M2F นสพ.แจกฟรี ข่าวดีๆ ก็ขายได้ ฝืนกระแสสิ่งพิมพ์กำลังจะตาย
"...โจทย์ของเราคือ ต้องมี นสพ.ที่ต้องการจะให้คนที่ไม่อ่าน นสพ. มาอ่านให้ได้ เพราะเราเชื่อในเสน่ห์ของ นสพ. ว่ามันมีเสน่ห์กว่าการรับรู้ข่าวสารจากสื่อดิจิตอล การกาง นสพ.อ่านมันมีเสน่ห์ และคนไทยยังคงชอบอ่าน นสพ.อยู่ แต่ที่ห่างออกไปบ้างเพราะมันไม่มีความเชื่อมโยงกับกับชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้น นสพ.ต้องทำให้อยู่ในระดับที่สามารถใช้ในชีวิตประจำวันได้..."

กลายเป็นปรากฏการณ์ใหม่สำหรับสื่อสิ่งพิมพ์เมืองไทย สำหรับหนังสือพิมพ์แทบลอยด์แจกฟรี M2F (เอ็มทูเอฟ) ของเครือโพสต์ พับลิชชิง เจ้าของ นสพ.บางกอกโพสต์และ นสพ.โพสต์ทูเดย์
เมื่อ M2F สามารถฝืนกระแส “หนังสือพิมพ์กำลังจะตาย” ออกมาได้ และกลายเป็นหนังสือพิมพ์ที่ยอดพิมพ์สูงที่สุดใน กทม.กว่า 4.2 แสนเล่ม แจกฟรี ทุกเช้าวันจันทร์-ศุกร์
ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการปลุกปั้นหนังสือพิมพ์เล่มนี้คนหนึ่ง คือ “มนตรี ปูชตรีรัตน์” บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ M2F ซึ่งตั้งไข่อยู่กับโครงการนี้ตั้งแต่แรกเริ่ม ด้วยแนวคิดที่ผิดแปลกแหวกแนวจาก นสพ.ทั่วไป เพราะต้องแจกฟรีมากกว่าวันละ 4 แสนเล่ม! ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับต้นทุนที่แพง และแบกรับความเสี่ยงอีกมหาศาล หากโฆษณาไม่ได้ตามเป้า
แต่ 2 ปีที่ผ่านมา M2F พิสูจน์แล้วว่า ลมหายใจของหนังสือพิมพ์ อาจยังไม่ตายง่ายๆ อย่างที่หลายคนคิด
00000
- จุดกำเนิดของ M2F
เราเริ่มจากการตั้งโจทย์ว่า คนไทยไม่อยากอ่านอะไรที่มันมากเกินไป หรือไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตเขา ทีนี้ นสพ.ไทย มันก็แยกออกเป็นไม่กี่ประเภท 1.นสพ.ทั่วไป หัวสี ที่เน้นเรื่องอาชญากรรม ความรุนแรง ภาพข่าวที่รุนแรง ซึ่งเราเห็นแล้วว่า เล่นมากๆ คนก็เบื่อ 2.นสพ.การเมือง ที่อยู่ยากในปัจจุบัน ความขัดแย้งสูง ทำให้คนในสังคมเลือกข้าง และ 3.นสพ.เศรษฐกิจ ที่ค่อนข้างหนัก และมีกลุ่มเป้าหมายเฉพาะคนที่สนใจจริงเท่านั้น ฉะนั้น ถ้าจะมี นสพ.ใหม่เกิดขึ้น ก็ต้องเป็น นสพ.ที่ตอบสนองกับชีวิตคนอ่าน
