ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ : โมเดลปฏิรูปการเมืองของพันธมิตร
“..ที่ผ่านมา ฝ่ายรัฐบาลเห็นแต่ประโยชน์ตัวเอง ในสภาก็ยกมือออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม แก้ไขรัฐธรรมนูญ ลดการตรวจสอบเพิ่มอำนาจรัฐ...มาที่ฝ่ายค้าน เขาไม่เคยพูดเรื่องการปฏิรูปประเทศ พูดแค่ระบอบทักษิณเลวร้ายอย่างไรอย่างเดียว เมื่อเป็นสงครามขั้วอำนาจเช่นนี้ พธม.ก็ต้องถอนตัวออกมา เพราะไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการแล้วในตอนนี้...”

(ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์)
ในวาระที่ใครๆ ก็พูดถึงแต่เรื่องการ “ปฏิรูปประเทศ” เริ่มจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ชักชวนฝ่ายต่างๆ ให้ร่วมเวทีสภาปฏิรูป โดยมอบหมายให้ “บรรหาร ศิลปอาชา” อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ดูแลในภาพรวม
กระทั่ง “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พธม.)” ที่แกนนำประกาศยุติบทบาท ในแถลงการณ์ฉบับสุดท้าย ก็ยังพูดถึงการ “ปฏิรูปประเทศ” หลายครั้งหลายครา
อย่าไรก็ตาม โมเดลการปฏิรูปประเทศของ พธม. ดูเหมือนจะต่างจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชนิดคนละทาง
เพราะในขณะที่ “สภาปฏิรูป” ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ จะถูกตั้งและนำโดย “นักการเมือง” ข้อเสนอเรื่องการปฏิรูปประเทศของ พธม. กลับปฏิเสธ "ระบบการเมือง" ไทยในปัจจุบัน เพราะมองว่า ทำให้เกิดเผด็จการรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้ง
“ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์” โฆษก พธม. จะมาอรรถาธิบายว่า การปฏิรูปในนิยามของ พธม.คืออะไร และจะนำไปสู่อะไร
00000
- แนวคิดเรื่องยุติบทบาทแกนนำ พธม.และเดินหน้าไปสู่การปฏิรูปประเทศเริ่มต้นเมื่อใด ก่อนหรือหลังเจรจากับตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.)
เราคิดมาตั้งแต่ปี 2551 แล้ว แต่ไม่มีใครตอบสนอง จากนั้นก็มีแถลงการณ์ พธม. ฉบับวันที่ 3 ก.ค.2554 ที่ระบุว่าเราต้องการการเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง ตอนนั้นเราก็ตั้งพรรคการเมือง (พรรคการเมืองใหม่ หรือ ก.ม.ม.) แต่ภายหลังเห็นว่าไม่มีโอกาสประสบความสำเร็จในระบบการเมืองเวลานั้น จึงตัดสินใจชูเรื่องโหวตโน ซึ่งเป็นการปฏิเสธ พธม.จึงไม่มีความคิดเรื่องข้างอีกต่อไป
