ฟังความในใจ คุณแม่ “น้องเอื้อย” ในวันประกาศเอาคืน เพจแอนตี้ “ลูกสาว” ตัวเอง
เปิดใจ คุณแม่ “น้องเอื้อย” เน็ตไอดอล ที่โด่งดังที่สุดในเมืองไทย ยุค พ.ศ. นี้ กับความรู้สึกในใจ เมื่อลูกสาวตัวเอง โดยกลุ่มคนที่ไม่หวังดี ตั้งแฟนเพจ ใสร้ายโจมตีอย่างหนัก จนถึงขั้นขึ้นโรงพัก แจ้งความดำเนินคดี ฐานทำให้เสียชื่อเสียง - แฟนคลับฟังกันชัดๆ งานนี้ไม่มีปิดเฟซบุ๊กหนีแน่ "คุณแม่-ลูกสาว" พร้อมสู้ไม่ถอยแน่นอน

เป็นประเด็น ทอล์กออฟเดอะทาวน์ ในโลกออนไลน์ มาหลายเดือนแล้ว
สำหรับกรณี สาวน้อยหน้าใส ตัวเล็ก เน็ตไอดอล ที่ร้อนแรงที่สุดในยุคนี้ ซึ่งรู้จักกันในชื่อ “น้องเอื้อย” ที่ชอบโพสต์รูปภาพวัยใสของตนเอง ผ่านอิริยาบทต่างๆ ผ่านทางเฟซบุ๊ก ของตนเอง และมีคนเข้าไปกดไลน์ชื่นชอบเป็นจำนวนมาก
ก่อนที่ถูกจับผิดว่า มีการแต่งภาพ ให้ดูน่ารัก สดใสกว่าตัวจริง และไม่ว่าเธอจะไปโผล่อยู่รูปไหน สิ่งแวดล้อมข้างกายเป็นอันต้องบูดเบี้ยวไปหมด ไม่ว่าจะเป็น เพดานเบี้ยว บ้านเบี้ยว เสาเบี้ยว กำแพงเบี้ยว ม่านเบี้ยว รถเบี้ยว
จนนำไปสู่การตั้งฉายา “น้องเอื้อยบ้านเบี้ยว” และ “เอื้อยร้องไห้ทำไม” ในเวลาต่อมา
และผลจากการจับผิดภาพดังกล่าว ก็นำไปสู่การตั้งกลุ่มแฟนเพจแอนตี้อย่างเป็นทางการ จนมียอดผู้ติดตามเพจดังกล่าวเป็นหลักหมื่นคน
จนกระแสแอนตี้ "น้องเอื้อย" แรงขึ้นเรื่อยๆ ความรุนแรงของภาพถ่าย ข้อความ ที่นำเสนอของเพจ มีเนื้อหาโจมตี ใส่ร้าย น้องเอื้อย อย่างรุนแรง
และเรื่องราวก็ลุกลามบานปลายใหญ่โต ถึงขนาดคนในครอบครัว "น้องเอื้อย" ต้องเข้าแจ้งความลงบันทึกประจำวัน กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางศรีเมือง นนทบุรี เพื่อเป็นหลักฐานดำเนินคดีกับ เพจแอนตี้ และเพจต่างๆ ที่โพสต์ข้อความไม่เป็นจริงใส่ร้าย น้องเอื้อย ให้ได้ความเสียหาย เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2556 ที่ผ่านมา
หลังจากใช้ความพยายามอยู่นาน ในการติดต่อ "น้องเอื้อย" และ "คนในครอบครัว" เพื่อขอทราบข้อเท็จจริงเรื่องราวทั้งหมด
ในช่วงกลางดึกคืนวันที่ 19 สิงหาคม 2556 ที่ผ่านมา สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org มีโอกาสได้สัมภาษณ์ นางน. ข้าราชการ ระดับหัวหน้า ในหน่วยงานแห่งหนึ่ง ภายใต้สังกัด จังหวัดนนทบุรี คุณแม่ของ "น้องเอื้อย" ถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นถึงหมด เกี่ยวกับลูกสาวของตนเอง แบบ "หมดเปลือก"
นับจากบรรทัดนี้ ไป คือ ความในใจของ คุณแม่น้องเอื้อย ที่ต้องการส่งตรงไปถึง "กลุ่มคน" ที่ไม่หวังดี ออกมาตั้งกลุ่มแอนตี้ ลูกสาวของตนเอง
