‘ประเวศ วะสี’ ฉายภาพ 12 ปี สสส.องค์กรนวัตกรรม ถักทอสังคม เปิดพื้นที่ทางปัญญา

ในวาระครบ 12 การทำงานของ สำนักกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้จัดกิจกรรมประชุมภายใต้ชื่อ 'สานงาน เสริมพลัง ร่วมสร้างประเทศไทยให้น่าอยู่' ระหว่างวันที่ 28 - 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุม ไบเทค บางนา กรุงเทพมหานคร เพื่อร่วมกันทบทวนและสังเคราะห์องค์ความรู้ด้านการสร้างเสริมสุขภาพอย่างเป็นระบบ อันจะนำไปสู่การบูรณาการเชื่อมโยงการทำงานข้ามภาคส่วน ข้ามประเด็น และร่วมกันผลักดันสู่การปฏิบัติ อันจะทำให้การขับเคลื่อนงานสร้างเสริมสุขภาพด้านต่างๆ ของประเทศไทยอย่างมีประสิทธิภาพ และมีแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน มุ่งสู่เป้าหมายร่วมสร้างประเทศไทยให้น่าอยู่ที่สุด
งานวันแรก ศ.นพ.ประเวศ วะสี ประธานคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป (คสป.) กล่าวปาฐกถาเปิดการประชุม ในหัวข้อ "นวัตกรรมทางสังคมกับการพัฒนาประเทศ" ตอนหนึ่งว่า...
ในประเทศไทยเมื่อ 12 ปี มาแล้ว ได้เกิดเครื่องมืออันยิ่งใหญ่ที่เป็นนวัตกรรมทางสังคม นั่นคือการเกิดขึ้นของ สสส. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) เพื่อเป็นเครื่องมือเปิดพื้นที่ทางสังคมและพื้นที่ทางปัญญาอย่างกว้างขวาง
สังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ซับซ้อนและยากเป็นอันมาก ปัญหาเหล่านี้ใช้อำนาจไม่ได้ผล กระทรวงทบวงกรมต่างๆ มีอำนาจหน้าที่ (authority) ตามกฎหมายและใช้งบประมาณจำนวนมาก แต่องค์กรเหล่านี้เป็นโครงสร้างทางดิ่ง เน้นที่การบังคับบัญชาและการปฏิบัติตามกฎหมายที่วางไว้อย่างตายตัว ไม่เข้าใจ และไม่มีทักษะที่จะไปสนับสนุนการเปิดพื้นที่ทางสังคมและพื้นที่ทางปัญญาอย่างกว้างขวาง สสส.จึงเกิดขึ้น โดยมีกฎหมายพิเศษให้เป็นองค์กรอิสระที่มีความคล่องตัว และกำหนดให้ได้งบประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์ มาจากภาษีบุหรี่และสุรา โดยไม่ต้องไปพึ่งกระบวนการงบประมาณตามปรกติ
และโดยหวังว่า 'ภาษีบาป' นี้ ถ้ายิ่งสูงยิ่งน่าจะลดการบริโภคบุหรี่และสุราลงซึ่งจะเป็นผลดีต่อสุขภาพของประชาชนเอง
การเกิดขึ้นของ สสส. จึงต้องนับเป็นนวัตกรรมทางความคิด และองค์กรนี้เกิดมีขึ้นก็เพื่อสนับสนุนนวัตกรรมทางสังคม
แต่ความที่เป็นของใหม่ คนที่คุ้นชินกับการคิดเชิงอำนาจและองค์กรเชิงอำนาจจึงไม่สบายใจกับการมีองค์กรแบบ สสส. แต่ท่านจะสบายใจขึ้นหากเอาประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวตั้ง และตระหนักว่าสังคมจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงจากสังคมเชิงอำนาจไปสู่ 'สัมพันธภาพใหม่' แห่งการเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน มีภราดรภาพ มีการรวมตัว ร่วมคิด ร่วมทำ เป็นสังคมที่เข้มแข็ง อบอุ่น และมีหัวใจของความเป็นมนุษย์
สังคมที่มีสัมพันธภาพใหม่จะเป็นสังคมที่มีความสุข ความดี และมีปัญญา สังคมใหม่เป็นนวัตกรรมทางสังคม ความคิดและวิธีการที่ทำให้เกิดสัมพันธภาพใหม่ก็เป็นนวัตกรรมทางสังคม
