แง้มห้องประชุม "กมธ." ถก "เดือด" ผลสอบจำนำข้าวพิจิตร - ส.ส.ปชป. “หาย” ?
"..การทำหน้าที่ของกมธ. ควรทำให้สังคมได้รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ผลสรุปการสอบสวนของอนุฯกมธ.เสียงข้างมากไม่ได้ฟันธงว่ามีการกระทำผิดจากเจ้าหน้าที่รัฐ นั่นมันไม่ถูกต้อง เพราะเท่าที่ลงพื้นที่จะทราบดีว่ามีการกระทำความผิดจากเจ้าหน้าที่รัฐ ผมฟันธงเลยว่าเราพบความผิดปกติจากการดำเนินการของเจ้าหน้าที่รัฐ..”
หลายคนอาจจะทราบแล้วว่า ในการประชุมคณะกรรมาธิการคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพาณิชย์และทรัพย์สินทางปัญญา สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายสุรศักดิ์ อนรรฆพันธ์ ส.ส.เพชรบูรณ์ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธาน เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2556 ที่ผ่านมา
ยังไม่สามารถหาข้อสรุปเกี่ยวกับรายงานผลการตรวจสอบคดีโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล จังหวัดพิจิตรได้เนื่องจากเกิดปัญหาความขัดแย้งขึ้น ในขั้นตอนการทำงานของ คณะอนุกรรมาธิการตรวจสอบคดีนี้ ที่มีนายนิยม ช่างพินิจ ส.ส.พิษณุโลก เขต 4 พรรคเพื่อไทย เป็นประธาน
เมื่อนายบดินทร์ ลิมปพัทธ์ หนึ่งในคณะอนุกรรมการฯ ที่ประกาศลาออกไป ได้ประกาศจุดยื่นชัดเจนว่า จะไม่รับรองรายงานสรุปผลการตรวจสอบที่จัดทำขึ้นโดยคณะอนุกรรมการฯ ในส่วนของ ส.ส.
เพราะเห็นว่า เป็นรายงานที่มีลักษณะรวบรัด และมีการตัดข้อมูลสำคัญบางส่วนออกไป และทำให้เจ้าหน้าที่รัฐ ที่ถูกตรวจสอบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้รับประโยชน์
ส่งทำให้ นายสุรศักดิ์ อนรรฆพันธ์ ส.ส.เพชรบูรณ์ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการฯ ต้องหาวิธีการแก้ไขปัญหา ด้วยการสั่งให้ทั้ง 2 ฝ่ายไปหารือร่วมกันเพื่อยุติปัญหาอีกครั้ง ภายในวันที่ 5 กันยายน นี้ แต่ถ้าคุยกันไม่รู้เรื่องตกลงกันไม่ได้ จะส่งรายงานการสอบสวนคดีดังกล่าวไปให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง 2 ฉบับ
แต่หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่า เบื้องหลังห้องประชุม กมธ.พาณิชย์ ที่นัดหมายสรุปรายงานผลการตรวจสอบโครงการรับจำนำข้าวจังหวัดพิจิตรดังกล่าว เกิดอะไรขึ้นบ้าง?
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบข้อมูลการประชุมคณะกรรมาธิการคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพาณิชย์และทรัพย์สินทางปัญญา สภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2556 ที่ผ่านมา
พบว่า คณะกรรมาธิการฯ จัดวาระการประชุมพิจารณาสรุปรายงานผลการตรวจสอบโครงการรับจำนำข้าวจังหวัดพิจิตร ไว้เป็นวาระพิเศษ
เริ่มประชุมอย่างเป็นทางการเมื่อเวลา 17.50 น.
