สับเละแผนหาเสียงการเมือง
นักวิชาการสับเละนโยบาย หาเสียงประชานิยมด้านพลังงานที่ลอกกันมาทั้งยวง ทั้งตรึงเบนซิน–ดีเซลและยกเลิกโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ แค่หวังคะแนนเสียงเลือกตั้งโดยไม่คำนึงถึงปัญหาที่จะตามมาใหญ่หลวง ถามจะหาเงินที่ไหนมาอุ้ม ชี้เป็นอันตรายต่อแผนพลังงานชาติ แถมผลาญเงินแผ่นดิน…
นายมนูญ ศิริวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน เปิดเผยถึงการประกาศนโยบายด้านพลังงานของพรรคการเมืองในขณะนี้ว่า ไม่ได้แตกต่างกันส่วนใหญ่ เป็นการต่อยอดจากนโยบายเดิมที่ได้ทำไว้แล้วโดยเฉพาะการตรึงราคาน้ำมันดีเซล ไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร และมีแนวคิดตรึงราคากลุ่มเบนซินไม่เกิน 35บาทต่อลิตร หวังเพียงแค่คะแนนเสียงในการเลือกตั้ง แต่ไม่ได้คำนึงถึงผลเสียและภาระที่จะเกิดขึ้นในอนาคตโดยเฉพาะกองทุนน้ำมัน ที่ปัจจุบันเหลือค้างแค่ 550 ล้านบาทจากก่อนหน้านี้มีอยู่ถึง 22,000 ล้านบาท
นายมนูญ กล่าวต่อว่า ส่วนที่พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน ออกมาประกาศนโยบายจะตรึงราคาน้ำมัน ดีเซลต่อไป เพราะเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ทำมาอยู่แล้ว ทุกพรรคก็อยากทำตาม รวมทั้งจะตรึงราคาเบนซินไม่เกิน 35 บาทต่อลิตร ซึ่งมองว่าเรื่องเหล่านี้ เด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษา ก็พูดได้ไม่ต้องให้ระดับรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีมาพูด แต่ปัญหาใหญ่ คือพูดออกมาแล้วทำได้หรือไม่ เพราะหลายฝ่ายก็เป็นห่วงภาระงบประมาณ ที่ต้องหามาใช้ในการพยุงราคาน้ำมันจะมีจำนวนเท่าใด และสามารถตรึงราคาได้นานเพียงใด แล้วถ้าราคาน้ำมันตลาดโลกไปถึง 200 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรลแล้วจะทำอย่างไร นโยบายเหล่านี้เป็นแค่ระยะสั้น ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาระยะยาว
“การตรึงราคาน้ำมันดีเซลในรัฐบาลปัจจุบัน ได้ทำให้เงินกองทุนน้ำมันที่มีอยู่จำนวนมากหมดลง ก่อนที่จะหันมาใช้นโยบายลดภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ดีเซล เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ซึ่งได้ทำให้รายได้ของแผ่นดินหายไปกว่า 40,000 ล้านบาท หากได้ รัฐบาลชุดใหม่มาตรึงราคาน้ำมันทั้งดีเซลและเบนซิน และหากราคาน้ำมันตลาดโลกดีดขึ้นต่อเนื่อง เมื่อไม่สามารถขึ้นราคาขายปลีกกับประชาชนได้ ทุกพรรค การเมืองก็ยังไม่เคยออกมาบอกให้ชัดเจนว่า จะใช้เงินกองทุนน้ำมัน หรือใช้การลดภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ตลอดจนดึงเงินจากงบประมาณกลางที่ตั้งไว้มาใช้ตรึงราคาน้ำมัน เพราะขณะนี้ทุกคนก็อยากได้คะแนนเสียงจากผู้ใช้น้ำมันอย่างเดียว แต่วิธีแก้ปัญหานี้ไม่มีใครพูดถึง”
นอกจาก นี้นโยบายที่ไม่สนับสนุนการก่อสร้าง โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในประเทศไทยของพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน เพราะเห็นว่าประชาชนต่อต้านจำนวนมาก ซึ่งเป็นผลมาจากปัญหาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในญี่ปุ่น แต่ ไม่ได้มองถึงแผนการผลิตไฟฟ้าของไทย หรือคำนึงถึงความจำเป็นที่ต้องมีโรงไฟฟ้าประเภทนี้ เนื่องจากปัจจุบันการผลิตไฟฟ้าของไทย ใช้ก๊าซธรรมชาติผลิตไฟฟ้ามากเกินไปทำให้ เกิดความเสี่ยงด้านพลังงาน หากก๊าซธรรมชาติที่ไทยรับมาจากพม่าไม่สามารถส่งป้อนให้ได้
