‘ส.ศิวรักษ์’ ปลุกพลังต้าน "ทุนนิยม" เข้า“สวนโมกข์”- ทำไม่ดีเจอขอหวยท่านพุทธทาสแน่
‘ส.ศิวรักษ์’ ปลุกพลังชาวพุทธร่วมตัวยุติปัญหาสวนโมกข์ เตือนไม่ระวัง สวนโมกข์ จะกลายเป็นสัญลักษณ์ทุนนิยม ทำไม่ดีสิ่งที่ท่านพุทธทาสสร้างมาจะไร้ค่า อีกหน่อยคนจะมาแห่ขอหวย “เขาพุทธทอง” เปลี่ยนเป็น “เขากั้นพุทธธรรม” ระบุหลานชายท่านพุทธทาส มีข้อเสียเชื่อมั่นตัวเองมากไป แต่ไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องโกงกิน ส่วนเจ้าอาวาสคนปัจจุบัน เป็นคนเรียบร้อย แต่อาจถูกครอบงำ

กรณีกลุ่มเพื่อนสวนโมกข์ ได้มีการแชร์ต่อจดหมายเปิดผนึกผ่านทางเฟซบุ๊ก ถึง "เพื่อนสวนโมกข์" เพื่อแจ้งให้ออกมาร่วมกันคัดค้านทิศทางและนโยบายการบริหารสวนโมกข์ของทีมงานเจ้าอาวาสคนใหม่ โดยระบุว่ากำลังทำให้สวนโมกข์เดินออกไปจากสิ่งที่ท่านพุทธทาสวางไว้ในอดีต ทั้งการเปลี่ยนระบบคุมเงิน สั่งปลดผู้เกี่ยวข้องสมัยท่านพุทธทาส ยกชุด อ้างว่าทำงาน ไม่โปร่งใส่ ให้พระใช้จ่ายได้อย่างเป็นอิสระ และการสั่งปรับปรุงภูมิทัศน์รอบเขาพุทธทอง จากโบสถ์ธรรมชาติ ให้มีความทันสมัย
(อ่านประกอบ:“สวนโมกข์”ลุกเป็นไฟ!!เจ้าอาวาสใหม่ สั่งโละ ทีมการเงินสมัย"ท่านพุทธทาส" -สร้างวัตถุทันสมัย)
สำนักข่าวอิศรา WWW.ISRANEWS.ORG ตรวจสอบพบว่า นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ (ส.ศิวรักษ์) ปัญญาชนสยาม เป็นหนึ่งในบุคคลที่นำจดหมายเปิดผนึกของกลุ่มเพื่อนสวนโมกข์มาแชร์ไว้ในแฟนเพจเฟซบุ๊ก ของตนเอง ที่ใช้ชื่อว่า “SULAK SIVARAKSA”
เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2556 ที่ผ่านมา นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ (ส.ศิวรักษ์) ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา WWW.ISRANEWS.ORG ถึงปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสวนโมกข์ ว่า สวนโมกขพลารามมีที่มาจากคำว่า “โมกษะ” คือความหลุดพ้นดังนั้น ถ้าจะสู้ต้องใช้ความกล้าหาญทางจริยธรรม จะสู้ก็สู้ได้ อย่านึกว่าศาสนาพุทธไม่สอนให้คนสู้ แต่เราสอนให้สู้แบบอหิงสธรรม ยึดในหลักจริยธรรม ความถูกต้อง วัดในระบบเรามีตั้งกี่หมื่นวัด วัดเหล่านั้น มีวัดไหนบ้างที่เข้าถึงความเป็นสวนโมกข์ แทบทุกวัดทำให้คนหลงใหลกับวัตถุนิยม บางวัดต้องการเป็นพระอารามมาหลวง เพราะเจ้าอาวาสจะได้เป็นท่านเจ้าคุณ คุณต้องการวัดแบบนี้เหรอ ขยายไปเรื่อยๆ ถ้าไม่ระวัง สวนโมกข์ จะกลายเป็นแบบนี้ เป็นสัญลักษณ์ของทุนนิยม บริโภคนิยม ถ้าไม่ระวังจากเขาพุทธทองจะกลายเป็นเขากั้นพุทธธรรม”
