเป็นเจ้าหน้าที่ของทางการลาว ซึ่งการให้ปากคำของนายจำลอง แหลมทองไทยได้ให้การว่ามีนายวิชัย เป็นหัวหน้าของขบวนการนี้ รวมทั้งมีส่วนเกี่ยวก้องกับขบวนการค้านอแรดของไทย
นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังพบว่า ขบวนการดังกล่าวมีการแบ่งหน้าที่ทำงานชัดเจน ตั้งแต่ นายทุน ผู้กว้านซื้อของ ผู้รับขนส่ง ผู้ลาดตระเวน(ทำหน้าที่คุ้มกัน) ผู้ประสานงาน ผู้ส่งของออก โดยขบวนการดังกล่าวนี้มีนายวิชัยเป็นนายทุนรับใบสั่งจากพ่อค้าจากประเทศจีน ประเทศเวียดนาม ก่อนจะสั่งงานไปยังผู้กว้านซื้อจัดหาของ ซึ่งก็คือนอแรดตามออเดอร์ ก่อนจะส่งมอบให้ผู้รับส่งคือ นายฟาม กวง ลอก ทำหน้าที่ขนของโดยใช้เครื่องบินเป็นพาหนะ
ส่วนชุดลาดตระเวนและชุดประสานงานนั้น จะมีเจ้าหน้าที่รัฐทำหน้าที่อำนวยความสะดวก เพื่อให้ผ่านด่านตรวจโดยง่าย ก่อนจะส่งมอบให้กับผู้ส่งของออก ซึ่งในคดีนี้ เป็นนางลอยซึ่งจะนำซากสัตว์ป่าออกจากประเทศไปส่งให้กับปลายทาง เมื่อถึงประเทศปลายทาง ก็จะมีชุดลาดตระเวนและประสานงานอีกชุดคอยอำนวยความสะดวกต่ออีกทอดหนึ่ง
สำหรับขั้นตอนดังกล่าวใกล้เคียงกับรูปแบบขบวนการผิดกฎหมายรูปแบบอื่น ๆ เช่นขบวนการค้ายาเสพติด ที่จะมีการแบ่งทีมทำงานเป็นชุด ๆ ทำตามหน้าที่ของใครของมัน ไม่ก้าวก่ายกันไปมา
รายงานการสืบสวนของบก.ปทส.ยังทราบอีกว่าตำรวจผู้เกี่ยวข้องทั้ง 3 นายพึ่งจะรับงานเป็นครั้งแรก โดยได้ค่าจ้าง 1 หมื่นยูเอสดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3 แสนบาท โดยมีนางลอยเป็นผู้ติดต่อให้รับงาน ซึ่งตำรวจทั้ง 3 นาย เคยรู้จักกันกับนางลอยมาก่อนหน้านี้ เพราะเคยจับนางลอยมาแล้วครั้งหนึ่งในคดีรูปแบบเดียวกันนี้
ขณะที่อีกด้าน ทางพ.ต.อ.ภูมินทร์ สิงหสุต ผกก.สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ผู้บังคับบัญชาของตำรวจทั้ง 3 นายให้สัมภาษณ์ว่า หลังเกิดเหตุทราบว่าผู้ใต้บังคับบัญชาในสังกัดมีส่วนพัวพัน ก็ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง และระหว่างการตรวจสอบก็ได้มีคำสั่งสับเปลี่ยนหน้าที่ ให้ตำรวจทั้ง 3 นายจากเดิมที่ปฏิบัติหน้าที่ด้านฝ่ายสืบสวน เป็นสิบเวรทันที
“เราก็ยังไม่ทราบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นว่าตำรวจทั้งสามนายของโรงพักเรามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้มากน้อยแค่ไหน แต่จะตั้งชุดคณะกรรมการขึ้นสอบสวนข้อเท็จจริง ในส่วนที่ถูกกล่าวหาว่าตำรวจทั้งสองนายได้อ้างว่ากระเป๋าใบดังกล่าวเป็นของผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการนั้น เท่าที่สอบถามตำรวจทั้งสองนายไม่ได้พูดแต่อย่างใด ส่วนทางด้านลงโทษทางวินัยขณะนี้ยังไม่มีการดำเนินการหรือสั่งพักราชการแต่อย่างใด เนื่องจากต้องรอหนังสือรายงานตนต้องคดีมาเสียก่อนถึงจะดำเนินการได้ แต่อย่างไรก็ตามในเรื่องนี้เราก็ไม่ได้นิ่งนอนใจก็จะได้ทำการสอบสวนข้อเท็จจริงเพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ที่ถูกกล่าวหา หากพบว่ามีการกระทำผิดจริงก็ต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป” ผกก.สภ.สุวรรณภูมิกล่าว
นอกจากนี้ พ.ต.อ.ภูมินทร์ยังเปิดเผยว่า เบื้องต้นตำรวจทั้ง3 นายชี้แจ้งว่า ในวันนั้นได้ทำการตรวจยึดของกลางร่วมกับเจ้าหน้าที่ศุลกากร และได้เรียนให้หัวหน้าชุดจับกุมทราบตามขั้นตอน อย่างไรก็ตามภายหลังทางเจ้าหน้าที่จากบก.ปทส.ได้เชิญตัวนายตำรวจทั้งสามไปทำการสอบปากคำหลายครั้ง เมื่อมีการแถลงข่าวว่าแจ้งข้อหานายตำรวจทั้ง 3 ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการนอแรด ทางต้นสังกัดคือสถานีตำรวจภูธรท่าอากาศยานสุวรรณภูมิไม่ได้รับรายงานใดๆ จากบก.ปทส.ว่าจะมีการแจ้งข้อหาจนกระทั่งเป็นข่าว
