ฟัง “คนใน” สวนโมกข์ ไขปมความขัดแย้ง กับความลับของ “เจ้าอาวาส”
“..ที่สวนโมกข์มีเรื่องแบบนี้ประจำ เพราะสวนโมกข์มีความเป็นวิญญาณของป่า ลูกแมวหายประจำ งูเหลือมชอบเหลือเกิน วิธีกินมันทำยังไงรู้ไหม มันจะกระดิกหางหยอกลูกแมวให้เข้าไปเล่น แต่หัวมันอ้อมไปด้านหลัง อ้าปากงับแล้วก็รัดกลืนลงไปทั้งตัว ได้ยินเสียงร้องลูกแมวแค่ครั้งเดียวก็เรียบร้อย นั่นคือสวนโมกข์ในตอนนี้ .."
(ภาพจาก siamsouth)
ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสวนโมกขพลาราม จ.สุราษฎร์ธานี เวลานี้
กำลังเป็นสิ่งที่คนในสังคมให้ความสนใจและตั้งคำถามว่าปัญหาที่แท้จริงเกิดจากอะไรหรือใครกันแน่ ?
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ได้รับการเปิดเผยข้อมูลจาก “คนใน” สวนโมกข์ เพื่อ “ไขปริศนา” ความสงสัยในเรื่องต่างๆ ที่ซ่อนเร้นอยู่หลังม่าน สวนโมกข์ แห่งนี้
“สิ่งที่เป็นข่าวอยู่ตอนนี้เป็นแค่น้ำจิ้ม มันเป็นงูที่เราเห็นหางมันอยู่ไวๆ แต่ยังไม่เห็นหัว ทั้งที่ ส่วนหัวมันกำลังอ้อมมาข้างหลังเราและแผ่แม่เบี้ยไม่ให้เรารู้ตัว เหมือนเราเป็นแมวที่ถูกงูเหลือมกิน”
"คนใน" สวนโมกข์ กล่าวเปิดประเด็นเกี่ยวกับปัญหาความขัดแย้งในเกิดขึ้นในสวนโมกข์
ก่อนจะขยายความต่อว่า “ที่สวนโมกข์มีเรื่องแบบนี้ประจำ เพราะสวนโมกข์มีความเป็นวิญญาณของป่า ลูกแมวหายประจำ งูเหลือมชอบเหลือเกิน วิธีกินมันทำยังไงรู้ไหม มันจะกระดิกหางหยอกลูกแมวให้เข้าไปเล่น แต่หัวมันอ้อมไปด้านหลัง อ้าปากงับแล้วก็รัดกลืนลงไปทั้งตัว ได้ยินเสียงร้องลูกแมวแค่ครั้งเดียวก็เรียบร้อย นั่นคือสวนโมกข์ในตอนนี้ เรากำลังมองเห็นแค่หางงูเท่านั้นเอง บนยอดเขาพุทธทองเป็นแค่น้ำจิ้ม ของจริงยังไม่มีใครพูดถึง”
“คนใน” สวนโมกข์ รายนี้ ยังกล่าวเป็นปริศนาว่า “ไปทวงถามท่านเจ้าอาวาส (พระอธิการสุชาติ ปัญญาทีโป) ได้เลยว่าปลายเดือนมิถุนายน 2556 มีใครไปพูดในที่สาธารณะว่าสวนโมกข์กับธรรมทานมูลนิธิกำลังมีปัญหาเรื่องเงิน แล้วคนที่พูดนั้น ก็พูดด้วยว่าจำเป็นจะต้องเข้ามาบริหารจัดการหรือมีส่วนในการบริหารจัดการ”
"คนใน" สวนโมกข์ รายนี้ ยังย้ำว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เมื่อเขาพูดในที่สาธารณะแล้วย่อมหมายความว่าในไม่ช้าต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับสวนโมกข์แน่ๆ
“เพราะถ้าพูดในที่สาธารณะแล้วมันก็ต้องมีเหตุเกิดขึ้นเพื่อให้เกิดความชอบธรรมแก่คนพูด ซึ่งในเวลาต่อมาก็เป็นจริง เพราะปัจจุบันการบริหารของสวนโมกข์ก็มีคนนอกเขาไปยุ่งเกี่ยวจริง เพราะท่านอาจารย์สุชาติ ท่านไม่เจนจัดในการบริหาร”