“ คุณแม่ ได้พาน้องเอื้อย ไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ สภ.บางศรีเมือง เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2556 จริง หลังจากที่น้องเอื้อย ร้องไห้ และมาบอกกับแม่ว่า รู้สึกอายมาก ที่ถูกคนกลุ่มหนึ่ง โพสต์ข้อความต่อว่าลงในเพจ แอนตี้ จนไม่กล้าไปโรงเรียนอีกแล้ว คุณแม่จึงได้ไปปรึกษากับทนายความที่เป็นญาติกัน และได้รับคำแนะนำว่าให้ไปแจ้งความไว้ก่อน เพื่อเป็นหลักฐานไว้ และรวบรวมข้อมูลทั้งหมดไว้ด้วย ซึ่งในช่วงต้นสัปดาห์หน้านี้ ก็จะมีการนำหลักฐานส่วนหนึ่งไปมอบให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย ”
คุณแม่น้องเอื้อย เล่าต่อไปว่า ช่วงก่อนหน้าที่คุณแม่จะพาน้องเอื้อยไปแจ้งความ คิดว่าเรื่องมันชักจะไปกันใหญ่แล้ว ใครนึกจะโพสต์ข้อความอะไรใส่ร้ายน้องเอื้อยก็ได้ ทั้งที่มันไม่เป็นความจริงเลย และข้อความหรือข้อมูลที่โพสต์กันในช่วงหลัง ก็มีความรุนแรง และหยาบคายมาก
"เรารู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำมันชักจะมากเกินไปแล้ว เราจึงต้องไปแจ้งความ เพื่อปกป้องศักดิ์ของเรา”
ส่วนชนวนเหตุที่ทำให้น้องเอื้อย ถูกกระทำแบบนี้ คุณแม่ ตั้งข้อสังเกตว่า ปกติน้องเอื้อย ไม่ค่อยได้ยุ่งกันใครมากนัก แต่มีคนพยายามที่จะเอาน้องเอื้อยไปทำงานด้วย และคนกลุ่มนั้น ก็มีความขัดแย้งกันอยู่แล้ว และรู้สึกว่าตัวเองเสียผลประโยชน์ จากการที่น้องเอื้อย เริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมา จึงไปวางแผนกัน สร้างเพจขึ้นมา และแต่งเรื่องสร้างกระแส เพื่อใส่ร้ายและโจมตีน้องเอื้อยให้เสียหาย
"พอเราพยายามจะชี้แจงอะไรไป เขาก็ไปเปลี่ยนเรื่องมาเล่นงานใหม่ จนล่าสุด เรื่องมันไกลไปจนถึง คำว่า ท้องไม่มีพ่อ ถ่ายรูปกับพี่ชายแท้ๆ ก็ถูกหาว่าไปนั่งตักผู้ชาย อะไรแบบนี้”
คุณแม่น้องเอื้อย ยังย้ำด้วยว่า ไม่ใช่แค่น้องเอื้อยคนเดียว ที่ถูกสร้างเรื่องใส่ร้ายเท่านั้น คนใกล้ชิด น้องเอื้อย ก็โดนกันไปตามๆ กัน
“ แม่ก็ถูกโจมตีด้วย แม่ถูกด่าด้วยคำพูดที่หยาบคาย คนอื่นก็โดนไปด้วยหมด ประธานนักเรียนที่โรงเรียนน้องเอื้อย ก็ถูกระบุว่า ทะเลาะกับแม่ ซึ่งไม่จริงเลย ผอ.โรงเรียน ก็ถูกเขียนว่า เรียกน้องเอื้อยเข้าไปพบก็ไม่จริง โรงเรียนสอนดนตรี ของ ครูอ้วน (มณีนุช เสมรสุต) ก็ถูกพาดพิงด้วย ทั้งที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย ซึ่งล่าสุดคนเหล่านี้ เขาก็เตรียมที่จะเอาเรื่องด้วยเหมือนกัน”
