สสค.เปิดตัวเลขซุกใต้พรม “เด็กแพ้คัดออก” กระทบศก.ชุมชน 80 ล้าน/ตำบล/ปี
สสค. ตั้งคกก.ระดับชุมชน-ท้องถิ่น-จังหวัดคัดเลือก “ครูสอนดี” 2-3 คน/ตำบล ทั่วประเทศภายในปีนี้ ยกระดับคุณภาพการศึกษา ด้าน “หมอประเวศ” ปลุกท้องถิ่นมีส่วนร่วมบูรณาการการศึกษาด้วยมรรค 8 “อมรวิชช์” ชี้ท้องถิ่นไม่เห็นความสำคัญ “รวยกระจุก จนกระจาย” ต่อไป
วันที่ 7 มิถุนายน สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) ร่วมกับคณะกรรมการปฏิรูปและคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป จัดงานประชุม “ชุมชนท้องถิ่นกับการปฏิรูปประเทศสู่สังคมแห่งการเรียนรู้” เพื่อคัดเลือกครูสอนดีระดับจังหวัดทั่วประเทศ ร่วมยกระดับคุณภาพการศึกษา ด้วยการเฟ้นหาครูสอนดี 20,000 คนในปี 2554 ในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา
ดร.กฤษณพงศ์ กีรติกร รองประธานกรรมการส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน คนที่ 2 กล่าวถึงกลไกการคัดเลือกครูสอนดี โดยคณะกรรมการเพื่อการคัดเลือกครูสอนดีระดับจังหวัดและท้องถิ่น จะเป็นกลไกที่ให้ท้องถิ่นมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของในการจัดการศึกษา ซึ่งขณะนี้คณะกรรมการฯ เริ่มกระบวนการคัดเลือกแล้ว โดยการให้สถานศึกษาและเขตเทศบาล หรือ อบต.เสนอชื่อครูสอนดี ได้ภายในเดือนกรกฎาคมนี้ จากนั้นคณะกรรมการฯ จะทำการคัดเลือกและส่งต่อไปยังคณะกรรมการเพื่อการคัดเลือกครูสอนดีในระดับ จังหวัด และจะมีการประกาศผลรายชื่อครูสอนดี 20,000 คนทั่วประเทศ เฉลี่ยตำบลละ 2-3 คน
จากนั้น ศ.นพ.ประเวศ วะสี ประธานคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป ปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “ศักยภาพของชุมชนท้องถิ่นในการปฏิรูปการเรียนรู้” ตอนหนึ่งว่า ขณะ นี้เรื่องใหญ่ที่สุดของประเทศไทย คือ การเปลี่ยนแปลงจากสังคมที่ใช้อำนาจไปสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ เพราะประเทศเรานับวันยิ่งซับซ้อนไปเรื่อยๆ ถ้าไม่มีความรู้เพียงพอ ก็จะไม่สามารถรักษาบูรณภาพและดุลยภาพของประเทศไว้ได้ ซึ่งจะทำให้เกิดวิกฤติ เชื่อว่าทุกคนมีผลิตภัณฑ์แห่งความดีอยู่ในหัวใจและมีศักยภาพอยู่ใน ตัวเอง แต่ที่ผ่านมาไม่ได้ร่วมคิด เพราะติดที่โครงสร้างของรัฐ แบ่งเป็นกรม เป็นกระทรวง