"คนใน" สวนโมกข์ รายนี้ ย้อนความให้ฟังว่า เมื่อครั้งที่พระอาจารย์สุชาติรับตำแหน่งใหม่ๆ พระอาจารย์สุชาติมีความกังวล นอกจากไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับการบริหารแล้ว อีกส่วนหนึ่งก็เนื่องมาจากท่านเห็นว่านายเมตตา พานิชซึ่งเป็นไวยาวัจกรในช่วงที่ท่านอาจารย์โพธิ์เป็นเจ้าอาวาสนั้น นายเมตตาเป็นผู้ดูแลทุกอย่างคนเดียว แล้วในสายตาของพระ นายเมตตาดูไม่ค่อยมีมนุษสัมพันธ์ทำให้พระอาจารย์สุชาติเปลี่ยนไวยาวัจกรใหม่ โดยแต่งตั้งขึ้นมา 5 คน และในช่วงนี้เอง มีเหตุการณ์หนึ่งบังเอิญเกิดขึ้นใกล้เคียงกัน คือคุณเมตตาไม่ได้นำเอาบัญชีมาให้พระอาจารย์สุชาติดู เพราะพระอาจารย์สุชาติไม่เคยแสดงความประสงค์จะขอดูกับนายเมตตา
“เหตุการณ์นี้เองทำให้นายเมตตาถูกกล่าวหาว่าไม่โปร่งใส ซึ่งมันแล้วแต่มุมมองของคน แต่ข้อเท็จริงก็คือ เป็นเพราะท่านอาจารย์สุชาติท่านไม่ได้แสดงบทบาทที่จะขอเรียกดูบัญชีนั้นเลยตลอดช่วงระยะเวลา 3-4 เดือนที่ท่านได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส”
อย่างไรก็ตาม เมื่อพระที่ปรึกษาที่พระอาจารย์สุชาติไว้วางใจ ขอเรียกดูบรรณบัญชีทางการเงินของวัด นายเมตตาก็ให้ดูครบถ้วนและให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
"คนใน" สวนโมกข์ รายนี้ ยังให้ข้อมูลด้วยว่า ภายหลังได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสตั้งแต่ต้นปี 2556 ตลอดระยะเวลา 3 เดือนแรกที่ได้รับแต่งตั้ง ท่านเจ้าอาวาสไม่กล้าทำอะไรเลย
“ท่านละล้าละลัง เพราะท่านไปอยู่นอกสวนโมกข์มา 10 กว่าปี แล้วท่านเป็นพระที่ศึกษาในสายปฎิบัติธรรม ไม่ใช่พระบริหาร ในเรื่องนี้ท่านยอมรับ ท่านจึงมีความวิตกกังวล ที่จะต้องรับตำแหน่งเจ้าอาวาส ประกอบกับในอดีตที่ ผ่านมา 20 ปี อาจารย์โพธิ์ ท่านเจ้าอาวาสท่านเดิมที่ท่านพุทธทาสภิกขุมอบหมายให้เป็นเจ้าอาวาส ก็ยึดปณิธานของท่านพุทธทาสเป็นสำคัญ เรื่องราวการบริหารในวัด ท่านอาจารย์โพธิ์ก็ให้นายเมตตา พานิชซึ่งเป็นหลานของท่านพุทธทาส มารับหน้าที่เป็น ไวยาวัจกร มาดูแลการเงินของวัดธารน้ำไหล โดยมีท่านจ้อยเป็นฎีกามณเฑียร ท่านจ้อยนี้ถือเป็นผู้ปฏิบัติใกล้ชิดท่านพุทธทาสมาตลอด คอยดูแลด้านธุรการในวัด คอยดูแลเคาเตอร์ประชาสัมพันธ์ โดยรวมแล้วท่านจ้อยคอยดูแลกิจต่างๆ ของสงฆ์ ส่วนนายเมตตาก็ดูแลเรื่องการเงิน”
“ความจริงแล้ว คุณนายเมตตา เป็นคนที่มีผูกพันและหวงแหนสวนโมกข์ มีแนวคิดในเชิงอนุรักษ์ ไม่ต้องการให้มีความเปลี่ยนแปลงในเชิงวัตถุ และมีความเจ้าระเบียบ ทำให้พระในสวนโมกข์ไม่สะดวกใจบ้างในบางเรื่องบางราว ท่านตึงเกินไป ท่านอาจารย์สุชาติ ท่านก็รู้สึกว่า ถ้าท่านเป็นเจ้าอาวาส ท่านก็ต้องเปลี่ยนไวยาวัจกร แต่งตั้งขึ้นมาใหม่มี 5 คน”
"คนใน" รายนี้กล่าวว่าสิ่งที่ตนได้รับรู้นั้น คือ ความหวั่นกลัวของพระอาจารย์สุชาติ ที่ไม่ว่าใครเอาเอกสารมาให้เซ็น ท่านก็ไม่กล้าเซ็น ท่านกลัวความผิดพลาด ถ้าผิดพลาดก็โดนทั้งวินัยพระและกฎหมายทางโลก นี่จึงเป็นเหตุที่ทำให้ท่านไม่กล้าทำอะไร และตัดสินใจนำเรื่องต่างๆ นี้ไปปรึกษาคนข้างนอกนอกในท้ายที่สุด บางคนจึงมองว่าคล้ายกับการชักศึกเข้าบ้าน เพราะผู้ที่เข้ามามาในรูปแบบระบบราชการที่ครอบงำ และผู้ที่เข้ามาจากภายนอกนี้ ก็มีส่วนในการตัดสินใจและทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในสวนโมกข์เวลานี้
