เปิดคัมภีร์ "นักข่าว" ยุคดิจิทัล ทำงานยังไงไม่ให้ตกเทรนด์?
“..ผู้บริโภคนิยมแชทก่อนนอน ข้อมูลเหล่านี้สำคัญ เพราะทำให้เราได้รู้ว่าเขานิยมอ่านอะไรกันและอ่านข่าวเราเวลาไหน ไม่งั้นก็เสียเวลา ทำข่าวแล้วไม่มีใครอ่าน เราต้องปรับตัวตามผู้บริโภค.."
คำถามที่น่าสนใจสำหรับนักข่าวยุคนี้ คือ ทำไมเทรนด์หรือความนิยมของผู้คนยุค “ดิจิทัล” จึงสำคัญ และเหตุใดคนทำข่าวจึงควรรับรู้ถึงความต้องการของผู้บริโภคข่าวสารในยุคที่เครือข่ายสังคมออนไลน์เป็นที่นิยมอย่างสูงในปัจจุบัน
นี่คือหัวข้อสำคัญ ที่ นางสุธิดา มาไลยพันธุ์ รองนายกสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ ย้ำกับสื่อมวลชนที่เข้าร่วมการอบรมเชิงปฏิบัติการนักข่าวดิจิทัล ซึ่งจัดโดยสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ ในหัวข้อ “Trend สื่อออนไลน์” ที่ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2556 ที่ผ่านมา
และนำมาสู่ข้อมูลและแนวทางปฏิบัติในการทำงานที่สำคัญของนักข่าวยุึคปัจจุบัน ที่กำลังจะก้าวสู่ยุคดิจิทัลเป็นอย่างมาก
นางสุธิดา ระบุว่า ประเทศไทยมีผู้ใช้โทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน 4-5 ล้านคนที่ใช้บริการโมบายเว็บ ( Mobile Web ) หรือติดตามเว็บไซต์ต่างๆ ผ่านโทรศัพท์มือถือ
ขณะที่ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติเผยให้เห็นว่าคนที่มีคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค,แล็ปท็อป หรือพีซี มีแนวโน้มจะสนใจเนื้อหาของข่าวสารที่ละเอียดกว่า
นอกจากนี้ ในปัจจุบัน ผู้ใช้โทรศัพท์ยังมีแนวโน้มจะมีเบอร์โทรศัพท์มากกว่า 1 เบอร์ เพื่อรองรับการใช้งานและปัจจัยชีวิตที่เพิ่มขึ้น
และถ้าเราเจาะแค่โทรศัพท์มือถือในปีที่ผ่านมามีอะไรเติบโตขึ้นบ้าง คำตอบ คือ อัตราการเติบโตของสมาร์ทโฟนโตขึ้น 43 % และใช้ปฏิบัติการแอนดรอยด์สูงสุด ส่วนตระกูล iOS เช่นไอโฟน ไอแพดจะใช้รองลงมา แต่น่าสนใจว่าคนใช้โมบายอินเทอร์เน็ตโดยส่วนใหญ่จะเป็นผู้ใช้ iOS มากกว่าแอนดรอยด์
นางสุธิดา ยังกล่าวต่อไปว่า เทรนด์สำคัญต่อมาที่เลี่ยงไม่ได้คือ เฟซบุ๊ก ประเทศไทยมีคนใช้เฟซบุ๊กมากถึง 18 ล้านคน คิดเป็น%การใช้งาน คือเฟซบุ๊ก 85 % ทวิตเตอร์ 10 % และอินสตาแกรม 5%
