กะเทย&ผู้บ่าว ความสัมพันธ์หรรษาหน้าฮ้านหมอลำอีสาน
‘พรเทพ แพรขาว’ เปิดงานวิจัยเอาใจกลุ่มกะเทยไทย ‘ผู้สาวหน้าฮ้านหมอลำฯ’ ระบุกลายเป็นพื้นที่พิเศษทางวัฒนธรรมแล้ว

‘ไฟล่อกะเทย’ ฉายส่องสว่างทั่วผืนฟ้าเป็นเสมือนสัญญาณบอกความสนุกหรรษาของศิลปวัฒนธรรมพื้นถิ่น ‘หมอลำ’ กำลังจะเริ่มขึ้น ชวนให้บรรดากะเทยต่างพากันรวมตัวมุ่งไปสู่จุดหมาย กลายเป็น ‘ผู้สาวหน้าฮ้าน (หน้าเวที) หมอลำ ความสัมพันธ์ระหว่างกะเทยและผู้ชายในคอนเสิร์ตหมอลำอีสาน’
ซึ่งผศ.ดร.พรเทพ แพรขาว อาจารย์ประจำคณะพยาบาลศาสตร์ ม.ขอนแก่น ได้วิจัยและนำเสนอไว้ในเวทีประชุมเพศวิถีศึกษาระดับชาติ ครั้งที่ 4 ณ โรงแรม เดอะรอยัลริเวอร์ ที่ผ่านมา...โดยออกตัวว่า ข้อมูลดังกล่าวเป็นมุมมองพื้นที่เฉพาะของคณะวิจัย และการใช้คำว่า ‘กะเทย’ ในการวิจัยนั้นไม่มีเจตนาจะตีตราแต่อย่างใด แต่เพราะเป็นคำที่ใช้เรียกกลุ่มเพศสภาพในภาคอีสานที่เข้าใจได้ชัดเจนที่สุด
นอกจากนี้ไม่อยากให้เกิดการตีความงานวิจัยว่า กะเทยหน้าฮ้านหมอลำทำให้ศิลปวัฒนธรรมอันดีงามของชาติเสื่อมเสีย เพียงแต่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกันเท่านั้น
จากนั้นผศ.ดร.พรเทพ จึงฉายภาพงานวิจัย ‘หมอลำ’ เป็นการแสดงพื้นบ้านของภาคอีสานระหว่างเดือน 11 ถึงเดือน 5 ของทุกปี ยกเว้นช่วงฤดูฝนที่จะหยุดพักการแสดง เพื่อเตรียมความพร้อมของวงในฤดูกาลใหม่ สำหรับกะเทยถือเป็นช่วงคิดไอเดียใหม่ ๆ ให้กับเสื้อผ้าที่จะสวมใส่ไปในงาน หากนึกภาพไม่ออกว่ากะเทยอีสานแต่งตัวอย่างไร ให้นึกถึง ‘sexy pancake’ เจ้าของเพจที่มียอดไลค์สูงถึง 950,827 ไลค์
เมื่อถึงช่วงตุลาคมวงดนตรีหมอลำจะเริ่มตระเวนออกแสดงทั่งภูมิภาค ซึ่งคนอีสานส่วนใหญ่จะพากันไปนั่งหน้าฮ้านหมอลำ และทุกแห่งจะต้องมีกะเทยร่วมสนุกหรรษาด้วยเสมอ จนมีการเปรียบเปรยว่า “ถ้าไม่มีกะเทยก็ไม่ใช่หมอลำ”
ผู้วิจัย อธิบายอีกว่า งานวิจัยชิ้นนี้เกิดความสงสัยว่าทำไมผู้ชายถึงมีความสัมพันธ์กับกะเทยหน้าฮ้านหมอลำ และเหตุใดจึงกลายเป็นพื้นที่พิเศษสำหรับเขาและเธอ เมื่อลงพื้นที่เก็บข้อมูล พบคำว่า ‘หมอลำ’ ในความคิดของกะเทยอีสาน หมายถึง งานบุญกะเทย ที่จะมีการนัดรวมตัวของกะเทยจากทุกแห่งในชุมชน