นอกจากนี้ ยังมีอีกปัญหาหนึ่งเกิดขึ้น ซึ่งแสดงถึงความอ่อนแอของคนในสวนโมกข์เอง กระทั่งทำให้คนข้างนอกเข้ามาแทรกแซงได้ นั่นก็คือ แม้จะตั้งไวยาวัจกรขึ้นมา 5 คนแล้ว แต่ก็เกิดเหตุการณ์ที่พระอาจารย์สุชาติ ปลดไวยาวัจกรคนหนึ่งอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งเรื่องนี้สังคมข้างนอก ยังไม่ค่อยรับรู้
“ท่านสุชาติมีการปลด ไวยาวัจกรคนหนึ่งแล้ว ปลดอย่างไม่สง่างาม เนื่องจากถูกชี้นำจากผู้ที่มีบทบาทจากข้างนอก เขาบอกท่านอาจารย์สุชาติว่าไวยาวัจกรคนนี้ทำให้ระบบการเงินไม่เรียบร้อย ก็เลยปลดเขา ทั้งที่จริงแล้วเขาเป็นคนที่มีความเข้าใจในบัญชีต่างๆ ของสวนโมกข์ เพราะอยู่มานาน เป็นคนเก่าคนแก่ และไวยาวัจกรคนนี้เป็นคนตรงๆ เขารู้หมดว่าบัญชีอะไร อยู่ตรงไหน มีที่มาอย่างไร แต่คนที่เข้ามาชี้ขาดเรื่องนี้เป็นคนจากข้างนอก ที่ไม่ได้มองความเป็นมาตลอดทั้งเรื่อง ทำให้เจ้าอาวาสปลดคนๆ นี้ทั้งที่เขาไม่ผิด”
"คนใน" ยังกล่าวว่าเรื่องนี้ มีรายละเอียดคือเดิมทีท่านสุชาติ ไม่อยากบริหารงาน เพราะท่านไม่อยากเซ็นบัญชีต่างๆ เซ็นเอกสารต่างๆ เนื่องจากกลัวผิดพลาด ในที่สุดจึงตัดสินใจใช้วิธีมอบอำนาจ โดยจะมีใบมอบอำนาจที่กำกับไว้ชัดเจนว่าทำอะไร แค่ไหน ไม่ให้ผิดวินัยสงฆ์และกฏหมายบ้านเมือง เมื่อมอบอำนาจให้ใครแล้ว หากมีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้น โดยที่เจ้าอาวาสไม่รู้เห็น เจ้าอาวาสก็บริสุทธิ์ แต่แม้จะมีใบมอบอำนาจทุกอย่างก็ยังตรวจสอบได้ ไม่ต่างกับการที่ตำรวจผู้น้อยทำผิด แล้วอธิบดีกรมตำรวจไม่ได้ถูกให้ออก เมื่อเป็นแบบนี้ ท่านก็พร้อมทำงาน ไม่ต้องกลัวว่าจะเซ็นอะไรผิดแล้ว
“ท่านก็เลือกผู้ที่ท่านไว้วางใจมา 5 คน ให้เป็นไวยาวัจกร แล้วท่านเป็นผู้มอบอำนาจ ด้วยเหตุนี้ท่านจึงตัดสินใจทำงาน ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงทางธนาคาร ท่านก็สามารถทำได้ แต่คนที่โดนปลดนั้น เขาโดนปลดเพราะเขานำแบบฟอร์มของธนาคารมาให้ท่านเซ็น โดยไม่มีใบมอบอำนาจอีกใบ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีอะไรเสียหาย เพราะสิ่งที่เซ็นนั้น ผ่านการพูดคุยและหารือกันมาแล้ว สามารถเขียนมอบอำนาจในเรื่องนี้อีกครั้งภายหลังได้ แต่ท่านกลัว ว่าไม่มีใบมอบอำนาจติดมาด้วย ท่านก็ไปปรึกษาคนข้างนอกอีก เขาก็หาว่าไวยาวัจกรคนนี้ หลอกลวงท่าน คนที่อยู่นอกวัดเขาบอกว่าทำแบบนี้ผิด ทั้งที่ไวยาวัจกรคนนั้นไม่ผิด เขาแค่พลาดที่คิดว่าท่านสุชาติจำได้ ว่าที่เซ็นนั้น ท่านก็รู้ว่าเป็นเรื่องที่เคยพูดกันแล้ว”
ส่วนกรณีนายเมตตา แหล่งข่าวกล่าวยืนยันว่าการกล่าวหานายเมตตาว่าไม่ให้ความร่วมมือนั้น ไม่ถูกต้อง