จนเวลาผ่านมา เมื่อถึงบริบทนี้เราจึงคิดว่า การเก็บพลังไว้ไม่มีประโยชน์ เราจึงยุติบทบาทแกนนำ พธม.ซึ่งเป็นหนทางที่ดีที่สุด เพราะถ้าเราเก็บเอาไว้ วิธีปฏิรูปประเทศก็มีแค่ 3 ทาง 1.รัฐประหาร ซึ่งถ้ารัฐประหารมาแล้วปฏิรูปประเทศก็จะมีประโยชน์ แต่ที่ผ่านมาไม่เคยเป็นอย่างนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นอำนาจตัวเอง ผลประโยชน์ของพวกพ้อง ซึ่งก็เป็นความเสี่ยงมากที่จะรัฐหารตอนนี้ เราเลยเคลื่อนไหวคัดค้านการรัฐประหารเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง 2.ประชาชนเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส ล้มสลายทั้งสังคม เช่น ปัญหาเศรษฐกิจจากประชานิยมสุดขั้ว ที่อาจทำให้ประชาชนเดือดร้อนทั้งประเทศ แต่ต้นทุนความเสียหายกรณีนี้จะแพงมาก และ 3.ขั้วใดขั้วหนึ่ง ไม่ว่ารัฐบาลหรือฝ่ายค้าน ที่มีมวลชนของตัวเอง มีความคิดเสียสละเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ประเทศจะสงบทันที
แต่ที่ผ่านมา ฝ่ายรัฐบาลเห็นแต่ประโยชน์ตัวเอง ในสภาก็ยกมือออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม แก้ไขรัฐธรรมนูญ ลดการตรวจสอบเพิ่มอำนาจรัฐ ถ้ารัฐบาลเสียสละ ถอนกฎหมายเหล่านี้ออก พธม.ก็พร้อมจะเจรจา มาที่ฝ่ายค้าน เขาไม่เคยพูดเรื่องการปฏิรูปประเทศ พูดแค่ระบอบทักษิณเลวร้ายอย่างไรอย่างเดียว เมื่อเป็นสงครามขั้วอำนาจเช่นนี้ พธม.ก็ต้องถอนตัวออกมา เพราะไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการแล้วในตอนนี้
- โมเดลปฏิรูปประเทศของ พธม.คืออะไร อยากให้ยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม
มันต้องเป็นเรื่องระดับประชาชาติ เช่น เรื่องทรัพยากรปิโตรเลียม เรามีความคิดว่าทำไมทรัพยากรของชาติถึงตกไปอยู่ในมือของผู้รับสัมปทานให้ได้รับผลประโยชน์มากมายมหาศาลทั้งๆ ที่ส่วนใหญ่เป็นคนต่างชาติ ค่าภาคหลวงต่ำ ประชาชนให้ราคาก๊าซแพง ไม่เป็นธรรม ทำไมเราไม่ปฏิบัติเหมือนที่ละตินอเมริกาทำ คือค่าภาคหลวง 80% ประชาชนในประเทศได้ใช้พลังงานที่มีราคาเหมาะสมกับฐานะของประเทศ เช่นมาเลเซียใช้เบนซินลิตรละ 20 บาทเท่านั้น เราก็ควรจะได้ใช้เบนซินราคาเช่นนี้ มันต้องสู้เพื่อประชาชาติ 65 ล้านคน สู้แบบนี้ไม่มีขั้ว ไม่มีสี
ทำนองเดียวกัน การยุติบทบาท พธม. มันจะทำให้เกิดเวทีปฏิรูปโดยธรรมชาติ อีกสักพักจะเกิดการรวมตัวที่หลากหลายมากขึ้น ลำพังการมีร่มที่เรียกว่า พธม.ซึ่งเคลื่อนไหวได้รับความสำเร็จมาหลายปี มันไปกลบกระแสอื่นจนหมดเลย การยุติบทบาทของแกนนำ พธม.ทำให้ทุกฝ่ายมีความหลากหลายมากขึ้น และมีโอกาสจะเกิดการปฏิรูปได้มากขึ้น ถ้าแกนนำพธม.ยังคงความโดดเด่น มันจะทำให้การเดินหน้าปฏิรูป ถูกระแวงด้วยสี ด้วยขั้ว
- ควรจะปฏิรูประบบการเมืองไทยอย่างไร
ไม่ควรจะเป็นเผด็จการมาจากการเลือกตั้ง หมายถึงรัฐบาลกับฝ่ายค้านรู้อยู่แล้วว่า ใครจะลงคะแนนด้วยเสียงเท่าไร วันนี้ไม่ว่าเรื่องอะไร รัฐบาลลงได้ 300 ส่วนฝ่ายค้านได้ 100 กว่าๆ เป็นประจำและต่อเนื่อง แปลว่าผู้ชนะก็จะชนะตลอดกาล และผู้แพ้ก็จะแพ้ตลอดการเช่นกัน ผมไม่คิดว่ากลไกคณิตศาสตร์แบบนี้ถูกต้อง มันต้องมีกลไกที่ทำให้เชื่อได้ว่าเวลาอภิปรายไม่ไว้วางใจ มันเกิดกลไกที่ไม่จำเป็นต้องอาศัยมติพรรคอย่างเดียว มันจะต้องมีตัวแทนประชาชนที่มีความหลากหลาย ซึ่งไม่ใช่แค่จากมติพื้นที่ซึ่งถูกครอบงำโดยมติพรรค มันต้องมีตัวแทนวิชาชีพ สังคม ภาคประชาชน หรือภาคการเคลื่อนไหวรายปัญหาเกิดขึ้น พร้อมจะลงมติไม่ไว้วางใจฝ่ายรัฐบาลได้ ไม่ใช่ทำอะไรก็ไม่มีวันผิด