อันที่จริง เราคิดมานานหลายปีแล้ว 3-4 ปี แต่เราก็ไม่ได้ทำ เพราะว่า สถานการณ์บ้านเมืองเราไม่เหมาะจะทำ และเศรษฐกิจเราก็มีปัญหาจากผลกระทบการเมือง จนมาเมื่อ 2 ปีก่อน ถึงได้นั่งคิดกันจริงจังว่า ยังน่าทำอยู่หรือเปล่า ต่อมาเราก็ไปทำวิจัย ดูรูปแบบ นสพ.ในหลายประเทศว่าอะไรที่สำเร็จ อะไรที่ล้มเหลว แล้วก็มาดูในประเทศไทยว่าที่มันประสบความสำเร็จ มันสำเร็จจากอะไร จนต่อมา ถึงค่อยทำ นสพ.จำลองในเนื้อหาที่เราเซ็ตอัพขึ้นมา ปรากฎว่ามันโดน มันใช่ จนสุดท้าย เราก็เปิดตัว เมื่อวันที่ 1 พ.ย.2554 พอเราเปิดตัวก็เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่พอดี แต่เราก็ยังทำอยู่เพราะ แม้น้ำจะท่วม แต่การตอบสนองกับ นสพ.เล่มนี้ก็ดีจนคาดไม่ถึง
- พฤติกรรมคนกรุงในการอ่านหนังสือพิมพ์เป็นอย่างไร
คนทำงาน คนหนุ่มสาว เขามี นสพ.ในออฟฟิศอ่านอยู่แล้ว อย่างมากเขาอาจจะซื้อฉบับวันเสาร์หรืออาทิตย์มาดูโปรแกรมหนังเท่านั้น ว่ามีฉายอะไร แต่เวลาหาความรู้ เขาเข้าในเน็ต แต่เรามี นสพ.ไปให้เขาอ่านระหว่างเดินทาง พอถึงออฟฟิศ เขาก็สามารถไปแลกเปลี่ยนปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน กับคนอื่นได้ โดยประเด็นที่เขาหยิบ ก็มาจาก นสพ.เรา
- จุดเด่นของ M2F คืออะไร
โจทย์ของเราคือ ต้องมี นสพ.ที่ต้องการจะให้คนที่ไม่อ่าน นสพ. มาอ่านให้ได้ เพราะเราเชื่อในเสน่ห์ของ นสพ. ว่ามันมีเสน่ห์กว่าการรับรู้ข่าวสารจากสื่อดิจิตอล การกาง นสพ.อ่านมันมีเสน่ห์ และคนไทยยังคงชอบอ่าน นสพ.อยู่ แต่ที่ห่างออกไปบ้างเพราะมันไม่มีความเชื่อมโยงกับกับชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้น นสพ.ต้องทำให้อยู่ในระดับที่สามารถใช้ในชีวิตประจำวันได้
ที่อยู่ได้ทุกวันนี้ เพราะ 1.เนื้อหาของ M2F มันสนองต่อชีวิตคน กทม. มันถูกนำไปใช้ได้ และ 2 เรื่องข่าวการเมือง เราจะไม่จับเป็นหลักเลย อาจจะมีบ้าง แต่ไม่มีพวกคอลัมน์ วิเคราะห์
คือ M2F ไม่ถึงกับ นสพ.หัวสีตามความเข้าใจคนไทย มันก็เป็นแทบลอยด์ มีสาระบันเทิง แล้วก็ข่าว นำเสนอในแบบแมกกาซีน เราไม่ได้ใช้ราชบัณฑิต เราใช้ภาษาที่เขาสื่อสารกันจริง แต่ไม่จำเป็นที่เราต้องออกนอกกรอบหมด อย่าง “จึ๋ย จุงเบย” เราก็พาด พูดอะไรกันเราก็ตามนั้น

(มนตรี ปูชตรีรัตน์)
- ทำอย่างไรให้ประเด็นข่าวแตกต่างจากสื่ออื่นๆ
เป็นวิชาชีพสื่อมวลชนปกติ เป็นเรื่องมุมมองว่าคน กทม.จะสนใจเรื่องอะไร แน่นอนอาชญากรรมใหญ่ๆ ที่มีมุมซับซ้อน ซ่อนเงื่อน เขาก็สนใจ แต่ถ้าเป็นอาชญากรรมหรือข่าวเหตุการณ์ทั่วไป เขาจะสนใจน้อยมาก เพราะรู้สึกว่าไม่กระทบอะไรกับชีวิต
หรืออย่างความฉับไวในการนำเสนอข่าว เราสามารถเปลี่ยนกรอบได้ ถึงตี 3 ตี 4 เพราะฉะนั้นผลบอล พรีเมียร์ลีก หรือหากคนไทยได้เหรียญทองโอลิมปิก รู้ผลตอนตี 2 เราก็ปิดกรอบทัน เพราะฉะนั้น คน กทม.ตื่นมาเขาจะรู้ว่า ผลกีฬาสำคัญเมื่อคืนเป็นอย่างไร ซึ่งที่อื่นเขารอไม่ได้