“เพราะฉะนั้น จากนี้ใครไม่สนใจพฤติกรรมการใช้งานของผู้คนผ่านโทรศัพท์มือถือไม่ได้ ต้องรู้ว่าทิ้งไม่ได้แล้ว เพราะคนติดตามข่าวผ่านโซเชียลมีเดียจากมือถือและในเว็บไซต์ต่างๆ และในแต่ละวัน ข้อมูลในอินเทอร์เน็ตจะถูกโพสต์โดยผู้อ่านหรือเหล่า User 36 ล้านโพสต์ต่อวัน และมีการแชร์ รีทวิต หรือโต้ตอบกันผ่านการแสดงความคิดเห็น 629 ล้านครั้งต่อวัน ดังนั้น สำนักข่าวเราจะทิ้งคนจำนวนนี้ไม่ได้”
นางสุธิดา กล่าวว่าจากผลสำรวจโดยรวมพบว่าในอินเทอร์เน็ต ในโซเชียลมีเดีย มีผู้ใช้งานที่มีอายุตั้งแต่ 20-50 ปี ดังนั้น จึงมีทุกคนทุกวัยติดตามข่าวสารอยู่ในโลกของอินเตอร์เน็ตและโซเชียลมีเดีย โดยผลสำรวจพบว่า คนอายุ 30 ปีขึ้นไปจะอ่านข่าวสารจากเว็บไซต์ข่าว ขณะที่วัยรุ่นจะนิยมอ่านข่าวสารในเว็บบอร์ด และในจำนวนของคนอ่านข่าวนั้น ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด มีจำนวนคนอ่านเท่าๆ กัน
ในจำนวนนี้ มีผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีเป็นกลุ่มที่อ่านข่าวสูงสุด ขณะที่การสำรวจของเสิร์ชเอนจิน อย่างกูเกิล ระบุว่า 90 % เป็นการเสพข่าวสารในเว็บไซต์มากกว่าโทรทัศน์ และมีการสำรวจในต่างประเทศว่าการเสพข่าวผ่านโทรทัศน์ จะใช้เวลาเฉลี่ย 43 นาที การเสพข่าวผ่านคอมพิวเตอร์พีซีหรือแล็ปท็อปจะใช้เวลาเฉลี่ย 39 นาที ขณะที่การเสพข่าวผ่านแท็ปเลตหรือสมาร์ทโฟน เฉลี่ยอยู่ที่ 30 นาที
ด้านผลสำรวจของ ยาฮู ออสเตรเลีย อธิบายถึงพฤติกรรมผู้บริโภคในวัยทำงานที่ลงลึกอย่างละเอียด โดยแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างพฤติกรรมการท่องเว็บของผู้บริโภคกับวิถีชีวิตประจำวันที่น่าสนใจ
โดยศึกษาทั้งพฤติกรรมการใช้สมาร์ทโฟน แท็ปเลต และคอมพิวเตอร์พีซี โดยผลสำรวจพบว่าเมื่อผู้คนตื่นเช้าขึ้นมา โดยส่วนใหญ่เมื่อจะใช้สมาร์ทโฟนเช็คอีเมล์ เข้าเว็บไซต์ต่างๆ อาทิ เช็คข้อมูลของเพื่อนผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์คและเช็คสภาพอากาศ ข้อมูลข่าวสาร
ขณะที่ในช่วงสาย เมื่อเข้าทำงานในออฟฟิศแล้ว จะใช้คอมพิวเตอร์เช็คข้อมูลการเงินจากธนาคาร และช้อปปิ้ง ส่วนช่วงเที่ยง ผู้บริโภคจะกลับมาใช้สมาร์ทโฟนเช็คข่าว และเมื่อถึงช่วงเย็นซึ่งเป็นเวลาเลิกงาน ผลสำรวจพบว่ามีการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์ค ผ่านทั้งช่องทางสมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์ พีซี ร่วมกัน และเมื่อกลับถึงบ้าน พฤติกรรมผู้บริโภควัยทำงานจะนิยมเล่นไอแพด
