นักวิชาการฯ ชี้“น้องเอื้อย” สะท้อนสังคมยุคโซเชียลฯ เสี่ยง “อัตลักษณ์” สูญหาย
นักวิชาการด้านสื่อ ชี้ กรณี “น้องเอื้อย” สะท้อนสังคมยุคโซเชียลฯ เยาวชนเสี่ยง “อัตลักษณ์” สูญหาย ถูกละเมิดรุนแรงผ่านมาตรการลงฑัณฑ์แบบ ‘โซเชียล แซงชั่น’

เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2556 นายธาม เชื้อสถาปนศิริ นักวิชาการด้านสื่อ สถาบันวิชาการสื่อสาธารณะ (สวส.) ไทยพีบีเอส ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ถึงกรณี “น้องเอื้อย” เน็ตไอดอลที่ถูกแฟนเพจแอนตี้ ออกมาโพสต์ข้อความโจมตี โดยล่าสุดแม่ของน้องเอื้อยได้ดำเนินการแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อให้ดำเนินคดีกับผู้ที่ตั้งแฟนเพจแอนตี้ว่า กรณีน้องเอื้อย มีประเด็นที่น่าสนใจคือเรื่องของการคุ้มครองเด็กหรือเยาวชนที่ถูกละเมิดด้วยการโจมตีผ่านโซเชียลเน็ตเวิรค์ หรือเครือข่ายสังคมออนไลน์
นอกจากนี้ ยังมีประเด็น ความขัดแย้งทางอัตลักษณ์ ที่อาจทำให้เด็กแยกแยะไม่ได้ระหว่างตัวตนในโลกไซเบอร์และตัวตนในโลกความเป็นจริง และประการสุดท้ายที่สำคัญที่สุดคือการปกป้อง เอาใจใส่ดูแลเด็กให้ผ่านภาวะกดดันนี้ไปได้ ซึ่งผู้ที่จะทำหน้าที่ดังกล่าวได้ดีที่สุดก็คือพ่อแม่ของเด็ก
นายธาม ยังอธิบายว่าประณามบุคคลในพื้นที่ไซเบอร์ มี อยู่ 2 รูปแบบ คือไซเบอร์ บลูลี่ และโซเชียล แซงชั่น
“ไซเบอร์ บลูรี่คือการประณามหยามเหยียด ขณะที่โซเชียล แซงชั่น คือมาตรการลงฑัณฑ์ ซึ่งแฟนเพจแอนตี้ในกรณีน้องเอื้อยนี้เข้าข่ายโซเชียล แซงชั่น และเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย เป็นการละเมิดต่อบุคคล”
นายธามกล่าวต่อไปว่า มาตรการลงฑัณฑ์ทางโลกออนไลน์นั้น สามารถใช้ให้เกิดประโยชน์แก่สังคมได้ อาทิ การตรวจสอบองค์กรทางธุรกิจหรือหน่วยงาน บริษัทเอกชนที่อาจมีการกระทำผิดด้านทุจริต คอร์รัปชั่น ในแง่นี้มาตรการโซเชียล แซงชั่น ถือ เป็นกระบวนการตรวจสอบประการหนึ่ง แต่การนำวิธีการ โซเชียล แซงชั่นมาใช้กับบุคคลเช่นที่มีการตั้งเพจแอนตี้น้องเอื้อยนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่ควรทำ และเป็นการกระทำที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย
นอกจากนี้ นายธาม ยังสะท้อนอีกว่า กรณีน้องเอื้อย สะท้อนภาพเด็กวัยรุ่นอีกลายคนที่อยากดังในโลกออนไลน์ หรืออยากเป็น “เซเลบฯ” เช่น การเป็นเน็ตไอดอล หรือการมีโซเชียล สเตตัส ที่มีคนติดตามจำนวนมาก เหล่านี้สะท้อนในมุมของจิตวิทยาได้ว่า ลุ่มหลงตนเอง หรือในโลกความเป็นจริงไม่มีความภาคภูมิใจในตนเองสักเท่าไหร่ ส่วนเด็กที่ติดตามคนกลุ่มนี้ ก็เป็นผู้ที่ชอบติดตามคนดัง ส่วนกลุ่มที่อิจฉา อาจขาดความตระหนักในตัวตนของตนเอง
“ในกรณีของน้องเอื้อย เมื่อโชว์แล้วก็มีคนชม เมื่อมีคนชมแล้ว จุดล้ำเส้น จะเกิดขึ้นต่อเมื่อคนโชว์อยากให้ชมอย่างเดียว ซึ่งในกรณีนี้ เราจะเห็นตัวอย่างจากคนดังหรือบุคคลสาธารณะหลายคนที่ถูกวิจารณ์ แต่เพราะบทบาทของคนเหล่านั้นคือเขาเป็นบุคคลสาธารณะและเป็นผู้ใหญ่กว่า แต่สำหรับน้องเอื้อยเอง ตัวน้องมีภูมิคุ้มกันกับการถูกวิพากษ์วิจารณ์หรือมีแรงต้านทานต่อเรื่องนี้แค่ไหน”
