เจอน้ำทะเลอ่าวพร้าว สารปรอทเกิน 29 เท่า
เมื่อวันที่ 13 ส.ค.ที่กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายวิเชียร จุ่งรุ่งเรือง อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ แถลงผลการตรวจสอบคุณภาพน้ำทะเล ชายหาดและอ่าวต่างๆ รอบเกาะเสม็ด จ.ระยอง ว่า ผลการตรวจสอบคุณภาพน้ำทะเลชายฝั่งบริเวณรอบเกาะเสม็ด จำนวน 12 หาด ซึ่งเก็บตัวอย่างในวันที่ 3 ส.ค. ปรากฎความเป็นกรด-ด่าง ค่าออกซิเจนละลายน้ำ มีค่าไม่เกินค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ ผลการตรวจโลหะหนัก ทั้ง 12 หาด พบว่าสารหนูมีค่าไม่เกินมาตรฐานคุณภาพน้ำทะเลที่กำหนดไว้ 10 ไมโคกรัมต่อลิตร แคดเมียมมีค่าไม่เกินค่ามาตรฐานคุณภาพน้ำทะเลที่กำหนดไว้ที่ 0.5 ไมโครกรัมต่อลิตร ค่าปรอทส่วนใหญ่มีค่าไม่เกินค่ามาตรฐานคุณภาพน้ำทะเลที่กำหนดไว้ 0.1 ไมโครกรัมต่อลิตร ยกเว้นที่อ่าวพร้าว มีค่า 2.9 ไมโครกรัมต่อลิตร หรือ 29 เท่าจากค่ามาตรฐาน และอ่าวทับทิม มีค่า 0.25 ไมโครกรัมต่อลิตร
นายวิเชียร กล่าวว่า สำหรับผลการตรวจวัดโพลีไซคลิก อะโรมาติก ไฮโดรคาร์บอน (PAHs) อยู่ในระดับค่าไม่เกินมาตรฐาน (มาตรฐานของ USEPA ที่กำหนดไว้ ระดับต่ำสุดที่มีผลกระทบต่อสัตว์น้ำ 300 ไมโครกรัมต่อลิตร) สำหรับผลการตรวจวัดปิโตรเลียมไฮโดรคาร์บอน ( TPH) ในขณะนี้ยังวิเคราะห์ผลไม่แล้วเสร็จ และคาดว่าจะแถลงผลการตรวจวิเคราะห์ให้ทราบในวันที่ 15 ส.ค.นี้
“ผลการเก็บตัวอย่างน้ำทะเลครั้งนี้ เป็นการเก็บตัวอย่างครั้งแรกเมื่อวันที่ 3-4 ส.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งคาดว่าตัวเลขสารต่างๆ น่าจะลดลงตามลำดับ แต่ก็ยอมรับว่า คพ.แจ้งผลวิเคราะห์ให้ประชาชนทราบช้าเนื่องจากติดช่วงวันหยุดยาว อย่างไรก็ตามคพ.ก็ขอแนะนำให้ประชาชน และนักท่องเที่ยวควรหลีกเลี่ยงการเล่นน้ำในพื้นที่อ่าวพร้าว และอ่าวทับทิมของเกาะเสม็ดไปก่อน จนกว่าจะทราบผลการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำครั้งที่ 2 ที่เก็บตัวอย่างเมื่อวันที่ 8 ส.ค. ที่คาดว่าจะทราบผลในวันที่ 15 ส.ค.นี้ หรือจนกว่าผลการตรวจสอบคุณภาพน้ำทะเลจะเข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งจากนี้ คพ.จะเร่งแถลงผลการวิเคราะห์คุณภาพน้ำทะเลและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ให้เร็วขึ้น