“ข้อมูลเหล่านี้ลองนำไปคิดดูได้ว่าข่าวเราเหมาะจะขึ้นเว็บไซต์ช่วงไหน ส่วนช่วงก่อนนอนผลสำรวจพบว่าผู้บริโภคนิยมแชทก่อนนอน ข้อมูลเหล่านี้สำคัญ เพราะทำให้เราได้รู้ว่าเขานิยมอ่านอะไรกันและอ่านข่าวเราเวลาไหน ไม่งั้นก็เสียเวลา ทำข่าวแล้วไม่มีใครอ่าน เราต้องปรับตัวตามผู้บริโภค นอกจากนี้ ผลสำรวจพบว่า ช่วงเสาร์-อาทิตย์ ผู้บริโภคไม่นิยมใช้แทปเล็ตแต่กลับมาใช้คอมพิวเตอร์พีซี แต่โดยรวมสำหรับช่วงเวลาโดยทั่วๆไป ทั้ง เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ จะมีคนใช้สูงมาก แต่ยูทิวบ์ ผลสำรวจพบว่าคนนิยมดูตอนกลางคืน”
สำหรับผลสำรวจในไทย นางสุธิดากล่าวว่าผลสำรวจของบริษัทสัญญาณโทรศัพท์มือถือรายหนึ่ง พบว่าเว็บไซต์ของสำนักข่าว ASTVผู้จัดการ ยังสามารถครองความนิยมอยู่ในอันดับ 3 คือติดอันดับท็อปไฟว์ของเว็บไซต์ที่มีผู้อ่านมากที่สุดในประเทศ ซึ่งนับเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ เพราะโดยส่วนใหญ่ การอ่านข่าวของคนท่องเว็บส่วนมากในไทย มักนิยมเข้าไปอ่านข่าวในเว็บบอร์ดต่างๆ มากกว่าจากสำนักข่าว โดยที่เว็บบอร์ดเหล่านั้น เพียงแค่ก็อปปี้ข่าวของสำนักข่าวต่างๆ ไป โดยที่ไม่ต้องทำข่าวเองแต่อย่างใด จึงเป็นหน้าที่ผู้บริหารสำนักข่าวแต่ละที่ต้องศึกษาว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร แต่ก็จำต้องยอมรับความจริงอย่างหนึ่งว่าเพราะเว็บบอร์ดเหล่านั้นเขามีความหลากหลายมากกว่า
อย่างไรก็ตาม นางสุธิดากล่าวถึงวิธีการรับมือและปรับตัวของสำนักข่าวในต่างประเทศ ที่ต้องปรับตัวเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการและพฤติกรรมของผู้เสพข่าวที่เปลี่ยนแปลงไปและเพื่อแก้ปัญหารายได้และยอดขายของหนังสือพิมพ์ที่ตกต่ำลง
โดยนางสุธิดากล่าวว่า การปรับตัวดังกล่าวสะท้อนถึงข้อดีประการหนึ่งของข่าวออนไลน์ นั่นคือความรวดเร็ว ความสะดวก และเป็นพื้นที่ให้ผู้คนได้มีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น แต่ก็มีข้อเสียคือขาดรายได้จากโฆษณาที่ถูกเสิร์ชเอนจินชื่อดังอย่างกูเกิลแย่งไปจากการลิงค์ข่าวไปที่เว็บของกูเกิล
“แทบทุกสำนักข่าวออนไลน์ชื่อดังในโลกมีสถิติด้านรายได้ทางอินเทอร์เน็ตสูง แม้รายได้หนังสือพิมพ์จะตกลง แต่ที่น่าเสียใจคือ ผู้ที่มีรายได้สูงกว่าสำนักข่าวคือกูเกิล บางคนจึงมองว่ากูเกิลน่ารังเกียจ เพราะกูเกิลได้หมด ในต่างประเทศปัญหานี้เป็นประเด็นสำคัญ ในสหรัฐอเมริกา บางสำนักข่าวจึงแก้ปัญหาด้วยการทำเพลย์วอลคือจ่ายเงินเพื่ออ่านข่าว เช่นบางสำนักข่าวให้อ่านฟรีได้ 40 % แต่อีก 60 %ต้องจ่ายเงินเช่น นิวยอร์ค ไทมส์หรือไฟแนนเชียลไทมส์ กำหนด 1 User อ่านฟรีได้ 3 ครั้ง แต่ครั้งที่ 4 ต้องจ่ายเงิน บางเว็บไซต์ก็ให้อ่านฟรี 60 % โดยส่วนที่ต้องจ่ายคือ เอ็กซ์คลูซีฟ เป็นข่าววิเคราะห์เชิงลึก ขณะที่บางสำนักข่าวก็ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ คิดว่าให้อ่านฟรีทั้งหมดดีกว่า”