เราขาดความเข้าใจมิติทางสังคม ไปเข้าใจว่า การเมืองนำบ้าง คำสั่งสอนทางศาสนานำบ้าง เศรษฐกิจนำบ้าง แต่ในความเป็นจริง 'สังคมเข้มแข็ง' จะเป็นตัวนำให้การเมืองดี ศีลธรรมดี และเศรษฐกิจดี
อำนาจเช่น อำนาจทางการเมือง ถ้าอยู่ท่ามกลางสังคมที่เข้มแข็ง มีความเป็นพลเมืองสูง อำนาจก็จะถูกตรวจสอบ ทำตามอำเภอใจไม่ได้ ต้องอยู่ในร่องในรอย สังคมเข้มแข็งจึงเป็นปัจจัยให้การเมืองดี ศีลธรรมดี และเศรษฐกิจดี
ในทางตรงข้าม ถ้าสังคมอ่อนแอ ผู้คนขาดจิตสำนึกแห่งความเป็นพลเมือง ตัวใครตัวมัน อำนาจต่างๆ ในสังคมก็จะไม่ถูกตรวจสอบ ทำตามอำเภอใจได้มาก ไม่อยู่ในร่องในรอยได้มาก การเมืองจึงไม่ดี ศีลธรรมจึงไม่ดี เศรษฐกิจจึงไม่ดี
เมื่อปัจจัยชี้ขาดอนาคตของการพัฒนาประเทศอยู่ที่สังคมเข้มแข็ง นวัตกรรมทางสังคมจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
สังคมควรจะเป็นสังคมที่เข้มแข็งจนสามารถนำรัฐได้ และรัฐควรสนับสนุนสังคมเข้มแข็ง ถ้าสังคมนำแล้วรัฐตาม จะทำงานได้ง่ายและถูกต้องขึ้นมากทีเดียว
สังคมไม่ได้เข้ามาแทนที่อำนาจรัฐ รัฐก็ยังคงมีอำนาจหน้าที่ (authority) อยู่ตามเดิม แต่สังคมเข้มแข็งจะช่วยให้รัฐทำเรื่องยากๆ ซึ่งปรกติทำไม่ได้ตามลำพัง สังคมนำรัฐจึงไม่ใช่การแย่งชิงอำนาจกัน แต่เป็นการเสริมสิ่งขาดซึ่งกันและกัน
ถ้าสังคมเข้มแข็งจนสังคมนำรัฐได้ นี่จะเป็นนวัตกรรมทางสังคมอย่างยิ่ง
สสส.ซึ่งเป็นนวัตกรรมสังคมเพื่อเป็นเครื่องมือเปิดพื้นที่ทางสังคมและพื้นที่ทางปัญญาอย่างกว้างขวาง จึงช่วยเชื่อมโยงเรื่องต่างๆ เข้าหากัน และการเชื่อมต่อส่วนต่างๆ เข้ามาด้วยกัน ก็จะทำให้เกิดการมีชีวิต มีจิตวิญญาณ
มีหมวดธรรมเพื่อสร้างสังคมเข้มแข็ง อันพระบรมศาสดาทรงอนุศาสน์ไว้ คือหมวดธรรมที่เรียกว่า 'อปริหานิยธรรม' หรือธรรมะเพื่อความเจริญถ่ายเดียว
"หมั่นประชุมกันเป็นเนืองนิตย์ พร้อมเพรียงกันประชุม พร้อมเพรียงกันเลิกประชุม พร้อมเพรียงกระทำกิจที่พึงทำ"
ในสังคมเผด็จการ หรือสังคมแบบตัวใครตัวมันจะไม่นิยมการมาประชุมกัน แต่ในหลายทศวรรษที่ผ่านมา คนไทยได้ค้นพบการสร้างพลังทางสังคมด้วยการประชุมในรูปแบบและในชื่อต่างๆ
3 ปีที่ผ่านไป สสส.ได้จัดประชุมใหญ่เรื่อง 'พลังชุมชนท้องถิ่นสู่การอภิวัฒน์ประเทศไทย' ทุกปี ในแต่ละครั้งมีผู้มาประชุมหลายพันคน การประชุมต่างๆ เหล่านี้เพื่อเพิ่มพลังใจ พลังทางสังคม และพลังทางปัญญา เป็นการร่วมสร้างประเทศไทยให้น่าอยู่
ในวันที่ 28-29 พฤษภาคม 2556 นี้ ในฐานะที่ สสส. ทำงานมา 12 ปี และสนับสนุนกระบวนการทางสังคมมาอย่างกว้างขวาง จึงจัดให้มี 'เวทีสานงาน เสริมพลัง ร่วมสร้างประเทศไทยให้น่าอยู่' เพื่อการกำหนดอนาคตของการทำงานเพื่อสังคมร่วมกัน โดยมีฝ่ายต่างๆ ที่ทำงานเพื่อการพัฒนาอย่างหลากหลายจำนวนมากทั่วประเทศเข้าร่วม หรืออาจจะเรียกว่า เป็นการประชุม 'มหามวลมิตรพัฒนาประเทศไทย'
เวทีนี้จะไม่ใช่เวทีด่าทอ แต่จะเป็นเวที 'ถักทอกันทางสังคม' ที่ทุกคนมีความสุขและความปลอดภัยที่จะเข้าร่วมด้วยได้
ถ้ามีกระบวนการทางสังคมที่ผู้คนเข้ามารวมตัว ร่วมคิด ร่วมทำในเรื่องต่างๆ โดยอาศัยการเรียนรู้ร่วมกันในการปฏิบัติ ที่ยังไม่ดีก็จะดีขึ้น ที่ยังผิดก็จะถูกมากขึ้นเรื่อยๆ