“กรณี เยอรมนีมีแผนยกเลิกโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ใน 11 ปีข้างหน้า เพราะคาดการณ์ไว้ว่าเมื่อถึงเวลานั้นเทคโนโลยีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่มีอยู่ จะล้าสมัยซึ่งสมเหตุผลที่จะไม่ใช้ผลิตไฟฟ้าจากนิวเคลียร์อีก ประกอบกับสามารถซื้อไฟฟ้าจากฝรั่งเศสซึ่งผลิตจากนิวเคลียร์ได้อยู่แล้ว ไม่มีผลกระทบต่อการผลิตไฟฟ้าของเยอรมนี”
ด้านนายพรายพล คุ้มทรัพย์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า นโยบายการตรึงราคาน้ำมันเป็นเรื่องที่อันตรายเพราะไม่มีใครคาดเดา ได้ว่าราคาน้ำมันตลาดโลกจะเป็นอย่างไร และจะนำเงินจากที่ไหนมาตรึงราคาได้ พรรคการเมืองมุ่งแก้ปัญหาระยะสั้นเพื่อช่วยประชาชน แต่ไม่ได้มองถึงปัญหาการใช้พลังงานของประเทศที่ยังต้องพึ่งการนำเข้าน้ำมัน ทุกปี รัฐควรมีนโยบายส่งเสริมพลังงานทดแทนที่ชัดเจนกว่านี้ ไม่ใช่หาคะแนนเสียงไปวันๆ “นโยบายโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ไม่ควรจะยกเลิกไปทั้งหมด แค่ชะลอไปจากแผนผลิตไฟฟ้า เพราะยังมีเวลาในการศึกษาข้อดีข้อเสียและความจำเป็น และพรรคการเมืองควรกำหนดนโยบายด้านพลังงานในภาพรวมและให้ความสำคัญกับการ ประหยัดพลังงานด้วย”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัจจุบันโครงสร้างราคาพลังงานของไทย บิดเบือนไม่เป็นไปตามกลไกตลาดและต้นทุนของผู้ประกอบการที่แท้จริง จนทำให้ผู้ประกอบการไม่อยากลงทุนขยายกิจการปั๊มน้ำมัน หรือปั๊มเอ็นจีวีเพิ่มขึ้น นอกจากบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ที่ต้องรับภาระเร่งขยายปั๊มเอ็นจีวี ตามนโยบายรัฐบาล รวมทั้งกรณีที่รัฐบาลได้ตรึงราคาน้ำมันดีเซล ได้ทำให้รถยนต์ส่วนบุคคลบางคันหันมาเปลี่ยนเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซิน ให้สามารถใช้เครื่องยนต์ดีเซลได้ ขณะที่บางพรรคการเมืองยังประกาศล่วงหน้า ที่จะเพิ่มการตรึงราคาน้ำมันเบนซินอีกด้วย ซึ่งถือเป็นนโยบายพลังงาน ที่ไม่ถูกต้องสำหรับประเทศไทย ในฐานะผู้นำเข้าน้ำมันเฉลี่ยวันละ 800,000 บาร์เรล ทำให้ประชาชน ไม่รู้จักการประหยัดการใช้พลังงาน ที่ไม่สามารถหาได้เองในประเทศ
และยังไม่รวมถึงกรณีที่รัฐบาลสั่งให้ ปตท.ตรึงราคาขายปลีกก๊าซหุงต้ม และเอ็นจีวี ที่ส่งผลให้ ปตท.ยังไม่ได้รับเงินชดเชยจากการตรึงราคาจากกองทุนน้ำมันอีกกว่า 15,000 ล้านบาท เนื่องจากการตรึงราคาเอ็นจีวีที่ 8.50 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) จากราคาต้นทุนที่ 14-15 บาทต่อ กก.ทำให้มีรถยนต์จำนวนมากหันมาใช้เอ็นจีวี จน ปตท.ไม่สามารถขยายปั๊มและการวางท่อขนส่งเอ็นจีวีได้ทันความต้องการ ที่เพิ่มขึ้น และการตรึงราคาก๊าซหุงต้มในภาคขนส่งยังทำให้เกิดการใช้งานในภาคขนส่งเพิ่ม ขึ้น แม้ว่ารัฐบาลจะมีนโยบายลอยตัวราคาก๊าซหุงต้มในภาคอุตสาหกรรม.
ที่มาจาก :