นางสุธิดา ยังกล่าวถึงปรากฏการณ์ที่น่าสนใจของพฤติกรรมผู้บริโภคที่สะท้อนผ่านการอ่านข่าวสารจากเว็บไซต์ข่าวออนไลน์ว่าในต่างประเทศ สิ่งหนึ่งที่สะท้อนชัดเจนคือเนื้อหาข่าวที่ขายได้คือข่าววิเคราะห์เจาะลึก ส่วนการปรับตัวเพื่อเพิ่มรายได้ที่น่าสนใจ คือตัวอย่างจากนิวยอร์คไทมส์ ที่มีการระบุราคาที่แตกต่างกันว่าหากอ่านข่าวผ่านสมาร์ทโฟนอย่างเดียวเท่าไหร่ อ่านผ่านแท็บเล็ตเท่าไหร่ และยังมีโปรโมชั่นว่าถ้าอ่านข่าวผ่านทุกช่องทางจะจ่ายเงินในราคาถูกลง ทั้งนี้ เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคเสพข่าวจากทุกแพลตฟอร์มนั่นเอง ขณะที่สำนักข่าวบางแห่งในสิงคโปร์ ถ้าผู้บริโภคจ่ายค่าอ่านข่าวจากทุกแพลตฟอร์มจะได้รับหนังสือพิมพ์ฟรีด้วย ถือเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้หนังสือพิมพ์อยู่รอด
นอกจากนี้ สำนักข่าวอีกหลายแห่งในต่างประเทศ จะขายโฆษณาผ่านทุกช่องทาง ไม่ว่าทางสื่อสิงพิมพ์หรือออนไลน์ จะขายทุกแคมเปญพร้อมกัน นอกจากนี้ แต่ละแห่งก็ให้ความสำคัญกับเนื้อหาและรายละเอียดของข่าวสารที่ผู้บริโภคยินดีจ่ายเงิน นั่นคือคุณภาพของเนื้อหาและภาพอินโฟกราฟฟิกที่ตอนนี้ ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่มำให้ข่าวที่มีการใช้อินโฟกราฟฟิก ได้รับความสนใจ
“สารคดี ข่าวเจาะเฉพาะเรื่อง และมีพรีเซนเทชั่นที่เล่าเรื่องได้ลึกขึ้น มีอินโฟกราฟฟิค เหล่านี้จะช่วยสร้างความน่าสนใจ บางข่าวถ้าเขียนมีแต่ตัวหนังสือคนอ่านอาจเบื่อ แต่ถ้ามีอินโฟกราฟฟิกด้วยจะเพิ่มความน่าสนใจ เช่นเรื่องปริมาณน้ำมันดิบ การขุดเจาะน้ำมันในไทย หรือการอธิบายตัวเลขทางเศรษฐกิจ อินโฟกราฟฟิกจะช่วยได้เยอะมาก”
แต่ไม่จำกัดเฉพาะการรายงานเชิงตัวเลข สถิติ เพราะอินโฟกราฟฟิกยังสามารถนำไปใช้เพื่อเพิ่มลูกเล่นในการนำเสนอข่าวสารในเชิงลึกให้มีความน่าสนใจขึ้น อาทิ บางสำนักข่าวนำภาพอินโฟกราฟฟิกมาใช้อธิบายความขัดแย้งทางการเมือง บ้างนำอธิบายคุณลักษณะและความเชื่อต่างๆ ของอาหารสำหรับพระโคแรกนาขวัญ