เทศกาลกินไม้ โดยคำว่า ‘ไม้’ เป็นสื่อแทนผู้ชายที่จะมีการจีบหน้าฮ้านหมอลำ ซึ่งไม่ทันรู้ว่า ‘หมอลำ’ ชื่อวงอะไร มีการแสดงอะไรบ้าง แต่ที่รู้คือทุกครั้งที่มีการแสดงจะมีผู้บ่าวมาก
เทศกาลแต่งหญิง วิธีปฏิบัติของกะเทยในการแต่งตัว มักจะแต่งตัวแบบ ‘ฟ้าขาด’ ซึ่งหมายถึง แต่งอย่างไรก็ได้ให้รู้สึกว่าล้ำขอบฟ้าจนเหมือนจะทะลุไปได้ แต่งกันให้ขาดให้สิ้นโลกกันไป แต่ต้องบอกก่อนว่าการแต่งตัวนั้นไม่ต้องการให้เหมือนผู้หญิง แต่หลายคนตั้งใจแต่งตัวให้ผู้บ่าวรู้ว่าเป็นกะเทย เพื่อเช็คความนิยมในหมู่ผู้บ่าว นับเป็นความหรรษาอีกมุมหนึ่ง
ผศ.ดร.พรเทพ กล่าวอีกว่า เมื่อทั้งกะเทยและผู้บ่าวมาพบกันที่หน้าฮ้านหมอลำจึงเกิดความสัมพันธ์กัน และเกิดคำ 3 คำ คือ ‘แล่นไม้’ เป็นคำที่กะเทยใช้กันเพื่อสื่อสารว่าจะต้องรีบเร่งหาผู้ชาย เพื่อเก็บแต้ม
ส่วน ‘จัดเจ้’ เกิดขึ้นเมื่อผู้บ่าวมารวมตัวกันหน้าฮ้านหมอลำเพื่อตั้งวงดื่มเหล้า แต่เมื่อเหล้าหมด นิยามนี้จึงเกิดขึ้น พร้อมส่งตัวแทนหน่วยกล้าตาย เด็กฝึกงานใหม่ในกลุ่ม ออกไปจัดเจ้ (เจ้ หมายถึง กะเทย)
เมื่อหน่วยกล้าตายไปถึง กะเทยจะหันมาพูดกับผู้บ่าวว่า ‘มันต้องแลก’ ด้วยการมีเพศสัมพันธ์กัน ซึ่งในที่นี้ไม่ได้หมายถึง การสอดใส่ภายในเสมอไป แต่เป็นเพียงการจับเนื้อต้องตัว หรือ วัดขนาดอวัยวะเพศเท่านั้น
“วิธีการระหว่างคำว่า ‘แลกไม้’ กับ ‘จัดเจ้’ ได้สอดรับกันพอดี นั่นคือ จัดเจ้ช่วยให้ผู้บ่าวสมหวัง และ ‘แลกไม้’ ช่วยให้กะเทยสมหวัง ถือเป็นความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นชั่วขณะ ได้กันแล้วก็แล้วกันไป เมื่อ ‘หมอลำ’ เปลี่ยนหมู่บ้านแสดงไม่มีวันที่กะเทยจะยอมกับผู้บ่าวซ้ำหน้า” ผศ.ดร.พรเทพ ระบุ ก่อนบอกว่าเพราะกะเทยมีนิยามประจำตัว ‘ผู้บ่าวในโลกนี้กินเท่าไหร่ก็กินไม่หมด’
ที่สำคัญยังเกิดนิยามเชิงบวกในงานวิจัยชิ้นนี้ด้วยว่า “เกิดกี่ชาติขอให้เป็นกะเทยและเกิดในท้องถิ่นอีสาน”
โดยสรุป พื้นที่หมอลำได้ถูกทำให้เป็นพื้นที่พิเศษที่ไร้เพศเชิงสังคมและวัฒนธรรมแล้วนั่นเอง .
ที่มาภาพ: upyim