อย่างนี้มันไม่ใช่ประชาธิปไตย แต่เป็นเผด็จการ ซึ่งจะทำให้รัฐบาลทำงานยากในอนาคต เพราะเมื่อทุกคนเชื่อว่า กลไกสภาล้มเหลว ทุกคนก็เลยคิดกระบวนการตรวจสอบขึ้นมามากมาย อาทิ ป.ป.ช. ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ตรวจการ กกต. ฯลฯ คือมีองค์กรอิสระเกิดขึ้นเยอะมาก จนฝ่ายรัฐบาลทำอะไรก็ถูกยื่นหมด เพราะไม่เชื่อว่ากลไกสภาตรวจสอบได้
ถ้าเราออกแบบใหม่ มีภาคประชาชนเข้ามาถ่วงดุล ให้เชื่อว่ากลไกสภาตรวจสอบได้จริง มันก็จะมีโอกาสทำให้เชื่อได้ว่าระบบรัฐสภาจะยังเป็นระบบที่รักษาความยุติธรรม เป็นสภาเหตุ สภาผลได้ ไม่ใช่สภาจำนวน ที่ผู้ชนะก็ชนะตลอดกาล
- โมเดลการปฏิรูปกลไกควรจะเป็นอย่างงไรให้เป็นสภาเหตุผลไม่ใช่สภาจำนวน
ยกตัวอย่างนะครับ เช่น 1.ที่กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์เคยเสนอให้เป็น จังหวัดจัดการตัวเองให้มากขึ้น นั่นหมายถึงการเพิ่มอำนาจ เพิ่มงบให้กับท้องถิ่น ไม่ใช่ท้องถิ่นไม่ทุจริต แต่จะเกิดการจัดการของชาวบ้านในเรื่องที่ใกล้ตัวมากขึ้น 2.ในสภา การเลือกตั้งไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรคการเมือง และ ส.ส.ไม่จำเป็นต้องมาจากมิติของพื้นที่และบัญชีรายชื่อภายใต้สังกัดพรรคอย่างเดียว ทำไมเราไม่คิดว่าประชาชนในประเทศนี้มีตั้งหลายอาชีพ ทำไมเขาไม่มีโอกาสปกป้องผลประโยชน์ของพวกเขา ทำไมคนพิการถึงไม่มีโอกาสต่อสู้ให้กับคนพิการในสภา ทำไมถึงไม่เคยมี ส.ส.ที่เป็นตัวแทนเกษตรกรหรือแรงงานจริงๆ มีแต่นักการเมืองที่โปรยผลประโยชน์ให้กับคนเหล่านี้ ด้วยการซื้อสิทธิขายเสียง แล้วนำภาษีของประชาชนมาปรนเปรอผ่านนบ.ของรัฐ นำไปสู่การทจริตและแก้ไขนโยบายเพื่อประโยชน์ส่วนตน เป็นตัวอย่างว่าการถ่วงดุลต้องเกิดขึ้นจริง ไม่ใช่ทำกันแบบละคร ไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ สุดท้ายจบด้วยการยกมือ โดยรู้จำนวนล่วงหน้า
- อาจจะมีการเลือกตั้งกลุ่มอาชีพแบบปาร์ตี้ลิสต์
อาจจะมีการเลือกตั้งจากกลุ่มอาชีพ แต่ไม่ใช่ปาร์ตี้ลิสต์ เพราะปาร์ตี้ลิสต์ยังอยู่ในระบบพรรค แต่เป็นการเลือกตั้งจากกลุ่มอาชีพโดยตรง เขาอาจไม่มีสิทธิจัดตั้งรัฐบาล แต่มีสิทธิท้วงติงกฎหมาย ยกมือในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์คนแทบทุกวิชาชีพ ซึ่งทุกวันนี้มันเป็นการเล่นละคร
- ส.ส.ยังต้องมาจากการเลือกตั้ง
ขึ้นอยู่กับสังคมว่าต้องการรูปแบบไหน แต่ไม่ได้แปลว่าจะต้องมีการเลือกตั้งหรือแต่งตั้งเสมอไป แต่เป็นตัวแทนทุกกลุ่มอาชีพซึ่งมีที่มาที่ไป ไม่ซ้ำกับกลุ่มการเมืองในเวลานี้
