"สมาร์ตพาโทรลเรนเจอร์" ฮีโร่พิทักษ์ป่าแนวใหม่ ด้วยเครื่องมือไฮเทค
พวกเขาคือ "สมาร์ตพาโทรลเรนเจอร์ (Smart patrol ranger) เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่ายุคใหม่ ที่ใช้วิทยาการสมัยใหม่ มี "ข้อมูล" เป็นหมัดเด็ดพิชิตผู้ร้าย

ย้อนไปเมื่อ 20-30 ปีก่อน เราอาจนึกถึงภาพเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าในแบบชายชาวบ้านผู้อุทิศตนเพื่อรักษาป่าไม้ สะพายปืนบนบ่าเดินท่อม ๆ ขึ้นเขาลงห้วยไปไล่จับพรานที่เข้ามาล่าสัตว์บ้าง ปะทะกับพวก “มอดไม้” บ้าง แต่ภาพเหล่านั้นห่างไกลกับในวันนี้ ที่มี “สมาร์ตพาโทรลเรนเจอร์” (Smart patrol ranger) หรือ "หน่วยลาดตระเวนเชิงคุณภาพ" ที่ได้รับการพัฒนาเทคนิควิธีทั้ง “บู๊” และ “บุ๋น” เพื่อคุ้มครองป่าไม้ รู้จักใช้อุปกรณ์เดินป่าที่เหมาะสมและทันสมัย ไม่ว่าเครื่องจีพีเอส กล้องถ่ายรูปดิจิทัล กล้องดักถ่ายภาพสัตว์ป่า และซอฟแวร์ภูมิศาสตร์สารสนเทศ
“ระบบลาดตระเวนเชิงคุณภาพ ถูกนำมาใช้ในเมืองไทยครั้งแรกที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งเมื่อปี 2549 ตามด้วยเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน อุทยานแห่งชาติกุยบุรี เดิมทีเราตั้งเป้าให้ระบบนี้ครอบคลุมผืนป่าตะวันตกทั้งหมดภายในระยะเวลา 5 ปี เป้าหมายคือเพิ่มประชากรเสือโคร่งขึ้น 50 เปอร์เซ็นต์”
ดร.อนรรฆ พัฒนวิบูลย์ ผู้อำนวยการสมาคมอนุรักษ์สัตว์ป่า (WCS) ประเทศไทย องค์กรที่สนับสนุนระบบลาดตระเวนเชิงคุณภาพแห่งแรกในประเทศไทยที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง เล่าให้ฟังถึงที่มาและความหมายของระบบลาดตระเวนเชิงคุณภาพว่า เป็นการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเสริมการทำงานของเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าให้ดีขึ้น
ในปี 2553 รัฐบาลไทยและอีก 13 ประเทศได้ร่วมลงนามความร่วมมือในการฟื้นฟูประชากรเสือโคร่งระดับโลก หลังจากนั้นกรมอุทยานแหง่ชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้ร่วมกับกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) ประเทศไทย กำหนดให้มี “โครงการฟื้นฟูประชากรเสือโคร่งและเหยื่อ และการอนุรักษ์อย่างมีส่วนร่วม” ขึ้นในเขตอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ และอุทยานแห่งชาติคลองลาน งานลาดตระเวนเชิงคุณภาพจึงเป็นหนึ่งในภารกิจที่นำมาใช้
ในช่วงดังกล่าววงการอนุรักษ์ของหลายประเทศทั่วโลกได้นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ โดยเฉพาะ “จิส” หรือเทคโนโลยีด้านสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS- Geographic Information System) และข้อมูลด้านวิชาการสัตว์ป่าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการลาดตระเวนเดิม
ภายใต้ระบบใหม่นี้ ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องพรั่งพร้อมไปด้วยวิทยากรแห่งการเดินลาดตระเวน ที่ต้องรู้จัก “จดบันทึก” และ “จัดเก็บข้อมูล” โดยเฉพาะข้อมูลเกี่ยวกับการลักลอบล่าสัตว์ตัดไม้