เมื่อถามย้ำว่า กลุ่มคนที่คุณแม่ น้องเอื้อย จะฟ้องดำเนินคดี คือใคร คุณแม่น้องเอื้อยระบุว่า ทุกคน ทุกเพจ ที่ทำให้เราเสียหาย เพราะความเสียหายครั้งนี้ มันไม่ใช่แค่เรา แต่มันลามไปถึงตระกูลของเรา คือ ทุกเว็ปไซต์เราสามารถเอาเรื่องได้หมด ตอนนี้อยู่ระหว่างเก็บรวบรวมหลักฐานอยู่
คุณแม่น้องเอื้อย ยังระบุด้วยว่า ภายหลังจากที่เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางศรีเมือง แล้ว ได้พาน้องเอื้อย เดินทางไป กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ที่ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ที่ถ.แจ้งวัฒนะ เพื่อร้องเรียนเรื่องนี้ด้วย ซึ่งเจ้าหน้าที่ทางศูนย์ฯ ก็รับเรื่องไว้ พร้อมระบุว่า สามารถที่จะตรวจสอบได้ว่า ใครเป็นคนทำเพจเหล่านี้ขึ้นมา ใครเป็นคนโพสต์ข้อความ ได้
เมื่อถามว่า ที่ผ่านมาเคย พูดคุยกับกลุ่มคนที่ทำเพจ แอนตี้เหล่านี้หรือไม่ คุณแม่น้องเอื้อย ยืนยันว่า “คุณแม่เคยติดต่อไปยังเพจพวกนี้แล้ว แชร์ข้อความไปแล้ว แต่เขาก็เอาแม่ไปล้อเลียนอีก พอแม่ไปแจ้งความก็หาว่าทำเกินกว่าเหตุเปลี่ยนเรื่องไปเรื่อยๆ และตอนนี้ เขาก็บล็อก ไม่ให้คุณแม่เข้าไปพูดอะไรกับเพจเขาได้เลย”
เมื่อถามว่า มองสาเหตุที่ทำให้น้องเอื้อยถูกโจมตี ยังไงบ้าง คุณแม่น้องเอื้อย ระบุว่า
“ จุดเริ่มต้นน่าจะมีคนหมั่นไส้น้องเอื้อย และกลัวความดังของน้องเอื้อยจะทำให้ตัวเองเสียประโยชน์ จึงสร้างกระแสโจมตี และเขาคงคิดว่าทำแบบนี้ เพจจะดัง มีคนติดตามเยอะ จะได้ขายของได้เงินด้วย
คุณแม่ยังย้ำว่า เรื่องนี้น่าจะมีเรื่องของผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง เด็กบางคนออกมาทำอะไรแบบนี้ มาตั้งกลุ่มด่าน้องเอื้อย ออกมาต่อต้าน เพื่อหวังให้คนเขาไปดูจำนวนมากๆ เพื่อจะได้ขายของในเพจ
"เขาคงคิดว่าทำแบบนี้ เพจจะดัง เพจจะมีคนติดตามเยอะ คนมาดูเยอะ ก็จะขายของได้ด้วย”
“คุณแม่ไม่รู้ว่า ทำไมเขาถึงทำแบบนี้ อาจจะคิดว่า ด่าน้องเอื้อยแล้วจะดัง ด่าแล้วดัง เพราะสังเกตดูจากเพจหลายอันที่โจมตีน้องเอื้อย หรือเอาน้องเอื้อยเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย เคยมีคนติดตามน้อยแต่พอเอาน้องเอื้อยเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ผู้ติดตามจากเดิมมี 2 หมื่น กลายเป็นเจ็ดหมื่น เพราะน้องเอื้อยมีคนติดตามเยอะเป็นหลักแสนอยู่แล้ว ตอนนี้ใครก็อยากจะวิ่งเขามาหาน้องเอื้อยกันทั้งนั้น ”
เมื่อถามว่า การเข้าประกวดเป็นพรีเซนเตอร์ป๊อกกี้ มีผลหรือไม่ คุณแม่น้องเอื้อยระบุว่า ก็มีผลอยู่พอสมควร ยังตอนใกล้จะตัดสิน เขายิ่งเล่นกันแรงใหญ่