- เหมือนโมเดล 70:30 ของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำ พธม. (ข้อเสนอเรื่องการเมืองใหม่ ที่ให้ ส.ส.มาจากการเลือกตั้งแค่ 30% ส่วนอีก 70% มาจากการสรรหา)
นั่นเป็นการยกตัวอย่างของคุณสนธิคนเดียว ไม่มีอยู่ในแถลงการณ์ หลังจากแกนนำ พธม.หารือก็เห็นตรงกันว่าจะต้องมีส.ส.จากกลุ่มอาชีพ ซึ่งไม่จำเป็นต้องมาจากการเลือกตั้งอย่างเดียว บางสาชาอาชีพอาจต้องมาจากการคัดสรรจริงๆ เช่น ความเป็นวิชาชีพต้องมีการเทสต์เพื่อให้รู้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญโดยตรง ซึ่งไมจำเป็นต้องมาจากการเลือกตั้ง เช่น วิศวกร ซึ่งอาจต้องวัดความเป็นวิชาชีพ ว่าอยู่ระดับชั้นไหน ทำงานมากี่ปี มีผลงานแค่ไหน บางทีอาจไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง. นี่คือตัวอย่าง ขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการใคร ต้องการคนที่ไม่อยู่ภายใต้อาณัติการครอบงำของฝ่ายการเมืองหรือฝ่ายรัฐบาล
- อาจจะให้องค์กรวิชาชีพ เช่น สมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ส่งคนมาเป็น ส.ส.ได้เลย
ก็เป็นไปได้ ถ้าเขาเห็นว่าเป็นคนที่เหมาะสม มันก็จะทำให้เกิดความหลากหลายในการท้วงติงในสภา คนที่ไม่เคยมีโอกาสมาก่อนจะได้มีเวทีในการพูด ชาวสวนยางจะได้มีโอกาสพูด ชาวไร่อ้อยก็จะมีโอกาสพูด ส่วนวิธีการเลือกตั้งก็อาจจะมีบัตร 2 ใบ ใบแรก เลือกนักการเมือง ใบที่สอง เลือกตามสาขาอาชีพ
- ควรจะให้น้ำหนักแต่ละกลุ่มเท่าไร
เขาต้องตอบคำถามได้ว่า ไม่ใช่เขายึดสภา 300 แล้วชนะ มันเท่ากับไม่มีเหตุไม่มีผล สมมุติ สภามี ส.ส.จากนักการเมือง 500 คน มี ส.ส.จากสาขาอาชีพอีก 300 คน สถานการณ์จะเปลี่ยนไปนะครับ การผ่านกฎหมายแต่ละครั้ง การอภิปรายไม่ไว้วางใจ คุณต้องได้ใจ ได้เหตุได้ผล จากตัวแทนสาขาอาชีพอย่างแท้จริง มันก็มีโอกาสที่จะพลิก ถ้าคุณเลวร้ายจริงๆ จนสังคมรับไม่ได้
- คนที่เป็นนายกรัฐมนตรีอาจไม่ได้มาจากพรรคที่ชนะเลือกตั้ง เพราะ ส.ส.จากสาขาอาชีพอาจไม่เลือกคนๆ นั้น
สาขาอาชีพไม่ใช่ผู้กำหนดนโยบายหรือรัฐบาล ดังนั้นพรรคที่ชนะเลือกตั้งควรจะเข้ามาเป็นฝ่ายบริหาร เวลาเลือกนายกฯ ส.ส.จากสาขาอาชีพอาจจะไม่ได้มีบทบาท ไม่เช่นนั้นจะมีส่วนได้ส่วนเสีย ถูกมองว่าอยู่ข้างไหน เขาจะไม่มีโอกาสเป็นรัฐมนตรี เป็นฝ่ายนิติบัญญัติอย่างเดียว ทำหน้าที่ตรวจสอบอย่างเดียว ทั้งการตรากฎหมาย การอภิปรายไม่ไว้วางใจ เป็นต้น การถ่วงระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติก็จะเกิดขึ้น จากเดิมที่อย่างไรก็ชนะ
และผมยังคิดว่า การโหวตอภิปรายไม่ไว้วางใจควรจะต้องโหวตลับด้วยซ้ำไป เพื่อให้การโหวตไม่อยู่ภายใต้อาณัติของพรรค รวมถึงที่คนมองว่าปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นเรื่องใหญ่ มันควรจะไม่ให้มีอายุความ แต่ไม่เคยเห็นนักการเมืองคนไหนพูดสักคน นี่คือสิ่งที่ผมยกตัวอย่างว่าถ้าจะปฏิรูปจะต้องเปลี่ยนทั้งโครงสร้าง.
00000