หรือข่าวที่ทำให้อารมณ์ดี สนุก แปลก เอาไปคุยกับคนอื่นได้ เราก็มี นอกจากนี้ ประเด็น how to ต่างๆ เช่น ทำงานอย่างไรให้เป็นที่รัก ทำงานอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ อะไรหรือเรื่องแฟชั่น เรื่องการใช้จ่ายเงิน เรื่องการลงทุน ก็ต้องเสริมเข้าไป ซึ่งผลตอบรับที่ผ่านมา ก็พบว่าคน กทม.ชอบมาก เพราะ M2F เป็นเครื่องมือสื่อสารในการเข้าสังคมได้ และเนื้อหาที่เรามี ล้วนเป็นการมองโลกในด้านบวก ไม่เป็นโทษกับสังคม สามารถนำไปเป็นประโยชน์กับตัวเองได้ หากคุณมองย้อนหลังไป 2 ปี จะพบว่าไม่มียาพิษอยู่ในหนังสือพิมพ์เราเลย
- ทำอย่างไรที่จะเปลี่ยนนักข่าว จากมองประเด็นในด้านลบ ให้มองในด้านบวก
M2F อาจเป็นตัวพิสูจน์ว่าเรื่องดีๆ ก็ขายได้ ขอให้รู้ว่ามุมมองเรื่องนั้นมีเรื่องดีๆ อยู่ แล้วนำเสนอออกมาให้เห็น อย่างข่าวสภากาชาดไทยขาดเลือด เราเห็นจากข่าวชิ้นเล็กๆ ชิ้นหนึ่งเมล์มาเท่านั้น แต่เราก็ตีประเด็นใหญ่ ให้คนที่อ่าน นสพ.เราเห็นว่า “เฮ้ย เมืองนี้มีคนอยู่เป็น 10 ล้านคน ขาดเลือดได้อย่างไร”
สุดท้าย จากข่าวเล็กๆ เรานำมาลีด ด้วยการตั้งคำถามว่า หากวันหนึ่ง คนรู้จักเราป่วยแล้วไม่มีเลือดจะทำอย่างไร ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้น สภากาชาดฯ แทบแตก คน กทม.แห่เข้าไปจนต้องขยายเวลาทำงานเพิ่ม คือถ้าส่วนไหนเราเข้าไปช่วยเขา ให้มีความสุขได้ เราก็ช่วยทำ เราก็พยายามทำให้สังคมมันเกิดความสุข
- เนื้อหาต่างๆ นำมาจากไหน
เราโชคดีหน่อยที่ตึกบางกอกโพสต์ มีแหล่งผลิตคอนเทนท์อยู่แล้วจำนวนมาก อย่างนักข่าวบางกอกโพสต์มีแล้วกว่า 200 คน โพสต์ทูเดย์ อีกกว่า 100 คน นอกจากนี้ยังมีกลุ่มนิตยสาร ELLE Cleo EllE Décor หรือ Science Illustrated ที่พร้อมสนับสนุนเนื้อหาเราตลอดเวลา
ขณะเดียวกัน นักข่าวต่างจังหวัด เราก็ประสานจากทั้งบางกอกโพสต์และโพสต์ทูเดย์ได้ สิ่งที่นักข่าวของ M2F ต้องทำเพิ่ม คือติดตามรายละเอียดมากขึ้น อาจจะทางโทรศัพท์บ้าง หรือเข้าไปในพื้นที่เพื่อหาอะไรที่ลึกขึ้น
กองบรรณาธิการเรามีประมาณ 30 คน ต้นทุนในการทำแพงที่สุด เพราะเราต้องลงค่ากระดาษ ค่าคน ระบบกระจายตัวหนังสือ เพราะว่าแค่คนแจกก็มหาศาล เนื่องจากต้นทุนไม่ได้มาจากยอดขาย เพราะฉะนั้น แต่ละวันเราหมดเป็นล้าน

- สิ่งที่คนคาดเดากันมากที่สุดก็คือเช้าวันรุ่งขึ้น M2F จะใช้ปกอะไร