ต่อมา ผกก.สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้นำหนังสือรายงานตัวต้องคดีของตำรวจทั้งสามนาย เดินทางเข้ารายงานต่อ พล.ต.ต.ธัชชัย หงษ์ทอง ผบก.ภ.จว.สมุทรปราการ เพื่อนำรายงานผู้บังคับบัญชาระดับสูงคือพล.ต.ท.นเรศ นันทโชติ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1ต่อไป อย่างไรก็ตามได้มีคำสั่งให้ตำรวจทั้ง 3 นายออกจากราชการไว้ก่อนในเบื้องต้นรอจนกว่าคดีจะถึงที่สุด
ในส่วนของนายคณิต เอี่ยมระหงษ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ กล่าวสั้น ๆ ว่า ตนไม่ทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและไม่รู้เรื่องการแอบอ้างของกลุ่มมิจฉาชีพดังกล่าวแต่อย่างใด แต่ได้ประสานทางผู้บังคับการตำรวจสมุทรปราการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริง และวางแนวทางป้องกันและปราบปรามกลุ่มมิจฉาชีพที่แอบอ้างชื่อและตำแหน่งของตนเพื่อกระทำผิดอีกต่อไป
นอกจากนี้ยังมีความคืบหน้าจากพล.ต.ต.นรศักดิ์ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ยังพบว่าเครือข่ายของนายวิชัยมีอยู่ในประเทศไทยถึงสองคน ชื่อย่อ เจ๊ ด. ซึ่งเป็นนักธุรกิจประกอบสวนสัตว์แห่งหนึ่งทางภาคอีสาน ซึ่งเป็นที่รู้กันในวงการว่าเป็นหนึ่งในเครือข่ายขบวนการล่าสัตว์ป่า และคนที่สอง เสี่ย ล. พื้นที่ภาคเหนือ โดยเสี่ย ล. จะทำหน้าที่เคลียร์ให้กับเจ้าหน้าที่หากผู้ขนส่งของโดนจับ อย่างไรก็ตามแนวทางการสืบสวนยังพบข้อมูลว่า เสี่ยคนดังกล่าวมีส่วนพัวพันกับการหายไปของงาช้างจำนวน 117 กิ่ง และนอแรดอีก1 ชิ้น ที่ทางศุลกากรได้ตรวจยึด เมื่อประมาณกลางปี 2553 อีกด้วย
@@งาช้างก็ไม่เว้นคนมีสี อุกอาจถึงขั้นใช้รถหลวงขน@@
นอกจากคดีนี้แล้ว ยังมีคดีของร.ต.อ.สมควร บัวไสว รอง สว.สส. สภ.สะเดา จ.สงขลา ที่นำรถตู้โตโยต้า สีขาว ทะเบียน ฮภ-1050 กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นรถสำนักงานตำรวจแห่งชาติลักลอบขนงาช้างขนาดใหญ่ยาวกว่า 1 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ 5 นิ้ว รวม 20 กิ่ง (10 คู่) มูลค่ากว่า 10 ล้านบาทก่อนถูกเจ้าหน้าที่ตร.สภ.เมืองชุมพรจับกุมได้คาด่านตรวจบ้านพละ ถนนเพชรเกษม หมู่ 3ต.เขาไชยราช อ.ปะทิว จ.ชุมพร โดยจับกุมได้ในช่วงบ่ายของวันที่ 2 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยแนวทางการสืบสวนขยายผลทราบว่ามีความเชื่อมโยงของขบวนการค้าสัตว์ป่าที่เจ๊ ด.เป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลังอีก้ดวย
จากการสอบสวน ร.ต.อ.สมควรให้การรับสารภาพว่าลักลอบขนงาช้างมาจากชายแดนไทย- มาเลเซีย ด้าน จ.สงขลา เพื่อไปส่งให้นายทุนในพื้นที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยพึ่งจะย้ายมาปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งสารวัตรสืบสวนสอบสวนสภ.สะเดา ได้เพียง 1 เดือนเท่านั้น โดยลงมือขนเป็นครั้งแรกและทำเพียงคนเดียว ใช้วิธีการยืมรถหลวงออกไปอ้างว่าขับไปทำธุระเท่านั้น เพราะคิดว่าจะไม่มีใครมาขอค้น แต่มาพลาดเมื่อเจอด่านดันแสดงท่าทีพิรุธ เมื่อถูกขอให้แสดงบัตรอนุญาตเอกสารทางราชการการนำรถหลวงออกมาใช้ในราชการนอกพื้นที่ ก็ไม่มีเอกสารดังกล่าว จึงถูกตำรวจด้วยกันเองขอค้นรถ เมื่อตรวจสอบใต้ที่นั่งเบาะก็เห็นมีห่อสิ่งของวางอยู่ เมื่อนำออกมาดูก็พบว่าเป็นงาช้าง