“หากคนไทยเอาหัวใจมารวมกัน ใช้พลังมนุษย์ที่มาจากพลังจิตสำนึก นำพลังความรู้ เพราะหากเริ่มต้นด้วยความรู้ จะเกิดความกลัวว่าจะทำไม่ได้ ไม่สำเร็จและมีการแบ่งแยกกัน เช่นเดียวกับการศึกษาไทย ที่ตั้งกำแพงครูและนักเรียนไว้กับความรู้ จึงไม่มีพลังจิตสำนึก แม้ว่าทุกคนมีหัวใจแห่งการทำเพื่อเพื่อนมนุษย์ มีเซลล์สมองที่รับรู้อารมณ์ของคนอื่น แต่ปัจจุบันติดอยู่กับมายาคติ เช่น กฎหมาย ระเบียบและความรู้”
ประธานสมัชชาปฏิรูป กล่าวด้วยว่า การปฏิรูประเทศที่มีคณะกรรมการปฏิรูป 2 คณะ คือ คณะกรรมการปฏิรูป และคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป เห็นร่วมกันว่า จุด ใหญ่ของการปฏิรูประเทศ คือ การปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ ที่มีการรวมศูนย์มาร้อยกว่าปี ให้ชุมชนท้องถิ่นและจังหวัดจัดการตัวเอง ถ้าทำได้ก็จะแก้ปัญหาของประเทศได้ 80-90% โดยไม่จำเป็นต้องรวม ศูนย์อำนาจ ปัจจุบันปัญหาต่างๆ มุ่งมาที่ส่วนกลาง แก้โดยนายกรัฐมนตรี ซึ่งประเทศประชาธิปไตยต่างๆ ไม่ได้เป็นอย่างนี้ การตัดสินใจโดยคนๆ เดียว แล้งตัดสินใจผิดจะนำประเทศไปสู่หายนะได้
“อำนาจเข้มข้นที่ไหน คอรัปชั่นก็จะเข้มข้นที่นั่น ทำให้เกิดรัฐประหารได้ง่าย ซึ่ง เป็นจุดใหญ่ของประเทศเรา โดยหากท้องถิ่น ชุมชนและจังหวัดจัดการตัวเองได้ รัฐบาลส่วนกลางก็จะทำแค่เรื่องที่จำเป็นเท่านั้น นอกนั้นให้ท้องถิ่นและพื้นที่จัดการตัวเอง เพื่อการพัฒนาอย่างบูรณาการ เปรียบเหมือนร่างกายเราที่ทำงานเป็นระบบ”
ศ.นพ.ประเวศ กล่าวอีกว่า การที่ท้องถิ่นจะพัฒนาอย่างบูรณาการต้อง ประกอบด้วย 8 ด้าน ได้แก่ 1.ด้านเศรษฐกิจ ที่ต้องพัฒนาให้มีสัมมาอาชีพเต็มพื้นที่ เพื่อแก้ปัญหาความยากจนและความไม่มั่นคงในชีวิต 2.ด้านการศึกษา ต้องมีมากกว่าแค่การท่องจำ ที่ไม่สามารถแก้ปัญหาของประเทศได้ 3.ด้านสังคม ต้องเป็นสังคมที่คนไทยไม่ทอดทิ้งกัน 4.ด้านวัฒนธรรม 5.ด้านที่ดิน ป่าไม้และแหล่งน้ำ 6.ด้านสุขภาพ 7.ด้านการศึกษา 8.ด้านประชาธิปไตย ทั้งหมดนี้ต้องเชื่อมโยงกัน ให้เหมือนมรรค 8 เช่น เรื่องการศึกษา ต้องมองการศึกษาให้เชื่อมโยงไปอีก 8 เรื่องให้ได้ ให้เป็นมรรค 8 ทางการพัฒนา