ใช่ เขาก็จะสนุกกับการดูปกมาก พวกเอเจนซี่เขาก็รอดูเหมือนกันว่าเราจะเล่นอะไร คือเราไม่ได้อิงกระแส เราก็ดูว่า เอ๊ย ข่าวนี้มันแปลก ข่าวนี้มันสนุก มีมูลค่าเว้ย เพราะฉะนั้นทายให้ตายก็ไม่ถูก บางคนอาจจะคิดว่าทำไมเราเอารูปเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน (ผู้จัดการทีมฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด) ลาออก ไปขึ้นปก เพราะเล่มอื่น เขาทำกันไม่ได้หรอก แต่เราไม่มีข้อจำกัด ว่าเอาอะไรขึ้นไม่ได้บ้าง คำถามของเรามีแค่ว่า คนสนใจใช้หรือไม่ และเป็นยาพิษหรือไม่ และอ่านแล้วสามารถไปคุยต่อกับเพื่อนได้หรือไม่เท่านั้น
- สร้างสมดุลระหว่างโฆษณาและเนื้อหาอย่างไร
บอกตรงๆ ว่า ถ้ามากไปเราก็ไม่เอา แต่ผลตอบรับที่ผ่านมาถือว่าดี และทำให้เราอยู่ได้ เหตุที่เขาสนับสนุนเราดี เพราะ หนังสือเราไม่ได้ให้ยาพิษกับสังคม การตอบรับจากสินค้าต่างๆ จึงเข้ามาสนับสนุนเยอะมาก เท่าที่คุยกับหลายๆ รายเขาบอกไม่มีความรุนแรงในหนังสือ มันก็ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย สินค้าเขาหลายรายก็ผูกเป็นปี หลายรายก็ผูกเป็นพันธมิตร
- มองไปข้างหน้า เรายังต้องทำอะไรอีก
ก็ต้องพัฒนาเนื้อหาให้มันมากขึ้น ครอบคลุมพื้นที่เนื้อหาให้เข้าถึงทุกคนมากขึ้น เพราะตอนนี้เราเข้าถึงได้เฉพาะส่วนกลางเมือง ส่วนย่านธุรกิจที่ใหญ่ๆ เท่านั้น ส่วนชุมชนคนเมือง ย่านปริมณฑล ต้องไปให้ถึงก่อน อนาคตอาจต้องว่ากันที่ นสพ. 1 ล้านฉบับ ถึงเอาอยู่
แต่ต่างจังหวัดคงยังไม่แจกเร็วๆ นี้ เพราะต้องใช้ต้นทุนเยอะ ในต่างประเทศ มันจะมีแจกในส่วนของเทอร์มินัล บางจุดยืนแจก แต่ส่วนใหญ่เป็นตู้ แต่ของเราไม่ได้ เพราะอย่างที่รู้มีคนจำนวนหนึ่งที่ไม่คิดถึงสังคมส่วนรวม หยิบไปหมด ไม่มีความละอาย คนอื่นๆ เขาเสียประโยชน์
- ทำยังไงให้หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ อยู่ได้นาน
เพียงแต่แต่การเริ่มต้นมันต้องใช้ทุนแค่นั้นเอง แล้วก็พิสูจน์ให้เห็นให้ได้ว่า คุณดีพอที่คน กทม.จะรับคุณเป็นเพื่อนได้หรือเปล่า ถ้าเขารับ คุณก็เกิด ถ้าคน กทม.เดินแล้วหลบ ก็แสดงว่าเขาไม่รับเป็นเพื่อน แต่ผมยังไม่เคยเห็นว่าใครรับ M2F แล้วโยนทิ้ง ตอนเริ่มแจกแรกๆ พอได้มาแล้วเดินหลบก็มี แต่สักพักมันก็ปากต่อปาก จากไหนๆ มันก็เกิด
- คน กทม.อ่านหนังสือน้อยจริงหรือไม่
คน กทม.อาจจะอ่านน้อยลง แต่นั่นไม่ได้แปลว่าเขาหาความรู้น้อยลง ทุกวันนี้เขาไปอ่านจากสื่อดิจิตอลที่เขาเข้าถึงได้มากกว่า เพราะ นสพ.ทั่วไป เขามีความรู้สึกว่าเขาไม่จำเป็นต้องอ่าน นั่นคือสิ่งที่ทำให้ M2F อยู่ได้ เพราะเขาแค่อยู่บนรถ รถไฟฟ้า ข่าวสารมันมาเยอะหมดแล้ว