ทั้งนี้งาช้างทั้ง 20 กิ่ง (10คู่) เกือบทั้งหมดบริเวณโคนของงาช้างไม่มีร่องรอยการตัดด้วยของมีคมแต่อย่างใด เนื่องจากมีลักษณะเหมือนถูกเลาะถอนงาออกมาจากช้างที่ถูกฆ่าตายแล้ว ดังนั้นการได้งาช้างชุดนี้มาก็อาจจะทำให้ช้างต้องเสียชีวิตไปมากถึง 10 ตัวเพียงเพื่อจะนำงาส่งไปซื้อขายในตลาดมืดเท่านั้น โดยไม่คำนึงถึงชีวิตของสัตว์ป่าเหล่านี้แต่อย่างใด โดยเจ้าหน้าที่บก.ปทส.ที่เข้าไปตรวจสอบพบว่าน่าจะเป็นงาช้างของทวีปเอเชีย สายพันธุ์แถบคาบสมุทรมาลายู เพราะหากเป็นขบวนการค้างาช้างแอฟริกา จะนิยมขนมาทางสายการบินและทางเรือเดินสมุทรในคราวละมากๆ
ปัจจุบันทางผู้บังคับบัญชาตำรวจภูธรภาค 9 มีคำสั่งให้ ร.ต.อ.สมควร ออกจากราชการไว้ก่อนเนื่องจากพบหลักฐานชัดเจน นอกจากนี้สั่งให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเรื่องทั้งหมด
@@แผนผังขบวนการค้าซากสัตว์ ใครอยู่บนยอดพีรามิดของขบวนการ?@@
การจับกุมนอแรดคาสนามบินสุวรรณภูมิครั้งนี้ถือเป็นการทำงานครั้งสุดท้ายของนายจำลองก่อนถูกจับกุมที่แอฟริกาใต้ โดยนายจำลองถือเป็นคนจัดหาออเดอร์ เนื่องจากมีใบอนุญาตให้ค้านอแรดได้ เขาทำการว่าจ้างพรานในพื้นที่ล่านอแรด ก่อนนำสินค้าส่งออกจากแอฟริกาใต้ ผ่านเอธิโอเปียส่งมาประเทศไทย การส่งผ่านแบบนี้กินเวลานาน นายจำลองก็ยังรับออเดอร์ต่อไปจนกระทั่งถูกจับกุมในที่สุด แต่การทำงานของเขาก็ถึงจุดจบ ซึ่งนายจำลองถือเป็นบุคคลสำคัญของขบวนการ การถูกจับกุมของเขา ทำให้ต้องจับตาดูว่าขบวนการค้าซากสัตว์จะหาใครมาแทนที่เขาได้หรือไม่ เพราะเขามีสายสัมพันธ์กับพรานในพื้นที่ มีใบอนุญาตให้ค้านอแรด เรียกได้ว่าเจ้าหน้าที่แอฟริกาใต้จับกุมคีย์แมนของขบวนการไปแล้ว (จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่พบการเคลื่อนไหวหรือสั่งสินค้าจากขบวนการนายวิชัย จึงยังไม่ทราบว่าใครคือผู้มาแทนที่นายจำลอง)
หากเปรียบแผนผังบังคับบัญชาแบ่งงานกันทำของขบวนการนี้ รายงานการสืบสวนแจ้งว่า หัวหน้าใหญ่สุดคือนักธุรกิจชาวลาว วิชัย แก้วสว่าง หากมีลูกค้าต้องการซากสัตว์ อาทิ นอแรด งาช้าง ก็จะรับออเดอร์ส่งให้นางลอย เป็นคนประสานงานติดต่อกับนายจำลองให้หาสินค้ามาให้ หลังจากหาสินค้ามาได้ก็จะส่งขึ้นเครื่องบินมาลงสนามบินสุวรรณภูมิอันโอ่อ่า
หลังจากนั้น ขั้นตอนต่อไป นางลอยจะจ้างนายฟามมาขนสินค้า หากมีขั้นตอนติดขัดจากกรมศุลกากร บุคคลที่จะเข้ามาสะสางจัดการเรื่องนี้คือ เสี่ย ล. ซึ่งเกี่ยวข้องกับการนำงาช้างและนอแรดออกจากที่เก็บของกลางของกรมศุลกากรเมื่อปี ๒๕๕๓ (มีการตั้งกรรมการสอบ แต่ไม่มีความคืบหน้าสาวถึงรายใหญ่ได้ สุดท้ายก็ลงโทษเพียงเจ้าหน้าที่ตำแหน่งเล็ก ๆ แต่สิ่งสำคัญก็คือต่อมาทางกรมอุทยานได้นำของกลางทั้งหมดไปเก็บไว้ให้กรมฯดูแลเอง มากกว่าจะให้ทางหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ ดูแล)
@@หน้าที่ของเสี่ย ล. คือเคลียร์ปัญหาติดขัดกับทางเจ้าหน้าที่กรมศุลกากร!!@@
โดยการขนส่งสินค้านี้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งนายลอยรู้จักและจ้างให้มาคุมของ แต่ดันพลาดท่าเสียก่อน
การจับกุมครั้งนี้ แม้เสี่ยล. จะไม่สามารถช่วยนายฟามออกมาได้ แต่เขาสามารถแสดงความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับกรมศุลกากร โดยการนำตัวนางลอยหนีรอดการจับกุมไปได้ หาใช่ว่านางลอยหลบหนีได้เอง แต่มีเจ้าหน้าที่รัฐพาตัวออกไป!!