“แม่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมเขาต้องมาทำอะไรกับลูกสาวของแม่แบบนี้ด้วย เงินรางวัลที่น้องเอื้อยได้รับจากการประกวดสินค้าตัวหนึ่ง ก็ได้แค่แสนกว่าบาท มันไม่ใช่เงินจำนวนมากเลย แม่และน้องเอื้อย ก็ไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นเงินอะไรที่มากนัก เพราะเราก็ไม่ได้เดือนร้อนเรื่องเงิน แม่ให้น้องเอื้อยไปเรียนร้องเพลง เสียเงินไปสองแสน มากกว่าเงินรางวัลที่ได้อีก แต่พอเราไปพูดเรื่องนี้ ก็ถูกต่อว่าอีก หาว่าอวดร่ำอวดรวย ทำไมไม่ส่งไปเรียนต่างประเทศเลย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ก็มาหาว่า เรายากจน ไม่มีเงินเป็นเด็กสลัม เด็กสก๊อย อะไรบ้างล่ะ”
เมื่อถามว่า มองจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ จากการที่มีคนตั้งข้อสังเกตเรื่องการแต่งภาพ ในเฟสบุ๊กของน้องเอื้อยอย่างไร คุณแม่น้องเอื้อย ระบุว่า เรื่องการแต่งภาพในเฟซบุ๊ก มันเป็นเรื่องปกติ ใครก็แต่งรูปกันทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร
“แต่ที่มีการเล่นเรื่องแต่งรูปกันมาก ก็น่าจะเป็นเพราะต้องการ ดิสเครดิต น้องเอื้อยจากการประกวดมากกว่า แต่กรรมการก็ยิ่งสงสารน้องเอื้อยมากขึ้นไปอีก และน้องเอื้อยก็ไม่เคยตอบโต้ใคร เพราะยุ่งมาก รู้เรื่องก็ตอนที่แฟนคลับส่งมาให้ดูเท่านั้น ไม่มีเวลาไปดูอะไรใคร”
คุณแม่น้องเอื้อย ยังระบายความรู้สึกต่อไปว่า ไม่เข้าใจว่าเด็กสมัยนี้ทำไมเป็นแบบนี้ และเชื่อว่ากลุ่มที่อยู่เบื้องหลังกระแสต่อต้านน้องเอื้อย เป็นกลุ่มเด็กแค่ไม่กี่คนเอง
"เขาคงคิดว่าน้องเอื้อยอาจจะไปขัดขวางผลประโยชน์อะไรของเขา ก็เลยเล่นกันหนัก โดยเฉพาะในช่วงที่น้องเอื้อยได้ รางวัล ป๊อกกี้ เขาคงหวังที่จะดิสเครดิตน้องเอื้อยให้ออกจากตำแหน่ง แต่ปรากฏว่า ทางบริษัทเข้าใจเรื่องดี เขามีคนติดตามเรื่องอยู่ตลอด เขาจึงไม่ได้ว่าอะไร ในทางตรงกันข้ามกับสงสารน้องเอื้อยมากขึ้นไปอีก"
คุณแม่น้องเอื้อย ยังย้ำว่า เท่าที่ทราบก่อนหน้านี้ มีเน็ตไอดอลหลายคนที่เจอแบบนี้ หลายคนทนไม่ไหว ต้องปิดเฟสหนีไปเลย เพราะไม่อย่าจะไปสู้อะไรด้วย ตอนนี้เขากำลังทำกับน้องเอื้อยอยู่
“แต่กรณีน้องเอื้อย คุณแม่บอกกับน้องเอื้อย ว่า ต้องสู้นะลูก อย่ายอมแพ้ จะไปปิดเพจทำไม เราไม่ได้ทำผิดอะไร จริงๆ แล้วแม่อยากให้น้องเอื้อยเรียนหนังสืออย่างเดียว เพราะจริงๆ น้องเอื้อยเป็นคนที่มุ่งมั่นมาก ในตัวเอง เป็นคนเรียนเก่ง ตอนนี้ก็กว่าว่า การเรียนจะตก เพราะมั่วแต่มายุ่งเรื่องแฟนคลับ มายุ่งเรื่องอะไรแบบนี้”
