"แคน สาริกา" ตีแผ่ “สื่อลาว” หลังม่าน “สังคมนิยม”
"...แต่สิ่งที่น่าสนใจ คือคนที่นี่ (คนลาว) มักนิยามรับและเสพข่าวสารส่วนใหญ่จากไทย โดยจะรับสัญญาณจากไทยโดยตรง ไม่เพียงแค่ข่าวเท่านั้น ในสภากาแฟของเขา จะพูดถึงการเมืองไทย ไม่ว่าจะทักษิณ ชินวัตร อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อีกทั้งยังมีการแบ่งเป็นฝ่ายเสื้อเหลือง-เสื้อแดง อย่างตอนเหตุการณ์ นปช.ชุมนุมปี 2552-2553 คนลาวก็ก็ให้ความสนใจมาก แล้วนำมาเปรียบเทียบกับบ้านเขา แล้วคิดว่าดีแล้วที่บ้านเขาเป็นแบบนี้ อยู่กันแบบนี้ไปเถอะ ถึงไม่มีปากไม่มีเสียง...”

(แคน สาริกา)
แม้ในเชิงมติสังคม วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ กระทั่งภาษาที่ใช้ ของ “ไทย” กับ “ลาว” หรือสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) จะมีความใกล้เคียงกันมาก ทว่าประเทศที่มีประชากรราว 6 ล้านคนแห่งนี้ กลับมีมิติที่น่าสนใจ โดยเฉพาะการทำหน้าที่ของ “สื่อลาว” เบื้องหลังม่านการปกครองแบบ “สังคมนิยมคอมมิวนิสต์”
ราชดำเนิน จึงนัดขอความรู้จาก “บัณฑิต จันทศรีคำ” หรือ “แคน สาริกา” บก.อาวุโสและคอลัมนิสต์สื่อเครือเนชั่น ผู้เดินทางเข้าๆ ออกๆ ไทย-สปป.ลาว กว่า 2 ทศวรรษ จนคุ้ยเคยกับการเมือง การปกครอง รวมถึงสภาพสังคมภายใน สปป.ลาวเป็นอย่างดี เพื่อให้ฉายภาพการทำงานของสื่อลาว ในจังหวะเวลาที่ประชาคมอาเซียน (เอซี) จะมาถึงใน 2 ปีข้างหน้า
บัณฑิตเริ่มให้ข้อมูล โดยการอธิบายว่า เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า สปป.ลาวปกครองแบบระบบพรรคการเมืองเดียว คือมีพรรคประชาชนปฏิวัติลาวเป็นองค์กรชี้นำประเทศ แม้ด้านเศรษฐกิจระยะหลังจะเปิดกว้างขึ้นบ้าง แต่สมัยก่อนเข้มงวดมาก ตนเริ่มทำไปข่าวเมื่อปี 2534 สมัย “ไกสอน พมวิหาน” เป็นประธานประเทศลาว จะไปไหนถ่ายรูปสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ ทุกอย่างต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของบ้านเขาทั้งหมด
“ดังนั้นสื่อลาวก็คือสื่อที่รับใช้พรรค รับใช้การปฏิวัติ ที่จะนำเสนอ จะพูด จะเขียนอะไร ต้องอยู่ในกรอบที่พรรคกำหนด ส่วนหลักเสรีภาพที่บ้านเรายึดถือนักหนา เขากลับวางไว้เป็นเรื่องรอง”
โดยในส่วนของสถานีโทรทัศน์ มีทีวีของรัฐที่คนลาวเรียก “โทรภาพแห่งชาติ” มีช่องหลักๆ คือ ช่อง 1 กับช่อง 3 ซึ่งแต่ละช่องจะมีสาขาย่อยไปตามภูมิภาคอีกกว่า 20 ช่อง ส่วนทีวีเอกชน มี 3 ช่อง ได้แก่ “ลาวสตาร์” “เอ็มวีลาว” และ “ทีวีลาว”