โดยนายสุรศักดิ์ อนรรฆพันธ์ ส.ส.เพชรบูรณ์ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานกมธ. แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่ามีความเห็นที่แตกต่างในผลการตรวจสอบโครงการรับจำนำข้าวจังหวัดพิจิตร
โดยนายบดินทร์ ลิมปพัทธ์ และนายบุรินทร์ สุขพิศาล อนุกรรมาธิการ แจ้งลาออกจากคณะอนุฯสอบสวนคดีดังกล่าว และมีรายงานสรุปผลการสวบสวนมาที่ตน 2 ฉบับ จึงอยากให้กมธ.ได้หารือกันว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อ
ต่อมานายบดินทร์ (นายบุรินทร์ไม่ได้เข้าร่วมประชุม) ได้แจกเอกสารผลสรุปการสอบสวนของตนเอง และนายบุรินทร์ให้กมธ.ทุกคนได้พิจารณา
นายบดินทร์ กล่าวย้ำว่า ที่ต้องมีเอกสารถึงประธานกมธ. 2 ฉบับ เพราะตนไม่เห็นด้วยกับเอกสารของเสียงข้างมากของอนุฯกมธ. ในการประชุมอนุฯกมธ.ที่มีการสรุปผลการสอบสวน ก็ไม่มีใครแจ้งให้ตนทราบก่อน แต่อยู่ดีๆกลับมีผลสรุปของอนุฯกมธ.ออกมาแล้ว ตนกับนายบุรินทร์จึงไม่เห็นด้วย ก็เลยต้องลาออกจากกมธ.
“ผมเข้าใจว่าอนุฯกมธ.เสียงข้างมากบอกว่าการชี้ถูกชี้ผิดไม่ได้อยู่ในอำนาจของกมธ. แต่การทำหน้าที่ของกมธ.ก็ควรจะทำให้สังคมได้รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ผลสรุปการสอบสวนของอนุฯกมธ.เสียงข้างมากไม่ได้ฟันธงว่ามีการกระทำผิดจากเจ้าหน้าที่รัฐ นั่นมันไม่ถูกต้อง เพราะเท่าที่ลงพื้นที่จะทราบดีว่ามีการกระทำความผิดจากเจ้าหน้าที่รัฐ ผมฟันธงเลยว่าเราพบความผิดปกติจากการดำเนินการของเจ้าหน้าที่รัฐ” นายบดินทร์ กล่าว
นายบดินทร์ กล่าวต่อว่า มีความผิดปกติในโรงสีเกิดขึ้นหลายกรณี เช่น การจัดเก็บข้าวในโรงสีปกติจะต้องมีการบันทึกกล้องวงจรปิดเอาไว้ แต่จากการตรวจสอบกลับไม่พบการบันทึกวีดีโอวงจรปิดแต่อย่างใด ซึ่งมันก็ผิดตามกฎระเบียบอยู่แล้ว จำนวนไฟฟ้าที่ใช้มีปริมาณสูงมาก ซึ่งน่าจะมีค่าใช้จ่ายเกินกว่าเดิมประมาณ 100,000 บาท
ดังนั้นต้องตรวจสอบว่าใช้ไฟฟ้าทำอะไรกัน?
เพราะจากการสันนิษฐานถ้าใช้ไฟฟ้าเกินขนาดนี้ต้องมีการนำข้าวไปนึ่ง เพื่อนำไปส่งออกอีกครั้งหนึ่ง ตนจึงอยากให้ตรวจสอบปริมาณไฟฟ้าที่ใช้เกินไปสามารถนึ่งข้าวได้เท่าไร
แหล่งข่าวจากคณะกรรมาธิการการพาณิชย์รายหนึ่ง ให้ข้อมูลว่า ในที่ประชุมคณะกรรมาธิการฯ ดังกล่าว หลังจากที่มีการไล่ยาวข้อมูลผลการตรวจสอบทั้ง 2 ฉบับซึ่งในส่วนของนายบดินทร์ ยืนยันชัีดเจนว่า จะไม่ยอมรับรายงานผลการตรวจสอบที่คณะอนุกรรมการฯ ในส่วนของส.ส.สรุปออกมาอย่างแน่นอน เพราะมีความไม่ถูกต้องในข้อมูลมากกว่า 10 จุด
พร้อมย้ำว่า การตรวจสอบเรื่องนี้ ควรจะทำด้วยความเป็นกลาง ผิดตรงไหน ทุจริตตรงไหน ก็ต้องว่าไปตามนั้น
“คุณบดินทร์ ย้ำชัดเจนในที่ประชุมว่า ไม่เอาด้วยแน่นอนกับผลสอบในส่วนของส.ส. ไม่ไปด้วย ไม่รับรอง จะขอรับรองเฉพาะในส่วนของตนเอง เมื่อส่งมอบให้กมธ.แล้ว จะเอาไปใช้ยังไงก็เป็นเรื่องของกมธ.”