การขนส่งสินค้าซากสัตว์หลายครั้ง มีวิธีการแตกต่างกันออกไป เช่นอาจจะนำสินค้ามาลงที่สนามบินสุวรรณภูมิแล้ว ขนใส่รถไปส่งที่ด่านหนองคายออกประเทศลาว การขนส่งสินค้าดังกล่าวนี้ จะเป็นหน้าที่ของ เจ๊ ด. นักธุรกิจสาวผู้มีสวนเสือในจังหวัดแห่งหนึ่งทางภาคอีสาน อีกทั้งทำธุรกิจสินค้าปลอดภาษีในประเทศลาวอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีตำแหน่งเป็นภรรยาของนายตำรวจยศ พ.ต.ท. ระดับรองผู้กำกับป้องกันและปราบปรามในจังหวัดแห่งหนึ่ง ทำให้มีหูตาและเส้นสายกว้างขวาง หน้าที่ของเจ๊ ด. นอกจากเป็นธุระส่งสินค้าแล้ว ยังมีหน้าที่จัดหางาช้างและซากเสืออีกด้วย เนื่องจากมีสวนเสือเปิดไว้บังหน้า เมื่อเสือตายก็จะนำซากไปขาย มีการสวมสิทธิ์ลูกเสือมากมาย โดยที่เจ้าหน้าที่ยังไร้หลักฐานจับกุมตัว แต่เคยมีกรณีใกล้เคียงจะจับกุมเจ๊ด.ที่สุดคือคดีการพบซากเสือกำลังถูกชำแหละย่านชานเมืองกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 4 ก.พ. ปี 2555 มีการจับกุมผู้เกี่ยวข้อง เจ้าหน้าที่ได้เบาะแสการสาวถึงตัวเจ๊ด.เพราะมีเบาะแสว่าซากเสือดังกล่าวนำมาจากสวนสัตว์ของ เจ๊ ด. แต่มันก็ได้เพียงแค่นั้น เพราะสุดท้ายไม่มีการให้การสาวถึงตัวหรือหลักฐานจับกุมแต่อย่างใด
ส่วนของงาช้างนั้น เจ๊ด.มีสายสัมพันธ์กับการส่งสินค้าดังกล่าวในภาคใต้ ในกรณีของร.ต.อ.สมควรนั้น ถูกจ้างให้ขนงาช้างโดยใช้รถหลวง มีน้องชายของเจ๊ ด. เป็นคนขับรถนำ เพื่อตรวจสอบการตั้งด่าน แต่ร.ต.อ.สมควรดันแสดงพิรุธที่ด่านจนถูกจับกุม น้องชายของเจ๊ ด. จึงจำยอมต้องทิ้งของกลางแล้วหลบหนีเอาตัวรอดเพื่อป้องกันการสาวถึงตัว
หน้าที่ของทุกคนในขบวนการนี้จะเชื่อมโยงและทำงานกันเป็นทีม โดยมีนายวิชัยนักธุรกิจชาวลาวอยู่ขั้นบนสุดของขบวนการ แต่คำถามสำคัญที่สุดคือ เขาใหญ่จริงหรือไม่?
จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ปทส. ยังไม่พบว่ามีนักการเมืองหรือนักธุรกิจ เจ้าหน้าที่รัฐบงการอยู่เบื้องหลัง แต่รายงานเชิงลึกปรากฏว่า กลุ่มค้าซากสัตว์กลุ่มนี้ มีนักการเมืองท้องถิ่น อดีตเจ้าหน้าที่รัฐ หรือเจ้าหน้าที่รัฐเองเกี่ยวข้อง โดยมีสายสัมพันธ์ในหน้าที่เส้นสายทำให้การทำธุรกิจผิดกฎหมายนี้สะดวกโยธินทางโล่งมากยิ่งขึ้น แต่หากจะถามว่าใครคือผู้บงการใหญ่สุดของขบวนการค้าซากสัตว์นี้
คำตอบง่าย ๆ ที่สุดก็คือ
ลูกค้าที่สั่งซื้อสินค้าเหล่านี้นี่เอง!!!