ด้านหนังสือพิมพ์จะเป็นของรัฐทุกฉบับ อาทิ “ประชาชน” “เวียงจันทน์ใหม่” ที่เป็น นสพ.เก่าแก่ ช่วงหลังก็มี “ลาวพัฒนา” “เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ” “กองทัพประชาชน” ซึ่งทุกฉบับล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของ “กระทรวงแถลงข่าว วัฒนธรรมและท่องเที่ยว” ที่ต้องเสนอข่าวของรัฐ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “ข่าวพีอาร์” จะมีอิสระบ้าง ก็เป็นเรื่องของการรับเรื่องร้องเรียนความเดือดร้อนของประชาชน หรือเหตุการณ์อาชญากรรมที่สามารถนำเสนอได้ แต่เรื่องที่ไม่ควรแตะต้องด้วยประการทั้งปวงคือการเมือง และนโยบายของรัฐ
“สื่อรับใช้พรรค รับใช้ปฏิวัติ รับใช้ประเทศชาติ!” คือสโลแกนที่เป็นจุดยืนของ “สื่อลาว”
เขาว่า การทำหน้าที่ของสื่อที่นี่ ต้องเป็นไปเพื่อรับใช้รัฐเท่านั้น ซึ่งเป็นการปลูกฝังกันมาตั้งแต่ตอนที่เรียนวิชาชีพสื่อ ที่ผู้ประกอบอาชีพสื่อที่นี่จะยอมรับว่าเป็น “หน้าที่” และไม่มีการคิดอื่นไกลไปกว่านี้
“แต่สิ่งที่น่าสนใจ คือคนที่นี่มักนิยามรับและเสพข่าวสารส่วนใหญ่จากไทย โดยจะรับสัญญาณจากไทยโดยตรง ไม่เพียงแค่ข่าวเท่านั้น ในสภากาแฟของเขา จะพูดถึงการเมืองไทย ไม่ว่าจะทักษิณ ชินวัตร อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อีกทั้งยังมีการแบ่งเป็นฝ่ายเสื้อเหลือง-เสื้อแดง อย่างตอนเหตุการณ์ นปช.ชุมนุมปี 2552-2553 คนลาวก็ก็ให้ความสนใจมาก แล้วนำมาเปรียบเทียบกับบ้านเขา แล้วคิดว่าดีแล้วที่บ้านเขาเป็นแบบนี้ อยู่กันแบบนี้ไปเถอะ ถึงไม่มีปากไม่มีเสียง”
แคน สาริกา ยังกล่าวว่า แต่ใช้ว่าคนที่นี่จะถูกกักขังในสังคมที่ปิดหู-ปิดตาเสียทีเดียว เพราะยังมี “สื่อทางเลือก” ได้แก่ “สถานีวิทยุเอเชียเสรี ภาคภาษาลาว” และ “วอยซ์ ออฟ อเมริกา” (วีโอเอ) เป็นทางเลือกให้ผู้เสพข่าวสารได้โบยบินไปยังโลกภายนอก
“ทั้งเอเชียเสรีและวีโอเอ ล้วนมีสถานีอยู่นอก สปป.ลาว แต่เป็นสื่อทางเลือกที่คนที่นี่นิยมในยุคนี้ แน่นอนว่ารัฐบาลลาวย่อมไม่ชอบใจ ที่มีกระบอกเสียงแปลกแยกเช่นนี้ แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะไม่ใช่สื่อของคนลาว”
ซึ่งในส่วนเอเชียเสรีก่อตั้งโดยคนลาวที่อพยพออกนอกประเทศสมัยสงครามเย็น โดยมีการเผยแพร่ข่าวสารและบทวิเคราะห์เรื่องราวภายใน สปป.ลาวไปทั่วโลก โดยเฉพาะกรณี “สมบัด สมพอน” นักพัฒนาชุมชนรางวัลแมกไซไซ ที่ถูกอุ้มหายสาบสูญ เอเชียเสรีก็จะเกาะติดประเด็นและนำเสนออย่างต่อเนื่อง ขณะที่วีโอเอ มีสำนักงานอยู่ที่สหรัฐอเมริกาก็ดำเนินการโดยคนลาวที่อพยพไปยังสหรัฐฯ ซึ่งต้องการจะมีประชาธิปไตยแบบไทย ต่อต้านคอมมิวนิสต์ โดยเนื้อหาที่วีโอเอนำเสนอจะหลากหลาย ครอบคลุมทุกด้าน อย่างไรก็ตาม เพียงสถานีวิทยุแค่ 2 แห่ง คงไม่สามารถสั่นคลอนเสถียรภาพของรัฐบาลได้