“เขาพุทธทองก็จะสร้างสิ่งปลูกสร้างเต็มไปหมด แต่สิ่งที่ไม่ได้สร้างคือการตื่นแบบท่านพุทธทาส เพราะเขาไปติดรูปแบบกันหมด ไม่มีใครเข้าใจอุดมการณ์ของท่านพุทธทาส”
นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ (ส.ศิวรักษ์) ยังกล่าวต่อไปว่า “ท่านพุทธทาสคือผู้ที่สร้างความเข้าใจเรื่องธรรมะได้ดีที่สุดในเมืองไทย มีความกล้าหาญทางธรรม และเป็นผู้ประสบความสำเร็จในทางธรรม ต้องถามสังคมไทยวันนี้ว่าเห็นถึงความสำคัญของสวนโมกขพลารามที่เปรียบเหมือนดวงประทีปของสังคมหรือไม่ ถ้าเห็นว่าสำคัญ ผู้ที่มีบทบาททางสังคมต้องอออกมาเรียกร้อง แสดงความกล้าหาญ จัดอภิปรายในประเด็นนี้อย่างจริงจัง เพราะหลักธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านพุทธทาสเผยแพร่ในฐานะทาสของพระพุทธเจ้านั้น เป็นหลักธรรมที่มีไว้สำหรับคนทุกศาสนาล้วนเข้ามาศึกษาได้ทั้งสิ้น สวนโมกขพลาราม จึงไม่มีสิ่งปลูกสร้างเป็นโบสถ์ วิหาร หรือเขตพัทธสีมาตามแบบโบราณ นอกจากเพื่อเน้นเรื่องการหลุดพ้นจากกิเลส ไม่ยึดติดแล้ว ประการหนึ่งก็คือกุศโลบายของท่านพุทธทาสภิกขุที่ต้องการให้ศาสนิกชนของทุกศาสนาสามารถเข้ามาศึกษาหลักธรรมได้อย่างเท่าเทียมกัน แต่ถ้าหากถูกระบบของวัดกระแสหลักครอบงำ ย่อมทำให้จิตวิญญาณในส่วนนี้สูญหายไป”
“คุณเห็นว่าสิ่งนี้สำคัญไหม ถ้าเห็นว่าสำคัญต้องร่วมกันยุติ คนที่มีบทบาททางสังคมต้องออกมา ต้องจัดอภิปรายอย่างเป็นเรื่องเป็นราวเพื่อเอาความเป็นสวนโมกข์กลับมา ต้องไม่ให้คณะสงฆ์เข้ามาเกี่ยว สวนโมกข์นี่ พุทธ มุสลิม ทำได้ สำคัญมาก สิ่งที่นักการเมืองทำไม่ได้ในสามจังหวัด ท่านพุทธทาสทำได้ที่สวนโมกข์” ส.ศิวรักษ์ระบุ
ส.ศิวรักษ์ ยังย้ำด้วยว่า ตนเชื่อมั่นว่าหากผู้ที่มีต้นทุนทางสังคม อาทิ น.พ. ประเวศ วะสี, นายวิจักขณ์ พานิช, นพ.บัญชา พงษ์พานิช ผู้มีส่วนในการก่อตั้งสวนโมกข์ที่กรุงเทพฯ และผู้ที่มีชื่อเสียงในสังคมร่วมกันออกมาเรียกร้องในเรื่องนี้ จะสามารถสร้างแรงกดดันและรักษาความเป็นสวนโมกข์ไว้ได้ ซึ่งปัจจุบัน นายสุลักษณ์ได้ร่วมลงนามกับนายวิจักขณ์ พานิช ในการแสดงจุดยืนปกป้องสวนโมกข์ไว้แล้ว
ส่วนกรณี การเปลี่ยนแปลงระบบจัดการเงินของสวนโมกข์ใหม่ โดยการแยกบัญชีวัดออกจากธรรมทานมูลนิธิ และมีการตั้งข้อกล่าวหาว่า ผู้รับผิดชอบรายหนึ่งที่ดูแลเงินวัดตั้งแต่สมัยท่านพุทธทาสยังมีชีวิตอยู่ นำเงินวัดไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว นั้น ส.ศิวรักษ์ กล่าวว่า สาเหตุน่าจากมาจากการนายเมตตา พานิช หลานชายท่านพุทธทาสและมีอำนาจดูแลธรรมทานมูลนิธิของสวนโมกข์ เป็นผู้มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง
“เป็นอัตตาธิปไตย เอาตัวเราเป็นใหญ่ ซึ่งควรฝึกให้มีธรรมาธิไตย โลกาธิปไตย แต่คุณเมตตาเห็นตัวเองเก่ง ซึ่งอันตราย เพราะควรจะมีการประชุม รับฟังความเห็นร่วมกับกรรมการมูลนิธิบ่อยๆ ส่วนตัวผมไม่เชื่อว่าเขาจะมีปัญหาเรื่องการโกงกิน ผมอาจจะผิดนะ แต่ผมเข้าใจว่าอย่างนั้น แต่เขามีอำนาจสั่ง คุณเมตตาเป็นคนดี แต่เป็นเจ้าเข้าเจ้าของวัด”
ส.ศิวรักษ์ ยังกล่าวด้วยว่า เดิมที่สวนโมกข์ มีระบบการจัดการ โดยท่านพุทธทาสภิกขุดูแลสวนโมกข์ ส่วนธรรมทานมูลนิธิดูแลโดยธรรมทาสผู้เป็นน้องชายและเป็นบิดาของนายเมตตา พานิช รับหน้าที่ดูแลโครงการธรรมะมาตาและสวนโมกข์นานาชาติ แต่ต่อมาเมื่อสิ้นท่านพุทธทาส ผู้ดูแลธรรมทานมูลนิธิ ก็เข้ามาดูแลสวนโมกข์ ด้วย
“คือท่านพุทธทาสกับธรรมทาสแยกกันดูแล แต่ต่อมาธรรมทานมูลนิธิจะครอบงำ ดูแลสวนโมกข์ฯ ด้วย แล้วอาจารย์โพธิ์ ( พระภาวนาโพธิคุณหรือ โพธิ์ จันทสโร ) ก็ยอมลงให้ธรรมทานมูลนิธิ ท่านก็ปลีกวิเวกออกจากสวนโมกข์ฯไป แล้ว อาจารย์ประเวศ ก็ไปขอร้องให้ท่านผู้นี้มาเป็นสมภาร นอกจากนั้น ก็มีผู้ที่ไม่ชอบ อ.โพธิ์ และแค้นเคืองท่านพุทธทาสที่ทำให้เขาไม่ได้เป็นใหญ่เป็นโต ก็มาใส่ร้ายว่าคุณเมตตาเผด็จการ สมภารองค์ใหม่มาเมื่อถูกยุยงก็คิดว่าใช้ไม่ได้ต้องทำให้เป็นวัดธารน้ำไหล เมื่อเป็นวัดแล้วก็ต้องเข้าไปอยู่ใต้อำนาจสถาบันสงฆ์ แต่สมัยท่านพุทธทาสท่านมีบารมี เป็นธรรมโกษาจารย์ เป็นเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุที่ไชยาด้วย แต่เมื่อท่านสิ้นก็แตกแยก เจ้าคณะอำเภอก็จะเข้ามาดูแล จะเอาสมณศักดิ์มาใช้ คณะสงฆ์รวนเรทั้งหมด สวนโมกข์ฯ ก็เป็นส่วนหนึ่งในความรวนเรของคณะสงฆ์ สิ่งที่ท่านพุทธทาสทำกำลังไร้ความหมายอย่างเขาพุทธทอง ท่านทำแบบโบราณ ไม่มีพุทธสีมา แต่นี่เขาจะทำอะไรเยอะแยะ”
ส.ศิวรักษ์ ยังกล่าวถึงพระอธิการสุชาติ ปัญญาทีโป เจ้าอาวาสสวนโมกข์ คนปัจจุบัน ว่า “ท่านสุชาติเป็นคนเรียบร้อย แต่ถูกกล่าวหาว่าไม่มีจุดยืน ทำให้ถูกคนใกล้ชิดครอบงำ สังคมไทยก็แบบนี้ถูกระบอบชักใย ระบอบทุนนิยมที่ทำให้คนเลอะไปหมด ไม่เห็นผิด ซึ่งสิ่งที่ท่านพุทธทาสมีคือท่านมีความกล้า แล้วตอนนี้พยายามให้สวนโมกข์เป็นวัดธารน้ำไหล อีกหน่อยอาจเป็นพระอารามหลวง ไปขอหวยกันหมด อีกหน่อยคงมาขอหวยกับท่านพุทธทาส”
ส.ศิวรักษ์ ยังกล่าวทิ้งท้ายว่าตนเชื่อมั่นว่าหากชาวพุทธรวมตัวกันจะสามารถยุติปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นกับสวนโมกข์ และยุติความไม่ชอบมาพากลของคณะสงค์ได้
“ถ้าหากชาวพุทธรวมตัวกันจะสามารถยุติปัญหานี้และยุติความไม่ชอบมาพากลของคณะสงฆ์ได้ สวนโมกข์ฯ ต้องแข็ง ไม่ให้คณะสงฆ์มาก้าวก่าย” ส.ศิวรักษ์ระบุ
.