@@ไทยแลนด์เสรี สวรรค์น้อย ๆ ของขบวนการค้าซากสัตว์@@
จากข่าวการค้าซากสัตว์ที่มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องและปฏิบัติหน้าที่อุกอาจไม่เกรงกลัวกฎหมายนั้น นายสตีเว่น กัลป์เตอร์ ผอ.มูลนิธิ ฟรีแลนด์ ฟาวเดชั่น ซึ่งเป็นมูลนิธิเกี่ยวกับการต่อต้านการค้าซากสัตว์ป่าให้สัมภาษณ์ไว้ว่า ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้าซากสัตว์ เหตุเพราะ 1.ผู้ซื้อ พ่อค้าคนกลาง นายทุนระดับใหญ่ ๆ อยู่ในไทยและได้รับความคุ้มครองจากเจ้าหน้าที่รัฐผู้เกี่ยวข้อง และ 2. ประเทศเป้าหมายของซากสัตว์นั้น อยู่ใกล้กับประเทศไทยทั้งหมด
“ประเทศไทยมีการคมนาคมทางอากาศที่ดีกว่าประเทศอื่น และเป็นศูนย์กลางการซื้อขายของ นอกจากนี้พ่อค้าคนกลางที่รับซื้อซากสัตว์ก็มาตั้งรกรากทำงานในไทย มีความเชื่อมโยงในการส่งของไปประเทศอื่น โดยได้รับการดูแลจากเจ้าหน้าที่รัฐ โดยขบวนการค้าซากสัตว์ในไทยมีความเชื่อมโยงขบวนการล่าสัตว์ในแอฟริกา โดยจะมีพ่อค้าคนกลางในไทยส่งคนไปดูแลการฆ่าในพื้นที่แอฟริกา และดูแลการจัดส่งของจากแอฟริกามาประเทศไทยและส่งออกไปยังประเทศปลายทาง” นายสตีเว่นกล่าว
สถานการณ์การค้าซากสัตว์ในไทยยังมีความน่าเป็นห่วง นายสตีเว่นบอกและยังเพิ่มเติมอีกว่า แม้ที่ผ่านมาจะเห็นการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่รัฐจะดีขึ้น แต่โดยรวมแล้วสถานการณ์ก็ยังแย่อยู่ เหตุเพราะการคอรัปชั้นของเจ้าหน้าที่รัฐเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้สถานการณ์การค้าซากสัตว์ยังคงดำรงอยู่อย่างน่าวิตก
ปัจจุบันธุรกิจผิดกฎหมายที่ทำรายได้มหาศาลในโลกนี้ คือ ยาเสพติด การค้าอาวุธ การค้ามนุษย์และการค้าซากสัตว์ แต่ในประเทศไทย การค้าซากสัตว์ไปอยู่อันดับ 3 เพราะธุรกิจการค้าอาวุธในเมืองไทยไม่ค่อยมี อย่างไรก็ดีธุรกิจการค้าซากสัตว์ที่สร้างรายได้อย่างผิดกฎหมายในประเทศไทยนั้น ถูกนักวิชาการตีความให้กว้างเป็น การก่ออาชญากรรมทรัพยากรทางธรรมชาติ เพราะมีเรื่องพันธ์ไม้ต่าง ๆ เข้ามาเกี่ยวด้วย ที่สำคัญไม่มีใครสามารถประเมินได้ว่ารายได้มหาศาลพวกนี้มีจำนวนเท่าใด
นายสตีเว่นกล่าวว่า ธุรกิจผิดกฎหมายเหล่านี้เชื่อมโยงนายทุนระดับใหญ่ ๆ ไม่กี่ราย แต่ทุกคนเชื่อมโยงกันเป็นขบวนการใหญ่ โดยมีผู้ค้าคนไทย คนลาว และคนเวียดนามร่วมกันทำธุรกิจค้าซากสัตว์นี้ “พวกเขาบินไปประเทศทางแอฟริกา และจ่ายเงินให้กับหัวหน้าพรานล่าสัตว์ในแอฟริกาประมาณ 100,000-200,000 บาทต่อนอแรด 1 กิโลกรัม และเมื่อมีการขายต่อ ราคาก็จะขยับไปถึง 2 ล้านบาทต่อกิโลกรัม ทางผู้ต้องหาชาวเวียดนามที่ถูกจับกุมนั้นได้อ้างในชั้นสอบสวนว่าได้รับค่าจ้างเป็นเงิน 500 ยูเอส ดอลลาร์ในการขนนอแรดครั้งนี้ ขบวนการระดับนี้จึงเชื่อมโยงกันเป็นขบวนการข้ามชาติระดับโลก”
ส่วนวิธีการแก้ปัญหาของนายสตีเว่นมองว่า จากการประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธ์ หรือการประชุมไซเตสครั้งที่ 16 ซึ่งพึ่งจัดประชุมที่ประเทศไทยเมื่อวันที่ 3-14 มีนาคมที่ผ่านมานั้น ทางที่ประชุมได้ตัดสินให้การค้างาช้างและนอแรดต้องมีระบบระเบียบมากขึ้น หมายถึงให้เข้มงวดกับการตรวจสอบสินค้าเหล่านี้ อย่างไรก็ตามต้องวิธีการแก้ปัญหานี้ไม่น่าจะแก้ปัญหาได้ เพราะว่ากลุ่มเครือข่ายอาชญากรรมค้าซากสัตว์ไม่เล่นตามกฎหมายอยู่แล้ว ก็จะหาวิธีการลัดในการทำความผิดต่อไป