เราเป็นแค่เพื่อนคุย ที่จะมาบอกว่าเกิดอะไรขึ้น เราไม่ใช่ครู ไม่ใช่กูรูที่จะไปบอกว่า เฮ้ย มันเป็นยังงี้ๆ แล้วไปตัดสินอะไรกับข่าว แต่เราบอกได้ว่าวันนี้ เกิดอะไรขึ้นบ้าง หรือถ้าคุณอยู่ในสังคมจะวางตัวอย่างไร อากัปกิริยาไหนที่มันสุภาพ หรือเทรนด์ผู้หญิงเป็นยังไง คนเดินในกทม.แต่งตัวยังไง พวกนี้มันเป็นเพื่อน ผมว่ามนุษย์ทุกคนคุยกับเพื่อนแล้วมีความสุข เราก็เลยอยากเป็นเพื่อนกับเขา ถ้าเพื่อนเราเดือดร้อนก็ช่วยเพื่อน เราทำเหมือนเราเป็นเพื่อนคน กทม. เพราะเพื่อนกับเพื่อนมันจะอยู่กันนาน อย่าไปลึกกว่านั้น
00000
ถ้านสพ.จะตาย
มันก็ตายเพราะตัวเอง
อันที่จริง “มนตรี ปูชตรีรัตน์” หรือ “พี่ปู” ของน้องๆ ไม่ใช่หน้าใหม่ในวงการ นสพ. เพราะเขาคร่ำหวอดในวงการมานานกว่า 30 ปีแล้ว เริ่มตั้งแต่เป็นนักข่าวการเมือง ก่อนจะเป็นหัวหน้าข่าวใน นสพ.ไทยโพสต์ รับผิดชอบแทบลอยด์ชื่อ Xcite และย้ายค่ายมาปั้น นสพ.โพสต์ทูเดย์ ในยุคแรกเริ่ม กระทั่งตำแหน่งสุดท้ายของเขาใน นสพ.โพสต์ทูเดย์ คือการเป็น “ผู้ช่วยบรรณาธิการข่าว” ก่อนจะถูกดึงตัวไปเป็นบรรณาธิการบุกเบิก M2F ในที่สุด
แม้ M2F จะไม่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการเมือง แต่ “มนตรี” ยังคงติดตามและมีข้อเขียนวิจารณ์การเมืองลงในสื่อ มุมมองที่เขามีต่อวงการ นสพ.ในปัจจุบัน จึงนับว่าน่าสนใจ
“ปัญหาของ นสพ. ก็คือพอการเมืองเข้าไปแทรกซึมทุกส่วน ก็มี นสพ.ที่บอกข้อเท็จจริงให้ประชาชนไม่หมด ซึ่งมันยิ่งสร้างความแตกแยก จริงอยู่ คุณอาจะบอกว่า ทีวีดาวเทียมก็มีแต่เขาชัดเจนว่า เจ้าของเขาเป็นใคร บลูสกาย เอเชียอัพเดท เอเอสทีวี วอยซ์ทีวีเขาก็ชัดว่าของใคร คนเปิดดูเขาก็รู้แล้วว่าจะเสพอะไร แต่ นสพ.จะบอกคนอ่านว่าเป็นกลาง คนทำ นสพ.อาจจะรู้ว่าตัวเองอยู่ข้างไหน แต่คนอ่านจำนวนหนึ่ง เขาไม่รู้ว่าที่อ่านอยู่ มันแฝงด้วยนัยยะโฆษณาชวนเชื่ออะไรสักอย่าง ทำให้แนวคิดถูกโน้มนำ ตรงนี้อันตราย”
“นสพ.เลือกข้างไม่ผิด แต่ต้องรู้ว่าอยู่ตรงไหน บางเล่มไม่ว่าใครเป็นรัฐบาลเขาก็ตรวจสอบหมด ไม่ว่าเพื่อไทยหรือประชาธิปัตย์ ก็ถือว่าจุดยืนเขาคือการตรวจสอบผู้บริหารประเทศ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่ เดี๋ยวนี้มี นสพ.ตรวจสอบฝ่ายค้าน ก็เป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่ประหลาด ผมก็อยู่วงการนี้มาหลายสิบปีก็ตลก ไล่ตรวจสอบฝ่ายค้าน พฤติกรรมฝ่ายค้าน โดยไม่ตรวจสอบโครงการรัฐบาลหลายๆ โครงการ บอกได้เลยว่า นสพ.เดี๋ยวนี้คุณภาพมันด้อยกว่าสมัยก่อน”