สมหมาย ขันตรี หัวหน้าชุดลาดตระเวนพิทักษ์ป่าสมาร์ตพาโทรลเรนเจอร์ อุทยานแห่งชาติกลองลาน จังหวัดกำแพงเพชร อธิบายว่า อุปกรณ์ที่นำมาใช้ในการลาดตระเวนเชิงคุณภาพได้แก่ แผนที่ แฟ้มบันทึกข้อมูล จีพีเอส กล้องดักถ่ายภาพสัตว์ป่า (camera trap) กล้องดิจิตอล และวิทยุสื่อสาร ในการลาดตระเวนแต่ละครั้ง กลุ่มเจ้าหน้าที่จะแบ่งหน้าที่กันใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ และสามารถสลับหน้าที่กันใช้อุปกรณ์ได้ทุกชนิด
ในระหว่างการลาดตระเวนต้องจดบันทึกสิ่งที่พบเห็นเกือบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นห้างพักสำหรับล่าสัตว์ รอยก่อกองไฟ เหล่านี้ถือเป็น “ปัจจัยคุกคาม” ผืนป่า รวมถึงร่องรอยสัตว์ป่าทุกรอยที่พบ ลักษณะภูมิประเทศ หรือแม้แต่สิ่งเล็ก ๆอย่าง “รังผึ้ง” เพราะข้อมูลชิ้นเล็กชิ้นน้อยเหล่านี้ เมื่อรวบรวมไว้แล้วนำมาประมวลผล ครั้งต่อไปที่เจ้าหน้าที่ลาดตระเวนไปพื้นที่นั้นอีก จะได้รู้ว่า สิ่งที่เคยพบเหล่านั้น มันเพิ่มขึ้นหรือลดลง
“เช่น รังผึ้ง ถ้าเราลาดตระเวนมาอีกครั้งแล้วพบว่า ผึ้งไม่อยู่แล้ว แสดงว่ามีอะไรบางอย่างมาคุกคาม ก้ทำให้เราต้องเพิ่มการลาดตระเวนในบริเวณนี้ให้บ่อยครั้งขึ้น”
อุปกรณ์อย่างเครื่องจีพีเอส บันทึกข้อมูลได้หลากหลาย ทั้งเส้นทาง ระยะทาง ความสูงของพื้นที่ ส่วนในด้านยุทธวิธี ก็เพิ่มการลาดตระเวนกลางคืนด้วย เพราะถ้าลาดตระเวนแต่กลางวันอย่างเดียว คงยากที่จะเจอพรานที่เข้ามาลักลอบล่าสัตว์ เมื่อครบรอบปีก็นำเส้นทางทั้งหมดมาดูรวมกัน ก็จะเห็นว่าในปีนั้นการลาดตระเวนของเจ้าหน้าที่ ได้ครอบคลุมพื้นที่อุทยานที่รับผิดชอบมากแค่ไหน
ส่วนกล้องดักถ่ายมีประโยชน์มากในการเก็บข้อมูลสัตว์ป่า โดยเฉพาะ “เสือ” ซึ่งมีอยู่ครั้งหนึ่งข้อมูลภาพถ่ายเสือที่จับได้จากกล้องชนิดนี้ เป็นหลักฐานใช้เอาผิดชาวม้งที่เข้ามาล่าเสือได้อยู่หมัด เนื่องจากชาวม้งรายนี้ได้ถ่ายภาพตนเองคู่กับซากเสือตัวที่ตนล่าได้ไว้ด้วย เมื่อนำภาพทั้งสองภาพมาพิสูจน์เอกลักษณ์จากลายตรงหน้าผาก ก็พบว่าเป็นเสือตัวเดียวกัน
สมหมาย ระบุว่า ระบบสมาร์ตพาโทรลได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานอย่างมาก จากที่เดินป่าธรรมดา เปลี่ยนเป็นต้องรู้จักสังเกตสิ่งรอบข้างมากขึ้น เพื่อเก็บบันทึกเป็นข้อมูล ที่สำคัญทำให้มีความรู้เพิ่มขึ้นโดยปริยาย นอกจากนี้ระบบนี้ยังกระตุ้นให้เจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าหรือเจ้าหน้าที่อุทยาน เพิ่มระยะทางการเดินของตัวเองให้มากขึ้น โดยบางแห่ง ผู้บังคับบัญชาก็ตั้งรางวัลคล้ายโบนัสปลายปี มอบให้คนที่เดินได้ระยะทางไกลมากที่สุด เป็นน้ำใจและขวัญกำลังใจในการทำงาน ในรอบปีที่ผ่านมาสมหมายเดินได้ระยะทางมากที่สุดถึง 165 กิโลเมตร คิดเป็นเวลาได้ถึง 16 วัน 14 คืน
“ถ้าไม่ได้เดินป่า คือให้ไปอยู่เวรอยู่ยาม ผมลาออกดีกว่า ผมอยู่กับป่าดีกว่า เพราะการลาดตระเวน คืองานพื้นฐานของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม”