ดังนั้นนายสตีเว่นจึงให้ทัศนะว่า มี 3 วิธีในการแก้ปัญหาเรื่องนี้ คือ1. หยุดการค้าทั้งมวลและต้องให้สินค้าประเภทซากสัตว์เหล่านี้ต้องผิดกฎหมายโดยทันที 2.ในประเทศไทย เจ้าหน้าที่รัฐต้องบังคับใช้กฎหมายในการจับกุมผู้ต้องหาในขบวนการค้าซากสัตว์และต้องมีการยึดทรัพย์เพื่อทำลายเครือข่ายขบวนการ และ 3. ต้องรณรงค์ให้ประชาชนหยุดซื้อสินค้าที่ทำมาจากซากสัตว์ดังกล่าว
“กฎหมายเรื่องการค้าซากสัตว์ในไทยยังอ่อนมาก อีกทั้งมีความล้าหลังด้วย” นายสตีเว่นกล่าว พร้อมกับยกตัวอย่างประเทศอื่นในโลกว่า กฎหมายการค้าซากสัตว์ในประเทศจีนมีโทษหนักมาก ตอนนี้ประเทศที่มีการขบวนการค้าซากสัตว์อย่างแพร่หลาย 3 ประเทศ คือประเทศไทย ประเทศลาวและประเทศอินโดนีเซียมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ค่อนข้างอ่อน โทษค่อนข้างเบา โดยเฉพาะในประเทศไทย ทำให้มีคนพร้อมจะเสี่ยงไปทำงานด้านนี้ เพราะโทษก็แค่ปรับ”
ส่วนในประเทศเวียดนามกับประเทศจีนนั้น แม้จะมีโทษหนัก แต่การค้าและการบริโภคซากสัตว์ก็ยังสูง เนื่องจากไม่มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง โดยเฉพาะประเทศไทยนั้น นายสตีเว่นเปิดเผยว่า “ตนเชื่อว่าคนไทยมีจิตอนุรักษ์ โดยเฉพาะสัตว์และธรรมชาติ แต่ปัญหาที่คาราคาซังทุกวันนี้ นอกจากกฎหมายล้าหลังดังที่กล่าวไปแล้ว ก็ยังมีการเลือกปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ไทยในการจับกุมคนร้าย”
“ตำรวจไทยจับผู้ร้ายใหญ่ ๆ ได้เสมอ ถ้าจะจับ”
ดังนั้นจึงหวังว่าเจ้าหน้าที่จะบังคับใช้กฎหมายในเรื่องนี้อย่างเข้มงวด
@@กฎหมายล้าหลัง เพิ่มโทษ? เพิ่มมูลค่าซากสัตว์!@@
นายอรรถพล เจริญชันษา ผอ.ส่วนยุทธการป้องกันและปราบปราม กรมอุทยานแห่งชาติเปิดเผยว่า จริง ๆ พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 นั้นตามไม่ทันขบวนการค้าซากสัตว์ หรือมูลค่าความเสียหาย เพราะโทษปรับเบา
“ไม่ควรเรียกว่าล้าสมัยหรือโบราณ แต่ถือว่าพ.ร.บ.ฉบับนี้ตามไม่ทันกลุ่มคนร้ายมากกว่า” นายอรรถพลสรุปถึงปัญหาข้อกฎหมาย
เปิดข้อกฎหมายในพ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าปี พ.ศ.2535 มาตรา 16 ฐานความผิดล่าหรือพยายามล่าสัตว์ป่าสงวนหรือสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ความผิดตามมาตรา 19 มีสัตว์ป่าสงวน สัตว์ป่าคุ้มครอง ซากของสัตว์ป่าสงวนหรือซากของสัตว์ป่าคุ้มครองไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และมาตรา 20 วรรค 1 ค้าสัตว์ป่าสงวน สัตว์ป่าคุ้มครอง ซากสัตว์ป่าสงวน ซากของสัตว์ป่าคุ้มครอง หรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากซากสัตว์ป่าดังกล่าว โดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้ง 3 มาตรานี้มีการบัญญัติการลงโทษตามมาตรา 47 ไว้ที่ จำคุก 4 ปี ปรับ 40,000 บาทเท่ากันหมด
“โทษปรับเบา เพราะทางศาลอาจจะสั่งปรับ 10,000 บาทขึ้นไป หากพบว่าไม่เคยทำผิดก็อาจจะรอลงอาญาได้ แต่ทุกวันนี้ศาลก็ให้ความสำคัญกับปัญหาขบวนการค้าซากสัตว์ หากพบว่าเข้าข่ายเป็นขบวนการข้ามชาติก็จะสั่งจำคุกทันทีไม่รอลงอาญา” นายอรรถพลชี้แจง