เบื้องต้น นายบดินทร์ ได้กล่าวแย้งส.ส.หลายคนที่ไม่เห็นด้วยกับผลการสอบสวนของตนเอง ที่ระบุว่า เจ้าหน้าที่รัฐเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง ว่า ข้อมูลที่ตนมีอยู่มันเป็นของจริง ไม่ว่าจะเป็นอย่างไง ก็จะต้องส่งให้ ป.ป.ช. หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบต่อไป
“ผมเขามาทำงานนี้ และก็มีการเชิญผู้เกี่ยวข้องมาสอบ ไปลงพื้นที่ เราก็พบว่า ความผิดมันเด่นชัดมาก ทำกันเป็นขบวนการ และเราไม่ได้กล่าวหาใคร ไม่มีกฎหมายฉบับไหนที่ห้ามไม่ให้กรรมการแสดงความเห็น”
“ผมยืนยันว่า จะไม่เปลี่ยนแปลงความเห็น ตัวผมขอรับรองเฉพาะฉบับผม ไม่กลัวใครฟ้อง ผมเข้ามาทำหน้าที่ เป็นตัวแทนกรรมการ ที่ได้รับมอบหมาย ให้ไปไต่สวนตรวจข้อเท็จจริง นี่คือสิ่งที่ได้มา (ชูรายงานการสอบสวน) ผมมีสิทธิแสดงความเห็น ไม่หมิ่นประมาทใคร เรามานั่งตรงนี้ ต้องทำงานทำความจริงให้ปรากฏ ถ้าไม่ทำก็อย่ามานั่งดีกว่า เราต้องเป็นที่พึ่งประชาชน รักษาผลประโยชน์ให้เขา ถ้าเราไม่ทำแล้วใครจะปกป้องเขา” นายบดินทร์ระบุ
ทั้งนี้ ในระหว่างการชี้แจงข้อมูลของ นายบดินทร์ นั้น นางวราภรณ์ ตั้งภากรณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะกมธ. และรองประธานอนุฯกมธ. ได้กล่าวว่า ที่นายบดินทร์บอกว่ามีเสียงข้างมาก มีเสียงข้างน้อย ในคณะอนุฯกมธ.ไม่เป็นความจริง คณะอนุฯกมธ.ไม่ควรมีเสียงข้างมาก เสียงข้างน้อย แต่เพราะการสรุปแบบชี้ถูกชี้ผิด ยังไม่แน่ว่ากมธ.ทำได้หรือไม่
“ในคดีมีหลายบุคคลที่เกี่ยวข้อง เราน่าจะจัดทำเป็นการวิเคราะห์ เราจะไปบอกว่าเจ้าหน้าที่รัฐทำผิดมันไม่น่าจะถูกต้อง เพราะอาจจะเข้าทางบรรดาผู้ประกอบการได้ โรงสีอาจจะหลุดคดี ” นางวราภรณ์ กล่าว
ขณะที่นายบดินทร์ ได้โต้แย้งไปว่า โรงสีจะไม่หลุดอย่างแน่นอน เพราะว่าเรามีหลักฐานกระทำผิดอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้มันมีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ขณะที่ข้าวที่ถูกโกงไปก็ไม่ได้มีแค่จำนวน 4,000 ตัน ที่ชาวนาเอาเข้าไปจำนำทั้งที่ไม่มีอำนาจจำนำแล้ว ยังมีข้าวอีก 1 หมื่นกว่าตัน ที่ถูกโกงไปแล้ว
“โรงสีกระทำความผิดอยู่แล้ว แต่ความผิดเจ้าหน้าที่เป็นของเจ้าหน้าที่รัฐ โรงสีจำนำข้าวไม่ได้แล้ว ทำไมไม่ไปปลดธงออก ปล่อยให้จำนำไปได้ จนเกิดปัญหาขึ้นแบบนี้”