“ในต่างประเทศ อินโฟกราฟฟิกถือว่ามีความสำคัญมาก บางสำนักข่าวถึงขั้นมีอินโฟกราฟฟิกประกอบข่าว ถึง 2 เวอร์ชั่น คืออินโฟกราฟฟิกสำหรับสมาร์ทโฟนและแท็ปเลต เมื่ออ่านจากแพล็ตฟอร์มต่างกัน ลูกเล่นจะต่างกัน” นางสุธิดากล่าว ก่อนเพิ่มเติมถึงกลยุทธ์การปรับตัวของหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์ข่าวทั้งในไทยและต่างประเทศ อาทิ เว็บไซต์ข่าวบางแห่งมีการให้ยูสเซอร์สามารถโพสต์ความคิดเห็นต่างๆ ได้ หรือหนังสือพิมพ์บางมีแอพลิเคชั่นที่หากใช้สมาร์ทโฟนถ่ายภาพในหนังสือพิมพ์จะสามารถอ่านภาพเคลื่อนไหวได้
“หรือหนังสือพิมพ์บางฉบับในอินเดีย ที่สามารถเพิ่มยอดขายหนังสือพิมพ์ให้โตขึ้นเท่ายอดของออนไลน์ได้ เพราะเขาเพิ่มสิ่งนี้เข้าไป คือถึงขั้นเพิ่มสีแบบฟลูออเรสเซนส์ และเพิ่มกลิ่นในหนังสือพิมพ์ด้วย ถือเป็นการสร้างสิ่งพิมพ์ให้น่าสนใจ”
ทั้งนี้ นางสุธิดาตั้งข้อสังเกตว่า ส่วนตนแล้วไม่เห็นด้วยหากหนังสือพิมพ์ไทยจะใช้วิธีแก้ปัญหายอดขายตกด้วยการเนื้อหาทั้งหมดในหนังสือพิมพ์ขึ้นเว็บไซต์เพื่อให้อ่านฟรี หรือบางสำนักข่าวใดจะตั้งราคาที่ผู้อ่านควรจ่ายให้ถูกลงเพราะกลัวว่าถ้าตั้งราคาสูงแล้วคนจะไม่อ่านข่าวตนนั้น ไม่ถูกต้อง
แต่สิ่งที่ควรทำคือ เพิ่มมูลค่าให้ตนเองด้วยการนำเสนอข่าวสารที่เจาะลึกและน่าสนใจ เพราะแม้ราคาอาจจะสูงกว่าที่อื่นแต่หากข่าวสารที่นำเสนอมีความน่าสนใจ เหล่านี้ก็ถือเป็นการเพิ่มมูลค่าให้ตัวเอง
“เทรนด์และความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไม่มีอะไรน่ากลัว แต่คือสิ่งที่แสดงให้เห็นว่านอกจากเราจะต้องรู้จักพฤติกรรมของผู้บริโภคแล้ว เรายังต้องรู้จักเทรนด์ที่ผู้บริโภคกำลังสนใจด้วย จากนี้ เราต้องหมั่นเช็คเทรนด์ และเช็คสิ่งที่คนสนใจ เช่นเปรียบกระแสเจนี่กับกระแสฮอร์โมนในกูเกิลเทรนด์ แล้วคุณจะรู้ว่าคนสนใจอะไร”
นางสุธิดากล่าวว่าการสำรวจและรู้จักเทรนด์หรือกระแสความสนใจของผู้คนในสังคมจะช่วยให้นักข่าวในยุคดิจิทัลมองออกแม้แต่การใช้คำว่าควรใช้คำแบบไหนที่ผู้อ่านชอบ การใช้คำสำหรับข่าวออนไลน์นั้น ต่างจากหนังสือพิมพ์ ควรต้องใช้คำให้เป็นความรู้สึกของคนอ่าน เราต้องรู้ว่าเขาคุยอะไรกัน ซึ่งโดยส่วนตัวแล้ว ตนยังเชื่อกระแสเทรนด์ในเว็บบอร์ดชื่อดังอย่างพันทิป มากกว่าเฟซบุ๊คที่โดยรวมแล้วยังเป็นเพียงเรื่องราวส่วนตัว
“วันนี้ ถ้าใครไม่เคยเขียนข่าวในเฟซบุ๊ค ไม่เคยอัปวิดีโอคลิป ไปเปลี่ยนตัวเองได้แล้ว เทรนด์เหล่านี้มาจากทั่วโลก คุณควรต้องเช็คไปถึงต้นทางของเทรนด์ที่ต่างประเทศด้วยยิ่งดี อย่าหยุดนิ่ง ต้องเปลี่ยนตัวเอง และทำให้ต่างจากคนอื่นด้วย ไม่ใช่ก๊อปปี้เขามา” นางสุธิดากล่าวทิ้งท้าย