ทั้งนี้ในส่วนของอ่าวทับทิมที่มีค่าสารปรอทเกินค่ามาตรฐานนั้น ไม่ได้เกิดจากการรั่วไหลของน้ำมันในอ่าวไทย แต่คาดว่าจะเกิดจากกิจกรรมการปล่อยน้ำเสียลงหาด ทางคพ. จะติดตามตรวจสอบอย่างละเอียดและมีมาตรการดำเนินการอีกครั้ง ส่วนจะต้องปิดอ่าวห้ามนักท่องเที่ยวเข้าพื้นที่หรือไม่ ไม่ใช่อำนาจของ คพ. แต่เป็นอำนาจของกรมอุทยานฯ แต่โดยส่วนตัวเห็นว่ายังไม่ควรเปิดอ่าวพร้าวให้ประชาชนเข้าไปท่องเที่ยว ซึ่ง คพ. จะนำผลวิเคราะห์ครั้งนี้ส่งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเช่น กรมอุทยานฯ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กรมประมง กรมเจ้าท่า ต่อไป” นายวิเชียร กล่าว
นายวิเชียร กล่าวว่า ขณะนี้ คพ. มีค่าใช้จ่ายสำหรับเจ้าหน้าที่ และค่าตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำและอากาศแล้วประมาณ 3 ล้านบาท จะรวบรวมเพื่อเรียกค่าเสียหายคืนจาก พีทีทีซีจีต่อไป นอกจากนั้นทาง คพ.จะดำเนินการเข้าสำรวจหาดทรายบริเวณอ่าวพร้าวอย่างละเอียดตลอดความยาว 400-500 เมตร โดยใช้วิธีขุดเจาะชั้นทรายความลึก 1 เมตรขึ้นไป เพื่อหาคราบน้ำมันและสารตกค้าง หากพบมีความผิดปกติทางพีทีทีซีจีต้องเข้ามาฟื้นฟูต่อไป
ด้านนายนิพนธ์ พงษ์สุวรรณ นักวิชาการประมงชำนาญการพิเศษ ทช. กล่าวว่า ทาง ทช. สำรวจพบปะการังเกิดการฟอกขาวใน 4 จุด คือ อ่าวน้อยหน่า ประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ อ่าวพร้าวด้านเหนือ 5-10 เปอร์เซ็น อ่าวพร้าวด้านใต้ 70 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นจุดที่น้ำมันมากองรวมกันมากที่สุดในช่วง 2-3 วันแรก และบริเวณอ่าวปลาต้ม 10-20 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งทางกรมจะตรวจสอบอย่างต่อเนื่องอย่างน้อยเป็นเวลาอีก 1 ปี เพื่อดูว่าปะการังที่ฟอกขาวเหล่านี้จะตายลงหรือไม่
“ฟันธงว่าการฟอกขาวครั้งนี้เกิดจากน้ำมันรั่วแน่นอน เพราะไม่มีปัจจัยอื่นที่จะทำให้เกิดการฟอกขาว ซึ่งการฟอกขาวเกิดจากปะการังมีภาวะเครียด และมีฟองน้ำบางส่วนตาย แต่จำนวนยังไม่มาก ซึ่งที่ผ่านมาประเทศไทยเกิดสถานการณ์ปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่เมื่อปี 2553 ทั้งในพื้นที่ อ่าวไทย และอันดามัน เพราะอุณหภูมิของน้ำทะเลสูงขึ้นจาก 29 เป็น 31 องศาเซลเซียส แต่บริเวณที่เกิดการฟอกขาวครั้งนี้เป็นพื้นที่เล็กๆ ที่มีน้ำมันอยู่ และไม่มีนำจืดหรือนำเสียไหลปนมา ก่อนหน้านี้ปะการังอยู่ในภาวะปกติไม่มีการฟอกขาวแต่อย่างใด หลังจากนี้จะมีการตรวจสอบเนื้อเยื่อปะการังว่ามีการสะสมของสารไฮโดรคาร์บอนซึ่งเป็นสารประกอบของน้ำมันดิบหรือไม่ ” นายนิพนธ์ กล่าว