นายบดินทร์ ยังย้ำว่า “เรื่องนี้เจ้าหน้าที่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย และในการตรวจสอบข้อมูลที่ผ่านมา ก็พบว่า มีกระบวนการที่ทำให้เอกสารหายหมด ในรายงานตรวจสอบของหน่วยงานบางแห่ง อ้างว่าเป็นข้าวค้างปี แบบนี้ต้องเอาข้าวเข้าไปตรวจในห้องแล็บเลย ไม่ใช่มาพูดกันลอยๆขณะที่หน่วยงานแห่งหนึ่ง บอกให้ส่งข้อมูลมาให้จนปานนี้ยังไม่ได้เลย แบบนี้มันหมายความว่าอย่างไร”
“เรามีหน้าที่แต่ไม่รู้หน้าที่ เรามีหน้าที่ค้นหาความจริง และแสดงความเห็นตรงไปตรงมาแยกแยะความถูกผิด แต่เราต้องกล้าพูดกล้าจัดการ ไม่เช่นนั้นปัญหานี้ก็ไม่จบสิ้น ทำให้เป็นตัวอย่างของประเทศ”
ขณะที่นายองอาจ วชิรพงศ์ ส.ส.อยุธยา พรรคเพื่อไทย ในฐานะกมธ. และอนุฯกมธ. กล่าวชี้แจงต่อว่า ตนเห็นด้วยกับแนวทางของนายบดินทร์ เพราะมีการกระทำผิดจากเจ้าหน้าที่รัฐจริง และน่าจะมีการทำเป็นกระบวนการ ควรทำให้เป็นตัวอย่าง ก่อนจะระบุว่า ตนมีบริษัทที่ทำเกี่ยวกับการขนส่งข้าวอยู่ คนที่ตนทำงานด้วยก็ไม่เคยเห็นหน้ากัน แต่ค้าขายกันมานาน เขายังบอกเลยว่าประเทศไทยน่าสงสารที่มีบริษัทขายค้าบางแห่ง คนเขารู้กันหมดว่ามันโกงกิน
เบื้องต้น ในระหว่างการหารือ นายสุรศักดิ์ ได้สอบถามนายองอาจว่าตกลงจะเห็นด้วยกับผลสรุปคดีฉบับไหน จะได้ลงชื่อเข้าไปถูก นายองอาจ กระอึกกระอักนิดหน่อย ก่อนบอกว่าให้ลงชื่อเห็นด้วยกับผลสรุปคดีของนายบดินทร์และนายบุรินทร์
ทั้งนี้ ภายหลังที่ไม่สามารถหาข้อยุติได้ นายสุรศักดิ์ ได้มอบหมายให้ นายบดินทร์และนายบุรินทร์ ไปหารือร่วมกับ ส.ส. เพื่อหาทางออกร่วมกัน ภายในวันที่ 5 กันยายน นี้ แต่ถ้าคุยกันไม่รู้เรื่องตกลงกันไม่ได้ จะส่งรายงานการสอบสวนคดีดังกล่าวไปให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง 2 ฉบับ ซึ่งจะถือเป็นครั้งแรกในยุครัฐบาลพรรคเพื่อไทย ในการทำงานของคณะกรรมาธิการฯ มีความขัดแย้งเกิดขึ้น
จนถึงขั้นต้องส่งผลสรุปรายงานการตรวจสอบ 2 ฉบับ
อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า การประชุมสรุปรายงานผลการตรวจสอบคดีโครงการรับจำข้าวจังหวัดพิจิตรครั้งนี้ ไม่มี ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เข้าร่วมแสดงความเห็นด้วยแต่อย่างใด
-----
อ่านประกอบ :
สั่ง 2 อนุกรรมาธิการฯ เคลียร์ “ส.ส.เพื่อไทย” ปมขัดแย้งผลสอบจำนำข้าวพิจิตร
"ชาวนาพิจิตร" โวยถูกเลือกปฏิบัติจ่ายเงินเยียวยาจำนำข้าว-ขู่ปิดทำเนียบ
กมธ.พาณิชย์ นัดสรุปผลสอบจำนำข้าวพิจิตร - ดูข้อมูล จนท.รัฐเอี่ยวด้วย
อนุฯ สอบคดีจำนำข้าวจ.พิจิตร “แพแตก” กรรมการลาออกประท้วง ส.ส.เพื่อไทย
เปิดตัว 2 อนุฯ สอบจำนำข้าว จ.พิจิตร ลาออกประท้วง ส.ส.เพื่อไทย