คุณแม่ ยังเล่าให้ฟังต่อว่า ตอนแรกๆ ที่เจอเรื่องนี้ น้องเอื้อยเขาร้องไห้เลย เพราะอายคน ขนาดคนในโรงเรียน ยังบอกว่า ถ้าเป็นน้องเอื้อยคงไม่มาโรงเรียนแล้ว ต้องย้ายโรงเรียน เพราะมีเด็กในโรงเรียนหลายคนก็ไม่ชอบน้องเอื้อยเหมือนกัน เพราะคิดว่าหยิ่ง แต่มันไม่จริงเลย
“แต่น้องเอื้อยเขาเข้มแข็ง เราก็ค่อยบอกลูกว่า ถ้าเราถอย คน 4-5 แสนที่ตามเราจะเสียใจไหมลูก คนเขารักน้องเอื้อย มีเยอะนะ โทรศัพท์ มาหา มารอที่บ้านสองชั่วโมง เพื่อถ่ายรูปกับน้องเอื้อย บ้างคนมาจากสิงห์บุรี น้องเอื้อยอย่าทำให้แฟนคลับผิดหวัง เขาก็เข้มแข็ง ซึ่งแม่บอกให้เลยนะ ถ้าไม่มีแม่ ป่านนี้น้องเอื้อยเขาบ้าตายไปแล้ว”
“แม่ยังย้ำด้วยนะว่า คุณแม่เคยเจอมายิ่งกว่านี้อีก ต้องสู้ ถ้าไม่สู้คนดีก็จะไม่มีที่อยู่ในแผ่นดิน นี้ จะปล่อยให้คนไม่ดีไม่กี่คน หรืออย่าคนที่เราไปขัดผลประโยชน์เอาชนะเราได้ เราต้องต่อสู้ต่อไป เราต้องต่อสู้เพื่อความถูกต้อง อย่าไปกลัวตายเลยนะลูก” คุณแม่น้องเอื้อยระบุ
เมื่อถามว่า วางแผนอนาคตให้กับลูกคนนี้ยังไง คุณแม่น้องเอื้อยตอบว่า “จริงๆ แล้วไม่คิดว่าจะให้น้องเอื้อยไปทางนี้เลย อยากให้เรียนหนังสือมากกว่า เพราะเขาเรียนเก่ง มีทักษะการพูด มีพรสวรรค์ มีความสามารถเยอะ หลากหลาย เขาเคยมีความใฝ่ฝันว่าอยากจะเป็นนักข่าว เป็นพิธีกรรายการต่างๆ แม้จะว่าไม่ค่อยสวย ตัวเตี้ย แต่เขาก็มีความมุ่งมั่นเรื่องการเรียน อ่านหนังสือเยอะ ช่วงนี้ก็ต้องแบ่งเรื่องเรียนกับเรื่องในเน็ต ให้ดี”
“ตอนนี้สิ่งที่ต้องระวังอย่างมากก็คือ มีคนเข้ามาติดต่อน้องเอื้อย เยอะมาก มาขอให้ช่วยรีวิวสินค้าให้ บางคนก็มาขอถ่ายรูป หรือมาทำอะไรด้วยเยอะ เพื่อเอาไปลงในเฟสเขา เพื่อสร้างกระแส บางคนได้เงินหลายหมื่น สินค้าขายดี แต่ให้เงินน้องเอื้อยแค่สองพัน แบบนี้ก็มี มีคนเข้ามาหาผลประโยชน์เยอะ แม่ก็ให้ระวังตัวให้ดี ทำอะไรก็ต้องปรึกษา เพราะเราไม่รู้ว่าใครคิดอะไรกับเราบ้าง”
คุณแม่ น้องเอื้อย ยังยืนยันชัดเจนว่า ลูกสาว จะยังคงเล่นเฟซบุ๊กต่อไป แม้ว่าจะโดนกระแสต่อต้านจำนวนมากก็ตาม
“ เรื่องเฟซบุ๊ก เราคงไม่ปิดทิ้งหรอก เพราะคนส่วนใหญ่ก็ยังรักน้องเอื้อยอยู่ เขาคงไม่ปิดเฟซบุ๊กแน่ เพราะเคยมีคนมาเตือนเหมือนกัน ว่าให้ปิดเฟซบุ๊ก ไปเลย แต่น้องเอื้อย คงไม่ถอย เพราะเราไม่กลัว ไม่ได้ทำอะไรผิดอะไร เลย”
ทั้งหมดนี่ คือ สิ่งที่อยู่ในใจของ คุณแม่น้องเอื้อย “เน็ตไอดอล” ที่กำลังโด่งดัง ที่สุดในเมืองไทยยุค พ.ศ. นี้