ขณะนี้กฎหมายการเพิ่มโทษตามความผิดพ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่ากำลังอยู่ในการพิจารณาของคณะกรรมการเพื่อกลั่นกรองการเพิ่มโทษ ขั้นตอนทั้งหมดอยู่ในสภา แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเมื่อใดจะมีผล
หากมีการเพิ่มโทษจริง ความผิดตามมาตรา 16,19และ 20 จากโทษเดิมจะถูกปรับเป็น จำคุก10 ปี ปรับ 100,000 บาททันที “นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มอำนาจจับกุมสัตว์ทีมีรายชื่อในบัญชีไซเตส หากนำเข้ามาก็จะถูกจับกุมฐานครอบครองทันที เดิมทีไม่มีอำนาจจับกุมหากลักลอบนำเข้ามาในประเทศ จะจับได้ก็ต้องทำที่การตั้งด่านตรงชายแดนเท่านั้น แต่ข้อกฎหมายใหม่หากผ่านสภาจะเพิ่มบทลงโทษตรงนี้ อย่างไรก็ตามกฎหมายที่อยู่ในสภาก็มีจำนวนมาก ไม่สามารถบอกได้ว่าเมื่อไหร่จะแล้วเสร็จ” นายอรรถผลกล่าว
นอกจากนี้พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ฉบับที่ 4 ปี 2556 ซึ่งพึ่งมีผลเมื่อไม่นาน มีการระบุรายละเอียดของลักษณะคดีที่ต้องรายงานตามข้อตกลงตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการประสานงานในการปฏิบัติตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน โดยใน (15) ความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยการใช้ ยึดถือ หรือครอบครองทรัพยากรธรรมชาติหรือกระบวนการแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติโดยมิชอบด้วยกฎหมายอันมีลักษณะเป็นการค้า โดย ข. ความผิดตามพ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2485 ข้อ ค ความผิดตามพ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ ปี 2507 จ. ความผิดตามพ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ 2504 และข้อ ฉ ความผิดตามพ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า 2535 ซึ่งหากมีใครกระทำผิดตามข้อเหล่านี้ ก็จะมีการตรวจสอบโดยปปง.และนำไปสู่การยึดทรัพย์
นายอรรถพลเปิดเผยว่า พ.ร.บ.ฉบับนี้พึ่งมีการแก้ไข ทางกรมอุทยานกำลังตรวจสอบรายชื่อผู้กระทำผิดเพื่อส่งให้องค์กรปปง.ตรวจสอบในเรื่องการยึดทรัพย์ แต่เรื่องการจำคุกและมาตรการลงโทษตามกฎหมายนั้น ก็ต้องเข้าใจกระบวนการยุติธรรม การพิจารณาเรื่องการทำผิดในพฤติการณ์หลายอย่างก็อาจมีเหตุให้ทุเลาโทษได้ รวมถึงการฟ้องแพ่งต่อกลุ่มผู้ค้าที่เข้าไปทำลายทรัพยากรของแผ่นดิน ก็ยังมีหลักเกณฑ์ไม่ชัดเจนหรือเป็นรูปธรรมจากกรมอุทยานแห่งชาติ
“คนในสังคมมองว่าการกระทำผิดเกี่ยวกับการค้าซากสัตว์ เช่น นอแรด งาช้าง เสือ ไม้พะยูง ไม่ใช่ความผิดที่รุนแรงเท่ากับการฆ่าคนตาย หรือยาเสพติด เพราะฉะนั้นการใช้ข้อกฎหมายที่รุนแรง ไม่น่าจะสำเร็จ การเพิ่มโทษมีผลเพียงทางอ้อม แต่จะทำให้ราคาของซากสัตว์ในตลาดมืดเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงวงเงินในการคอรัปชั่นก็จะสูงตามไปด้วย ใช้กฎหมายแรงกับชาวบ้านธรรมดา ทางกระบวนการยุติธรรมก็ไม่ถูกต้องไม่เหมาะสมอีก ต้องยอมรับว่าแม้เราจะอยากให้โทษเรื่องนี้หนัก แต่ความจริงในสังคมคือคนไทยมองว่ามันเป็นความผิดที่ไม่หนัก ตรงนี้คือความจริงที่เรายอมรับ”
สินค้าซากสัตว์ที่ส่วนใหญ่มีเป้าหมายในประเทศจีน แต่การเดินทางกลับมาแวะพักในประเทศไทย เป็นเพราะกระบวนการตรวจสอบในการนำสินค้าเข้าไปประเทศจีนมีการเข้มงวดมาก ทั้งทางบก อากาศ และทางน้ำ แต่ประเทศไทยยังมีปัญหาการคอรัปชั่นของเจ้าหน้าที่ และขาดเทคโนโลยีในการตรวจตราสินค้าซากสัตว์เหมือนอย่างในประเทศอื่น

