รัฐบาลกับความชอบธรรม
รัฐบาลกับความชอบธรรม
โดย วสิษฐเดชกุญชร
คำว่า“ชอบธรรม” แปลว่าถูกตามหลักธรรม ถูกตามนิตินัย
รัฐบาลชุดปัจจุบันที่มีน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีนี้ หากจะดูเผิน ๆ จาก ความเป็นมาก็อาจจะเห็นว่ามีความชอบธรรมคือถูกตามนิตินัย เพราะการแต่งตั้งเป็นไปตามทุก ขั้นตอนที่กฎหมายรัฐธรรมนูญกำหนด น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สภามีมติโดย คะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งเห็นชอบให้แต่งตั้งน.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นนายก รัฐมนตรี และประธานสภา ผู้แทนราษฎรลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้ง น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรี
แต่ถ้าหากจะดูความเป็นมาให้ละเอียดและลึกกว่านั้นก็จะสงสัยว่ารัฐบาลชุดนี้ มีความชอบ ธรรม คือถูกตามหลักธรรมและนิตินัยแน่ละหรือ
ก่อนการแต่งตั้ง(พ.ต.ท.)ทักษิณ ชินวัตร พี่ชายของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่ง ต้องคำพิพากษาและต้องหาในคดีอาญาแล้วหนีไปอยู่ต่างประเทศ ได้ประกาศอย่างเปิดเผยว่า “ทักษิณคิด (พรรค) เพื่อไทยทำ” และน.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่ใช่ “นอมินี” (nominee แปลว่าผู้ได้รับการเสนอชื่อให้เข้าชิงตำแหน่ง) แต่เป็น “โคลนนิง” (cloning แปลว่า ตัวจำลอง) ของ (พ.ต.ท.)ทักษิณ ทีเดียว
โดยนัยนี้ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งประกอบด้วยพรรคเพื่อไทยเป็นส่วนใหญ่จึงไม่ได้เห็นชอบ โดยเสรีด้วยตนเอง แต่ได้รับคำสั่งจาก (พ.ต.ท.)ทักษิณให้เห็นชอบให้แต่งตั้ง น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็น นายกรัฐมนตรี
การที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทแล้วกราบบังคมทูลว่า สภาผู้แทนราษฎรลงมติให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรีจึงเป็นการกราบบังคมทูลเท็จ เพราะที่จริง นั้นสภามิได้ลงมติโดยเสรีแต่ได้รับคำสั่งจาก (พ.ต.ท.)ทักษิณให้ลงมติต่างหาก
เพราะฉะนั้น รัฐบาลชุดที่มีน.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรี จึงไม่มีความชอบธรรมมา ตั้งแต่ต้น เป็นรัฐบาลโมฆะหรือรัฐบาลเก๊
คำถวายสัตย์ปฏิญาณที่กระทำต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก่อนการรับหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีทุกคน ก็เป็นเท็จด้วย
และถ้าหากดูการปฏิบัติหน้าที่บริหารราชการบ้านเมืองของคณะรัฐบาลตั้งแต่ต้น มาจนถึงปัจจุบัน ก็จะเห็นชัดว่าเป็นไปโดยขัดต่อคำสัตย์ปฏิญาณที่ถวายเพราะมิได้กระทำ “ด้วยความซื่อ สัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน” และนอกจากจะไม่ “รักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ” แล้วรัฐบาลยังสมคบกันกับสภาผู้แทนราษฎร กระทำการที่ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและพยายามทำลายรัฐธรรมนูญอีกด้วย
ประจักษ์พยานอีกอย่างหนึ่งคือ การที่ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ไปปราศรัย ในงาน “รวมพลคนรักทักษิณ”ที่จังหวัดอุดรธานี เมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ที่ผ่านไปนี้ และยอมรับ ว่าตนเป็น “ขี้ข้า” ของ(พ.ต.ท.)ทักษิณ ร.ต.อ.เฉลิมยืนยันด้วยว่า ร่างพระราชบัญญัติปรองดองที่ ตนเสนอมีวัตถุประสงค์จะเอา (พ.ต.ท.)ทักษิณกลับประเทศไทยให้ได้ภายในสิ้นปีนี้
การบริหารราชการบ้านเมืองของรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ทุกเรื่องเป็นไปด้วยความไม่โปร่งใส ส่อทุจริตไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแก้ปัญหาเรื่องน้ำ เรื่องจำนำข้าว หรือเรื่องการตั้งงบประมาณ๒ ล้านล้านบาท ที่อ้างว่าเพื่อนำไปใช้สร้างรถไฟความเร็วสูง
รัฐบาลโมฆะหรือรัฐบาลเก๊ชุดนี้ เต็มไปด้วยความดื้อดันดึงดัน นอกจากจะไม่ฟังคำท้วงติง ของใครแล้วผู้ที่ท้วงติงหรือไม่เห็นด้วยยังถูกคุกคามด้วยประการต่าง ๆ เช่นด้วยการประณามว่าเป็นขยะ หรือแจ้งความดำเนินคดีด้วยข้อหาที่เป็นเท็จหรือคลุมเครือหรือด้วยการปล่อย ให้กลุ่ม ผู้สนับสนุนรัฐบาลไปขัดขวางข่มขู่
เมื่อเป็นเช่นนี้ ประชาชนที่เห็นว่าไม่สามารถจะเชื่อถือและพึ่งรัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ได้อีกแล้ว จึงถูกบังคับให้เลือกทางออกด้วยการชุมนุมเพื่อแสดงมติไม่เห็นด้วย และปฏิเสธรัฐบาล นอกจากการชุมนุมของกลุ่มต่าง ๆ ที่ทุ่งพระเมรุท้องสนามหลวงและที่ทำเนียบรัฐบาลแล้ว ยังมีการร่วมกันแสดงความเห็นต่อต้านและปฏิเสธรัฐบาลทางสื่อสังคมเช่น เฟซบุ๊ค ซึ่งเป็นการชุมนุมออนไลน์ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของเมืองไทยอีกด้วย
ท่าทีของรัฐบาลในขณะนี้เป็นไปในด้านไม่แยแสและมั่นใจในตนเอง ในขณะเดียวกัน ท่าที ของ (พ.ต.ท.) ทักษิณผู้บงการรัฐบาลและบงการสภาผู้แทนราษฎร ก็เป็นไปในลักษณะเดียวกัน
รัฐบาลเก๊และประชาชนที่ปฏิเสธรัฐบาลเก๊จึงเปรียบได้กับเครื่องบินสองเครื่อง ที่กำลังบินเข้าหากันในระดับเดียวกันอย่างที่ภาษานักบินเรียกว่า collision course ถ้านักบินฝ่ายหนึ่งไม่เปลี่ยนระดับให้สูงขึ้นหรือต่ำลง เครื่องบินทั้งสองเครื่องก็จะต้องชนกันอย่างแน่นอน.
หมายเหตุ บทความนี้เขียนเพื่อพิมพ์ใน “มติชน” อังคารที่๒๘ พ.ค. ๒๕๕๖