บัณฑิต กล่าวอีกว่า ในมุมมองของเขาที่เข้าออก สปป.ลาวจนเป็นเพื่อนสนิท เห็นว่าลาวโชคดีกว่าไทย เพราะเรามีสื่อเยอะเกินไปจนควบคุมไม่ได้ ทั้งสถานีดาวเทียมกว่า 400 ช่อง วิทยุชุมชนอีก 7-8 พันแห่ง แต่จะใช้วิธีคุมสื่อแบบรัฐบาลก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะรากฐานของทั้ง 2 ประเทศแตกต่างกัน
“สื่อไทยเวลานี้เป็นอนาธิปไตย เพราะเทคโนโลยีทำให้เรามีสื่อในมือทุกคน แต่ผู้มีอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแล อย่าง กสทช.ก็ยังทำงานไมได้อย่างที่ควรจะเป็น คงใช้เวลาอีกนานกว่าจะปรับตัวได้”
สำหรับการก้าวสู่ประชาคมอาเซียน เขามองว่าจะมีผลแค่ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ แต่ในทางการเมืองยังเป็นแบบบ้านใครบ้านมันไม่ก้าวก่ายกัน ที่น่าจับตาคือ ระยะหลัง สปป.ลาวมีการพัฒนาเศรษฐกิจที่เร็วมาก กระทั่งสหรัฐฯ ยังต้องย้ายฐานการผลิตเครื่องบินโบอิ้งจากจีนมาที่ สปป.ลาว และอีกไม่ช้ามาเลเซียจะลงทุนรถไฟความเร็วสูงเชื่อม สปป.ลาวกับเวียดนามใต้ กระทั่งห้างเซ็นทรัล จ.อุดรธานีของเรา ก็ยังมีกลุ่มเป้าหมายหลักคือคนลาว โดยมีการทำที่จอดรถสำหรับคนลาวไว้เฉพาะ
“ในช่วงที่เราตกหลุมการเมือง ลาวพัฒนาไปเร็วมาก เสรีภาพของสื่อจึงไม่ใช่คำตอบเดียวของการพัฒนา มันอยู่ที่ว่าคนภายในเป็นอย่างไร”
บก.อาวุโสสื่อเครือเนชั่นรายนี้ ยังตั้งข้อสังเกตว่าแม้รัฐบาลลาวจะค่อนข้างปิดหูปิดตาประชาชน แต่ที่น่าแปลกคือให้เสรีภาพเรื่อง “ศาสนา” ค่อนข้างมาก ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่า ศาสนาพุทธใน สปป.ลาวเข้มแข็งมาก เห็นได้จากที่คนลาวมีวิถีชีวิต วัฒนธรรม เกี่ยวพันกับศาสนาพุทธอย่างแยกไม่ออก กระทั่งนิตยสารแฟชั่นที่มีกว่า 50 ฉบับ ก็ยังเป็นแฟชั่นที่ไม่หวือหวา หากแต่คงความเป็นเอกลักษณ์ของความเป็นลาวได้อย่างคงที่
“ผู้นำเขาฉลาด คือเขามีความผิดที่จะต้องชนะในคนลาวที่หนีไปต่างประเทศโดยการทำรูปปั้นเชื้อพระวงศ์ ที่แต่ก่อน กษัตริย์ยิ่งใหญ่ของลาว เขาทำสมเกียรติยิ่งใหญ่มาก เพื่อที่จะสื่อให้คนที่อพยพไปต่างแดนรู้ว่าที่ผ่านมานั้นก็ให้มันแล้วไป จากนี้ต่อไปคือความปรองดองของชาติ”
อย่างไรก็ตาม แคน สาริกา กล่าวทิ้งท้ายว่า หากเปรียบเทียบจากอดีตถึงปัจจุบัน ในขณะที่บ้านเมืองเราค่อยๆ เปลี่ยนไป ท่ามกลางความแตกแยกทางของบ้านเมือง เมื่อมองไปยัง สปป.ลาว คนลาวก็ยังใช้ชีวิตแบบเดิม ไม่ต้องแสวงหาความสุขทางวัตถุให้มากมาย และอยู่อย่างที่ควรจะเป็น จึงมีคำถามขึ้นในใจว่าเรามีความสุขจริงหรือไม่. ![]()
- เขียนและเรียบเรียงโดย สิทธิชน กลิ่นหอมอ่อน, อนพัทย์ ดีช่วย.
(เผยแพร่ครั้งแรกในจุลสารราชดำเนิน ฉบับที่ 26 ประจำเดือนเมษายน-มิถุนายน 2556)
