เมื่อ FTA เดินทางมาถึง ใครจะได้ ใครจะเสีย

(ภาพประกอบจากเว็บไซต์กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ)
ประเทศไทยเจรจาการค้าแบบทวีภาคี แบบที่คุยกันสองต่อสองกับพี่ใหญ่ของโลก คือ “สหรัฐอเมริกา” เมื่อเกือบ 10 ปีก่อน เป็นครั้งสุดท้าย
ก่อนที่จะมีความพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะรีบเร่งเปิดการเจรจารอบใหม่กับ “สหภาพยุโรป” ที่รวบรัด รีบเร่ง และเปิดการเจรจาครั้งที่ 1 ไปแล้วเมื่อเดือนพฤษภาคม 2556 และครั้งที่ 2 ที่กำลังจะเปิดการเจรจาในไทยในวันที่ 16-20 กันยายนนี้ ที่ จ.เชียงใหม่
การเจรจาการค้าเสรีแบบสองต่อสอง เป็นการต่อรองกันระหว่างสองประเทศว่าใครจะยอมประเด็นอะไร แค่ไหน อย่างไร กลุ่มประเทศที่เป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจโลกจะเปิดตลาดให้ไทย ส่งออกและค้าขายสินค้าบางอย่างได้มากขึ้น ยอมให้คง “สิทธิพิเศษทางการค้า(GSP)” เพื่อให้แข่งขันกับประเทศอื่นได้ เช่น กุ้ง ไก่ และอุตสาหกรรมบางประเภท แต่ก็แน่นอนที่น้องไทยก็ต้องเปิดตลาดให้สินค้าเด่นของยุโรป อย่างเช่น ยา และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้ามาบุกตลาดในไทยด้วยเช่นกัน
ฟังแล้วดูเหมือนดี เราจะมีตลาดใหญ่ขึ้น ค้าขายได้มากขึ้น มีเหล้าดีราคาถูกเข้ามาขายในประเทศ มียาดีราคาแพงเข้ามา แล้วอะไรคือข้อห่วงกังวล อะไรที่เป็นประเด็นให้ประชาชนจำนวนมากต้องทัดทาน “FTA ไทย-ยุโรป”
ในบรรดาข้อเรียกร้องที่เป็นความลับบนโต๊ะเจรจา ข้อห่วงกังวลประเด็นสำคัญ คือเรื่อง “ทรัพย์สินทางปัญญา” ที่เป็นประเด็นสำคัญที่สหภาพยุโรปพยายามเรียกร้องต่อประเทศคู่เจรจามาโดยตลอด ได้แก่การขยายเวลาผูกขาดสิทธิบัตรยา จากเดิม 20 ปีเป็น 25 ปี
เวลา 5 ปีที่กรมทรัพย์สินทางปัญญาให้ข้อมูลว่า ไม่มีผลกระทบมากนัก ดูเหมือนไม่นาน แต่หากคิดต่อว่า หากเรากำลังป่วยด้วยโรคเรื้อรัง และมียาตัวนี้ตัวเดียวในโลกที่จะรักษาได้ การขยายเวลาสิทธิบัตรออกไป 5 ปีหมายถึงว่า เราจะต้องพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะประคองสังขารร่างกายให้ไม่ตายก่อนที่อายุสิทธิบัตรจะหมด บริษัทอื่นจึงจะสามารถผลิตยาตัวเดียวกันที่มีคุณภาพดี ราคาถูกมาเป็นทางเลือกให้เราได้มีโอกาสได้รักษา
ข้อเรียกร้องสำคัญของสหภาพยุโรป คือการคุ้มครองข้อมูลทดสอบยาหรืออีกนัยหนึ่งคือการผูกขาดข้อมูลการขึ้นทะเบียนตำรับยา (data exclusivity)ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็น “สิทธิบัตรอำพราง” เพื่อเพิ่มการผูกขาดของสิทธิบัตรที่มีอยู่เดิม โดยอาจมีระยะเวลาการผูกขาดเพิ่มมากขึ้นถึง 10 ปี
จากประสบการณ์ในหลายประเทศ เช่น โคลัมเบีย หลังจากที่สหภาพยุโรปบังคับให้มีการผูกขาดข้อมูลยา 10 ปี ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายด้านยาของประเทศเพิ่มขึ้นถึง 340 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (10,200 ล้านบาท) ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่พบว่า ถ้าปล่อยให้มีการผูกขาดข้อมูลการขึ้นทะเบียนตำรับยาตั้งแต่ปี พ.ศ.2550 (ซึ่งเป็นปีที่ทำการศึกษา) ทำให้ค่าใช้จ่ายด้านยาของไทยในอีกห้าปีข้างหน้า (พ.ศ.2556) จะสูงถึง 81,356 ล้านบาทต่อปี และมากกว่ามูลค่าการคงสิทธิพิเศษทางการค้า (GSP) ที่ไทยหวังจะได้จากการเจรจาเอฟทีเอกับสหภาพยุโรปที่คิดเป็น 79,422 ล้านบาท
นี่เป็นเพียงแค่ความห่วงกังวลประเด็นเดียว แต่ยังมีประเด็นอื่นๆ อีก เช่น หากยอมรับการแก้ไขกฎหมายระบบการคุ้มครองพันธุ์พืชที่ประเทศไทยใช้บังคับอยู่ ก็จะส่งผลต่อการปลูกพืชพันธ์ของเกษตรกรไทย ส่งผลต่อความหลากลายทางชีวภาพที่ไทยมีอยู่เดิม นอกจากนี้หากยอมให้มีการเปิดตลาดแอลกอฮอล์ในไทยมากขึ้น ก็จะส่งผลทำให้นักดื่มหน้าใหม่เข้าสู่วงจรนักดื่มได้ง่ายดาย และมากขึ้น ส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตและสุขภาพของประชาชน
นอกจากนี้บนโต๊ะเจรจาที่เป็น “ความลับ” ภายใต้ความกดดัน หากคณะเจรจาไทยไม่มีการจัดหารือกับผู้มีส่วนได้เสียครบให้ทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่องทั้งก่อนและหลังการเจรจาในแต่ละรอบ ก็ยากอย่างยิ่งที่จะพิจารณาให้รอบคอบรัดกุม เพราะที่สุดแล้วผลการเจรจาจะเป็นเสมือนโซ่ที่รัดคอให้ประเทศทำตาม โดยไม่มีโอกาสได้บิดพริ้ว
หากคณะเจรจาเพลี้ยงพล้ำแม้แต่น้อย แน่นอนว่าประชาชนทั้งประเทศก็ต้องรับผล ไม่ว่าจะบวกหรือลบก็ตาม
เราไม่ได้ค้านการเจรจา FTA แต่เราต้องการให้การเจรจาเป็นไปอย่างรอบคอบและสะท้อนข้อห่วงใย ป้องกันผลกระทบที่จะเกิดขึ้น เพราะที่ผ่านมามี FTA จำนวนมากที่ไม่เคยคิดถึงมุมที่กระทบกับประชาชน ผลประโยชน์ที่เป็นตัวเงิน เป็นตัวเลขทางเศรษฐกิจก็กระจุกตัวกับบริษัทยักษ์ใหญ่ไม่กี่แห่ง
แต่ผลกระทบกระจายไปทุกหย่อม และบางเรื่องเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นในระยะยาวกับคนส่วนใหญ่ของประเทศ.