นายธาม กล่าวถึงประเด็นการตั้งรับกับคำวิจารณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นและสภาวะจิตใจที่อาจเผชิญแรงกดดันจนรับไม่ไหวและกลายเป็นผู้แพ้ในโลกของความเป็นจริง ซึ่งในกรณีนี้ คุณแม่ของน้องเอื้อยรับมือด้วยการใช้วิธีทางกฎหมาย คือแจ้งต่อ ปอท. แต่นายธามมองว่าวิธีดังกล่าวยังไม่ได้แก้ปัญหาที่จุดเริ่มต้น
“การที่แม่ของน้องใช้วิธีทางกฎหมาย เป็นการแก้ปัญหาที่ค่อนไปทางปลายเหตุ ซึ่งการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรพูดคุยกับลูก และรับฟังลูกถึงการสร้างตัวตนในเฟซบุ๊ค ว่าเขาสร้างเฟซบุ๊คขึ้นด้วยตัวตนเช่นไร และทำไม เขาต้องการให้ตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล เหล่านี้สะท้อนอะไรบ้าง ด้วยวัย 14-15 ปี น้องเอื้อยก็เป็นเหมือนภาพแทนของเด็กวัยรุ่นอีกหลายคนที่อยากเป็นคนเด่นคนดัง แต่น้องมีภูมิคุ้มกันหรือมีการเตรียมพร้อมแค่ไหน เพราะการเป็นคนดังในอินเทอร์เน็ต ไม่เหมือนการเป็นคนดังในโรงเรียน น้องจะรับคำวิจารณ์ได้แค่ไหน เพราะตอนนี้คำวิจารณ์ที่มีต่อน้องเยอะมากและแรงมาก”
นายธาม กล่าวว่าการที่แม่ของน้องเอื้อยยื่นฟ้องกลุ่มที่ตั้งแฟนเพจแอนตี้ลูกสาวตนเองนั้น ในแง่หนึ่งทำให้สังคมได้เห็นว่ามีการคุ้มครองเยาวชนที่ถูกโจมตีหรือละเมิดผ่านทางโลกไซเบอร์หรือพื้นที่สาธารณะในอินเตอร์เน็ตและสะท้อนให้เห็นว่า สังคมไทยยังขาดความเข้าใจต่อการละเมิดผ่านพื้นที่สาธารณะ เช่น เฟซบุ๊ค ซึ่งในในสหรัฐอเมริกา ก็เกิดกรณีสเตฟานี เมเยอร์ ฆ่าตัวตายมาแล้ว
“ ในเบื้องต้น ผู้ที่จะทำหน้าที่ดูแล ปกป้องเด็ก และให้คำแนะนำอย่างเหมาะสมคือพ่อแม่ ครูและ เมื่อใดที่รัฐก้าวเข้ามาเกี่ยวข้อง กรณีแบบนี้ก็จะถูกนำขึ้นสู่ศาลเด็ก แต่สำหรับกรณีของน้องเอื้อย ผมว่าคุณแม่ของน้องเอื้อยแจ้งความเพื่อต้องการให้ทุกคนหยุด เป็นการปกป้องบุตรสาวในรูปแบบหนึ่ง และต้องการให้ผู้ที่โจมตีแสดงความรับผิดชอบ ซึ่งคงนำไปสู่การยอมความหากฝ่ายที่ตั้งแฟนเพจแอนตี้ยอมขอโทษ”
นายธามกล่าวว่า อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าห่วงกังวลที่สุดคือภาวะความขัดแย้งทางอัตลักษณ์ ที่แยกไม่ออกระหว่างตัวตนในโลกออนไลน์กับตัวตนที่แท้จริง
“มีงานวิจัยเผยว่าเฟซบุ๊คเป็นสิ่งที่ถูกคนนำมาสร้างตัวตนเฉพาะด้านที่ดีของตัวเอง เป็นสถานที่เผยแพร่เฉพาะด้านบวกเท่านั้น หากแยกแยะไม่ได้มันจะนำไปสู่ความขัดแย้งในอัตลักษณ์ เมื่อคิดว่าเป็นเน็ตไอดอล แต่ในชีวิตจริงไม่ใช่แบบนั้น เขาจะเกิดความเศร้าและความทุกข์ เกิดความความขัดแย้งในตัวเอง อาจทำให้ หมดความมั่นใจในตัวเอง และเป็นผู้แพ้ในโลกของความเป็นจริง”
“น้องเอื้อยและคนที่คล้ายกับน้อง อาจประสบปัญหาเรื่องการแบ่งแยกตัวตนที่เป็นอยู่ในโลกจริงกับโลกเสมือน” นายธามระบุ