ขณะที่ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพ ที่ปรึกษาด้านวิชาการสสค. กล่าวถึงระบบการศึกษาไทยไม่ตอบโจทย์ท้องถิ่น ไม่รักษาตัวตนและอัตลักษณ์ ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำและความด้อยโอกาสในสังคมส่งผลให้เด็กยากจนหลุดจาก ระบบการศึกษานับแสนคนต่อปี ซึ่งจากสถิติการศึกษาขั้นพื้นฐานระหว่างปี 2541-2552 พบว่า เด็กไทยได้รับการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มี 79.6 % ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 หรือสายวิชาชีพ 68.4 % และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หรือสายวิชาชีพ 54.8 % ซึ่งเป็นจำนวนที่น้อยมาก
“เป้าหมายของการศึกษา คือ การสร้างคนในท้องถิ่น แต่ปัจจุบันเป็นการขับไล่ไสส่งไปเรียนในเมือง แล้วไม่กลับคืนสู่ท้องถิ่น การศึกษากลายเป็นเครื่องมือไล่คนออกจากท้องถิ่น และ ตอกย้ำความด้อยโอกาสของเด็กในพื้นที่ เกิดปัญหาเด็กไม่มีคุณภาพและเสี่ยงต่อการออกเรียนกลางคัน เหล่านี้เป็นปัญหาที่ซุกอยู่ใต้พรมมานาน และหากท้องถิ่นไม่มีระบบการดูแล มองเห็น "รากเหง้า" ของปัญหาว่า เป็นหายนะของความแตกแยกที่รัฐเป็นผู้ตีกรอบให้ สังคมก็จะเป็นสังคมรวยกระจุก จนกระจายอย่างที่เป็นมา เหมือนตัวเลขความห่างระหว่างคนจนและคนรวยที่เมื่อก่อนห่างกัน 6 เท่า แต่ปัจจุบันนี้ห่างถึง 30-40 เท่า”
ดร.อมรวิชช์ กล่าวต่อว่า ถ้าปล่อยให้ระบบการจัดการของรัฐกำหนดทุกเรื่อง ก็จะกลายเป็นระบบรองเท้าเบอร์เดียว “เป็นการปรับตีนให้พอดีเกือก ไม่ใช่ปรับเกือกให้พอดีตีน” วิธี การเช่นนี้จะมุ่งคัดเด็กเก่ง เด็กดี ทำให้เกิดเด็กแพ้คัดออก ฉะนั้น การตีความเด็กเก่ง เด็กดีต้องมองโดยท้องถิ่น ที่จะทำให้เด็กเหล่านี้มีที่ยืนอย่างภาคภูมิ
“เด็กที่ถูกคัดออกจากระบบการศึกษาแบบดังกล่าว พบว่า กว่า 200-300 คน เป็นเด็กเรียนไม่จบการศึกษาขั้นต่ำ ต้องเป็นแรงงานที่กินค่าแรงขั้นต่ำ ตลอดอายุการทำงาน 15-60 ปี ได้รับเงินเดือนน้อยกว่าปริญญาตรี 2 เท่า หรือ 7.5 ล้านบาท คิดเป็นความสูญเสียโอกาสทางรายได้ปีละ 50 ล้านบาท/ตำบล/ปี หรือกว่า 2,000 ล้านบาทตลอดช่วงอายุแรงงาน นับว่าสูญเสียโอกาสทางการศึกษาของในท้องถิ่น ที่ไม่ได้ส่งผลกระทบในแง่ชุมชนเท่านั้น ยังส่งผลกระทบที่เป็นความสูญเสียทางเศรษฐกิจของสังคมท้องถิ่นกว่า 80 กว่าล้านบาท /ตำบล/ปี” ดร.อมรวิชช์ กล่าว และว่า การลดความเหลื่อมล้ำด้วยการจัดการศึกษาโดยท้องถิ่น ไม่ใช่แค่ลดปัญหาทางเศรษฐกิจ แต่เป็นการลดปัญหาทางสังคมด้วย ฉะนั้น การเลือกครูสอนดี จะต้องเป็นครูดีของท้องถิ่น ที่ช่วยสร้างลูกหลานให้เป็นกำลังในอนาคต เป็นครูที่เป็นเพื่อนของท้องถิ่น ไม่ใช่ถูกกำกับโดยนโยบายส่วนกลางเพียงอย่างเดียว เพื่อให้ตรงต่อความต้องการของท้องถิ่นมากยิ่งขึ้น