@@ปลุกจิตสำนึก ใช้เวลาแต่ใช่ว่าจะทำไม่ได้@@
สำหรับวิธีการแก้ปัญหาเรื่องนี้ ผอ.ส่วนยุทธการฯมองว่า การแก้ปัญหาทางตรงก็คือการพยายามรณรงค์ ปลุกจิตสำนึกในตัวคนเรื่องการค้าซากสัตว์ เพราะต้องเข้าใจว่าทุกวันนี้คนไทยไม่นิยมสะสมซากสัตว์ป่า แต่มักจะนำไปขายต่างประเทศ หรือถึงมีการสะสมซากสัตว์ก็มีน้อยมาก เพราะเก็บซากเหล่านี้ก็ไม่มีประโยชน์ ทั้งนอแรด และงาช้าง ซึ่งส่วนใหญ่งาช้างก็มาจากช้างแอฟริกา เรื่องนี้ที่ประชุมไซเตสพยายามให้ประเทศไทยยกเลิกการค้างาช้าง แต่กรณีนี้ไปเกี่ยวข้องกับข้อกฎหมายของกระทรวงมหาดไทยและกระทบวิธีชีวิตคนหลายกลุ่มที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับช้าง
ที่ผ่านมาการรณรงค์จากทุกภาคส่วนทำได้เพียงประชาชนในเมือง ส่วนคนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจนี้ไม่ค่อยมีใครสนใจ เนื่องด้วยวัฒนธรรม วิธีชีวิต แต่ก็ต้องใช้เวลาในการรณรงค์เรื่องเหล่านี้ เนื่องจากคนที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับช้างก็ชี้แจงว่ามีการดูแลช้างเป็นอย่างดี มีการลงทะเบียนตีตราช้าง เมื่อช้างล้ม ก็นำงาไปขาย เราไม่สามารถที่จะผลักดันเรื่องนี้ตามที่การประชุมไซเตสต้องการได้
ทุกวันนี้ทางกรมอุทยานมีการเพิ่มความถี่ในการลาดตระเวนป้องกันการลำเลียงส่งซากสัตว์ อย่างไรก็ตามจะให้ไปเฝ้าตลอดเวลาก็ไม่อาจทำได้ รวมถึงการตรวจสอบป้องกันที่สนามบินต่าง ๆ ก็อยู่นอกอำนาจของกรมอุทยาน ทุกวันนี้จึงทำได้เพียงตั้งชุดเฉพาะกิจคอยป้องกันและปราบปรามในพื้นที่ตามอำนาจของกรมอุทยานเท่านั้น
“การเพิ่มโทษอาจทำให้คนกลัว แต่ก็เหมือนการเพิ่มโทษในคดียาเสพติด ก็ยังมีคนทำผิดอยู่ ดังนั้นการรณรงค์ปลุกจิตสำนึกคนจะดีกว่า อย่าลืมว่า เมื่อก่อนชาติตะวันตก ทั้งอเมริกาและยุโรปมีการสะสมซากสัตว์เหล่านี้ เพราะฝรั่งล่าสัตว์กันมาก ก็มีการรณรงค์จนทุกวันนี้ ประเทศเหล่านี้เป็นหัวขบวนในการต่อต้านขบวนการค้าซากสัตว์ เขาทำได้ และเชื่อว่าประเทศเราก็ทำได้ แต่ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลานานเท่าใด”
ขบวนการค้าซากสัตว์ เป็นขบวนการค้าที่มีแผงผังและแบ่งงานกันทำอย่างเป็นระบบ ทั้งการ รับงานจากลูกค้า จัดหาสินค้า จัดส่ง ดูแล และเคลียร์สินค้ากับเจ้าหน้าที่รัฐ กลุ่มบุคคลเหล่านี้มีความใกล้ชิดและเส้นสายกับเจ้าหน้าที่รัฐที่มีหน้าที่ป้องกันและปราบปรามซากสัตว์ สะท้อนปัญหาการคอรัปชั่นในประเทศไทย รวมถึงสะท้อนการทำงานอันอ่อนแอของเจ้าหน้าที่รัฐ ส่งผลให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางการค้าซากสัตว์ของโลก นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงข้อกฎหมายที่ปรับตัวไม่ทันที่จะจัดการกลุ่มขบวนการเหล่านี้
อย่างไรก็ตามการเพิ่มโทษทางกฎหมาย ไม่อาจทำลายขบวนการค้าซากสัตว์ได้ จิตสำนึกของเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนที่ควรสำนึกหวงแหนทรัพยากรและสัตว์ป่าร่วมโลกต่างหาก ที่จะทำลายหรือหยุดยั้งขบวนการค้าซากสัตว์ได้ เมื่อสังคมไทยเข้าใจและเริ่มเห็นปัญหา พร้อมที่จะแก้ไขมัน ต่อให้รากเหง้าของคอรัปชั่นการทุจริตจะหยั่งรากลึกแค่ไหน มันก็มีวันถูกทำลาย