“มนตรี” เล่าว่า สมัยก่อน ความเคลื่อนไหวของ พ.ร.บ.งบประมาณ สามารถเปิดหาใน นสพ.ได้เป็นหน้าๆ โดยนักข่าวจะมีหน้าบวกว่า งบตรงไหนขาด ตรงไหนเกิน จุดไหนรัฐบาลให้ความสำคัญน้อยไป แต่เดี๋ยวนี้กลับไม่ค่อยเห็นการตรวจสอบงบประมาณ อย่าง พ.ร.ก.กู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท เพื่อนป้องกันน้ำท่วม หรือ พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท เพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน สื่อกลับตั้งคำถามน้อยมาก กลายเป็นว่าระบบตรวจสอบ มาจากนักการเมืองมากกว่าสื่อ
“สมัยก่อน การอภิปรายเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่นในสภา ก็จะมี ส.ส.บางคนเอาข้อมูลจาก นสพ.ไปอ่านในสภา เราก็ล้อกันว่า เฮ้ย! มันเอาข้อมูลจาก นสพ.ไปอ่านอีกแล้ว สมัยนี้ไม่มี นักข่าวกลับไปนั่งดูข่าวการทุจริตจากการอภิปรายของฝ่ายค้าน เช่น จำนำข้าว เราเห็นชัดเลย ว่านักข่าวไม่ได้เห็นรายละเอียดชัดเจน ไม่ได้ไปทำการบ้านมาด้วยซ้ำว่าเส้นทางมันไปมายังไง เดี๋ยวนี้ กลายเป็นว่านักการเมืองตรวจสอบรัฐบาลมากกว่าสื่อมวลชน แล้วเราจะโอดครวญว่าคนไม่อ่าน นสพ.ไปทำไม ในเมื่อ นสพ.เป็นแบบนี้”
เขาว่า ตอนนี้ นสพ.ทำงานของตัวเองน้อยลง นักข่าวก็ทำงานของตัวเองน้อยลงเช่นกัน กลายเป็นว่า ข่าวพูด ข่าวลอก ข่าวเก็บ เหมือนกันหมด จนเดี๋ยวนี้ นสพ.สักเล่ม มีแค่คนจัดหน้ากับคนพาดหัวก็พอแล้ว ไม่ต้องมีนักข่าวก็ได้ เพราะข่าวมันไม่ได้ต่างจาก นสพ.ฉบับอื่น ไปซื้อจากเอเจนซี่เอาก็ได้
“ส่วนองค์กรวิชาชีพ เราก็ไปคาดหวังไม่ได้ ผมเองไม่ได้เป็นสมาชิกสักองค์กร เพราะมันไม่ได้ทำหน้าที่ตัวแทนวิชาชีพจริงๆ กลายเป็นใครอยากบริหารแบบไหนก็บริหารไป ไม่รู้ว่าผลรวมกับวิชาชีพมันดีไหม อย่างตอนนี้มีการด่ากันไปกันมาผ่านดิจิตอล มันก็มีชมรมสื่อดิจิตอล แต่ก็ไม่เห็นทำอะไร หรือบางทีสมาคมสื่อจะจัดเสวนา กลายเป็นเรื่องจะจบอยู่แล้ว ผ่านมา 1-2 เดือนแล้ว จัดทำไม ช้ามาก มันต้องเร็วกว่านี้”
“ถ้า นสพ.จะตาย ก็ตายเพราะตัวเอง ถ้าสื่อสามารถค้นเจอว่ามีหลักฐาน ไม่ต้องใหญ่ๆ หรอก แค่ 1-2 ครั้ง สื่อนั้นก็เกิด คุณเป็นนักข่าว คุณก็ต้องซื้ออ่าน เพราะมันไปพิเศษกว่าคนอื่น แต่ข่าวนายกฯ พูดอะไรบ้าง คุณจะไปซื้ออ่านทำไม เปิดทีวีก็เห็น เปิดวิทยุก็ได้ยิน มันรู้อยู่ คนพร้อมจะจ่ายในสิ่งที่ตัวเองอยากรู้ แต่ไม่พร้อมที่จะจ่ายในสิ่งที่รู้อยู่แล้ว มันไม่แตกต่างไง มันอาจพาดหัวแตกต่าง แต่ข้างในเหมือนกัน แต่อ่านแล้วมันไม่สนุก ก็ต้องกลับไปถามคนประกอบวิชาชีพเองด้วยว่าถ้าเราปล่อยเป็นอย่างนี้ วงการนี้จะพัฒนาได้ขนาดไหน” มนตรีทิ้งท้าย
- สัมภาษณ์และเรียบเรียงโดย สุภชาติ เล็บนาค
(เผยแพร่ครั้งแรกในจุลสารราชดำเนิน ฉบับที่ 26 ประจำเดือนเมษายน-มิถุนายน 2556)