“เปรียบเหมือนพระไม่บิณฑบาต แล้วโยมไม่ใส่บาตร แล้วจะไปว่าโยมได้อย่างไร แต่กลายเป็นว่ามีคนไปกล่าวประหนึ่งว่า คุณเมตตาไม่ให้ความร่วมมือ ซึ่งไม่ใช่ เพราะความจริงคือตลอด 3-4 เดือน ท่านเจ้าอาวาสท่านไม่ทำอะไร ไวยาวัจกรที่ท่านแต่งตั้งใหม่ ท่านก็ไม่เรียกมาประชุม ไม่เรียกมาจ่ายงาน มันอึมครีม อยู่ 3-4 เดือน แต่พอท่านจะทำงาน ก็กลายเป็นว่าท่านกลับไปปรึกษาคนนู้น คนนี้ ไปปรึกษาคนนอกวัด คนนอกวัดก็บอกว่าผิดปกติแล้ว 5 เดือนผ่านมาแล้ว ทำไมไม่เอาบัญชีมาให้ดู ซึ่งความจริงคือท่านสุชาติไม่ถามคุณเมตตาเอง ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่อยู่ข้างนอกจึงถือโอกาสเข้ามาแสดงบทบาท ดังนั้น คนซึ่งมามีบทบาทในสวนโมกข์ตอนนี้คือคนที่มาตามระบบราชการ จึงเป็นสัญญาณอันตรายของสวนโมกข์ ทำให้พญานาคไปแผ่พังพานบนยอดเขาพุทธทอง บอกได้เลยว่า เรื่องพระอาจารย์ทองสุก เป็นแค่น้ำจิ้ม เรื่องนี้เรื่องใหญ่และน่ากลัวกว่า”
"คนใน" สวนโมกข์ รายนี้ ยังกล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า ความขัดแย้งภายในสวนโมกข์ ไม่ว่าจากกรณีที่นายเมตตายึดติดในการอนุรักษ์โดยไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ซึ่งปัจจุบันนายเมตตาก็ยอมรับในสิ่งที่ตนเคยทำมา หรือการที่พระรูปหนึ่งยึดติดความค้างคาใจที่มีมาแต่ในอดีตมานับ 20 ปี หรือแม้แต่ความกลัวของพระอาจารย์สุชาติ ที่ทำให้ต้องคอยรับฟังคนอื่นจนไม่เป็นตัวของตัวเองนั้น ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ ยังมิใช่ปัญหาซึ่งเป็นสาระสำคัญ เพราะเทียบไม่ได้เลย กับการคืบคลานเข้ามาของอำนาจจากภายนอกวัด
แต่สาระสำคัญของสวนโมกข์ตอนนี้คือ มีภัยของพระศาสนา เป็นภัยจากภายนอก แต่ที่เป็นข่าวอยู่คือข่าวภายใน ซึ่งเป็นแค่หางงู ทั้งที่ส่วนหัวมันแผ่พังพานรออยู่อย่างเงียบกริบ
“คนที่รู้ถึงเหตุการณ์นี้มีน้อยมาก และมันเป็นเรื่องสำคัญ แม้แต่ส.ศิวรักษ์ก็ไม่รู้ จึงอยากฝากไปถึง ส.ศิวรักษ์ว่าขอให้ ส.ศิวรักษ์ ช่วยติดตามเรื่องนี้ด้วย จะเป็นประโยชน์ของงานท่านพุทธทาสอย่างแท้จริง เรื่องยอดเขาพุทธทองนี่แค่น้ำจิ้ม เพราะมันจะมีเรื่องใหญ่ตามมาและจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกมากในอนาคต ถ้าเราไม่ช่วยกันขบคิด หยิบปณิธาน ของท่านพุทธทาสขึ้นมาคุยกัน ไม่เช่นนั้น ปณิธานของสวนโมกข์จะไม่เหลือ เหลือแต่คนนอกที่หนีบเอากฏหมายราชการเดินเข้ามา หนีบเอาความรู้มาแล้วบอกว่าสวนโมกข์จะต้องทำแบบนั้น”
“แบบนี้ ถ้าเราปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป อนาคตอาจจะมีรูปปั้นพญานาคเลื้อยลงมาจากยอดเขาพุทธทอง อาจจะมีเจ้าอาวาสมาจากไหนก็ไม่รู้ หรืออาจจะเป็นอย่าง ส.ศิวรักษ์ พูด คืออาจจะมีเซียมซีขอหวยท่านพุทธทาส แล้วถ้าอย่างนั้น สิ่งที่ท่านพุทธทาสอุทิศทั้งชีวิตจะไปอยู่ไหน” "คนใน" สวนโมกข์ระบุ