สมโภชน์ มณีรัตน์ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จังหวัดอุทัยธานี เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งแรกที่นำระบบสมาร์ตพาโทรลมาใช้ และปัจจุบันได้ชื่อว่ามีระบบสมาร์ตพาโทรลที่เข้มข้นมากที่สุดเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศไทยระบุว่า ระบบลาดตระเวนเชิงคุณภาพนี้ ทำให้เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่ามีคุณภาพ
ทั้งในมิติด้านคุณภาพของคน หมายถึงเจ้าหน้าที่ต้องแข็งแกร่ง อดทน ดำรงชีวิตในป่าได้ ใช้อาวุธปืนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมิติด้านอุปกรณ์ โดยเฉพาะเครื่องจีพีเอส กล้องดิจิทัล และซอฟแวร์โปรแกรมจัดเก็บ ประมวลผลข้อมูล
ซึ่งเมื่อระบบสมาร์ตพาโทรลที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งเริ่มใช้ได้ผล ก้มีการขยายผลไปยังพื้นที่อนุรักษ์อื่น ๆ ที่อยู่ติดกัน เช่น เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง
ในช่วงรอยต่อปี 2553-2554 ทั้งสามเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าได้ร่วมมือกันในการจับกุมผู้ลักลอบเบื่อยาเสือโคร่งตายถึง 5 ตัว โดยใช้ภารกิจลาดตระเวนเชิงคุณภาพ ประกอบกับความร่วมมือจากชุมชน นับเป็นประโยชน์ที่เห็นได้ชัดจากการที่ทั้งสามพื้นที่อนุรักษ์แห่งผืนป่าตะวันตก ต่างใช้ระบบลาดตระเวนเดียวกัน วิเคราะห์ประมวลผลข้อมูลร่วมกัน จนจับกุมผู้ทำผิดกฎหมายได้ในที่สุด
หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ยกข้อมูลเชิงสถิติมาชี้ให้เห็นด้วยว่า ในช่วงปี 2549-2552 จำนวนบ้านพักพราน ห้างยิงสัตว์ ซากสัตว์ขนาดใหญ่ที่ถูกมนุษย์ล่าในห้วยขาแข้งมีปริมาณลดลง
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้การทำงานอนุรักษ์มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพียงใด หัวหน้าสมโภชน์ มณีรัตน์ ก็อยากให้คิดถึงมุมของคนทำงานคือเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนด้วยว่า เขาเหล่านี้ต้องเผชิญกับความยากลำบากในการเดินป่า ไม่ว่าจะร้อนหรือหนาว รวมถึงความเสี่ยงที่จะต้องปะทะกับผู้ลักลอบทำผิดกฎหมายในป่าด้วย จึงอยากให้รัฐสนับสนุนเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าเหล่านี้ในหลายรูปแบบ เช่น สวัสดิการ ประกันชีวิต เพราะไม่แน่ว่า สักวันหนึ่งองค์กรเอกชน อย่าง WCS หรือ WWF อาจไม่ได้ให้การสนับสนุนไปตลอด
หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ระบุว่า ตอนนี้ทางกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชยังมีงบประมาณให้ไม่เพียงพอสำหรับระบบสมาร์ตพาโทรล เทียบเป็นสัดส่วนรัฐมีให้เพียง 20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น หน่วยพิทักษ์ป่าต่าง ๆ ยังต้องการอุปกรณ์อีกมาก โดยเฉพาะเครื่องจีพีเอส ปัจจุบันมีเพียง 1เครื่องต่อหนึ่งหน่วยพิทักษ์ป่า ทั้งที่จริงควรมีถึง 3เครื่อง
แต่อย่างน้อยที่สุด ในวันนี้ ก็พอจะอุ่นใจได้ว่า งานอนุรักษ์ผืนป่าตะวันตก ปลอดภัยขึ้นมากกว่าแต่ก่อน และผลสำเร็จของระบบลาดตระเวนเชิงคุณภาพนี้ ก็กำลังจะได้รับการขยายไปยังพื้นที่ป่าภาคใต้และภาคอีสานด้วย.
* เรียบเรียงข้อมูลจาก สารคดี Talk #2 "Smart patrol ranger" ฮีโร่พันธุ์ใหม่หัวใจสีเขียว และนิตยสารสารคดี ฉบับเมษายน 2556
