เบื้องหลัง “ฉาก” นิทรรศการน้ำเพื่อชีวิต ?
"..ที่น่าสนใจคือขณะนี้เม็ดเงินอีกจำนวนมหาศาลของรัฐบาลบริษัทใหญ่ที่ชนะการประมูล กำลังมุ่งลงไปที่การซื้อโฆษณาตามหน้าหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ช่องต่างๆ ทั้งโฆษณาตรงและโฆษณาแฝง.."

เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2556 ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสไปเดินชมนิทรรศการน้ำเพื่อชีวิตในโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ที่ศูนย์การค้าสยามดิสคัฟเวอรี่ ในบรรยากาศเงียบๆเหงาๆ มีเจ้าหน้าที่กว่า 10 คนนั่งๆยืนๆคอยเมียงมองคนที่เข้าไปชม
ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 4 กันยายน นายกรัฐมนตรี ไปเปิดงาน และมีข่าวทั้งโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ออกมามากมาย แถมโทรทัศน์บางช่องออกทั้งข่าวทั้งสกู๊ปในเนื้อหาซ้ำไปซ้ำมา
ที่ชวนประหลาดคือกลับไม่ทำให้คนเมืองหลวงสนใจสักเท่าไหร่ มีคนไปเดินดูนิทรรศการ หยอมแหยมมาก
ผมเดาเอาว่ารัฐบาลเองก็คงไม่ได้หวังผลเลิศจากการพีอาร์ครั้งนี้สักเท่าไหร่
สังเกตจากการจัดงานก็ดู “แห้งๆ” ขณะที่เจ้าหน้าที่ที่คอยแนะนำหรือตอบคำถาม ก็ไม่ได้มีความกระตือรือร้นอะไร ตอบได้บ้าง ไม่ได้บ้าง
ยกตัวอย่าง ผมถามเรื่องแนวฟลัดเวย์ฝั่งตะวันตก 289 กิโลเมตรที่ทอดยาวเลียบเชิงเขาและผืนป่าตะวันตก เพื่อผันน้ำปิงมาลงอ่าวไทย ซึ่งน่าเป็นห่วงว่าผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ที่สุดของเราจะได้รับผลกระทบ
ซึ่งเขาก็ตอบไม่ได้ถึงปัญหานี้ เพียงแต่บอกว่า “ผู้ใหญ่กำลังหาเส้นทางหลบเลี่ยงผืนป่าอนุรักษ์”
แต่เมื่อดูแผนที่ที่เขาจะขุดแล้ว ดูอย่างไงก็คงเลี่ยงผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ของผืนป่าตะวันตกยากเต็มที?
ผมถามเขาว่า “จนถึงป่านนี้ยังไม่มีแนวชัดเจนแล้วจะทันการหรือ เพราะให้เวลาแค่ 5 ปี”
เจ้าหน้าที่ได้แต่ อ้ำๆอึ้งๆ บอกให้ไปถามบริษัทเค-วอเตอร์ ที่เป็นผู้ดำเนินการ
สุดท้ายผมเลยคิดเอาเองว่า ดูอย่างเดียวดีกว่า ถามไปก็เท่านั้น
การจัดนิทรรศการครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนงานประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลและบริษัทที่ชนะการประมูล ซึ่งก่อนหน้านี้พวกเขาได้ทุ่มงบประมาณก้อนใหญ่พาคณะสื่อมวลชนไปศึกษาดูงานของบริษัทเค-วอเตอร์ ที่ประเทศเกาหลีใต้
ที่น่าสนใจคือขณะนี้เม็ดเงินอีกจำนวนมหาศาลของรัฐบาลบริษัทใหญ่ที่ชนะการประมูล กำลังมุ่งลงไปที่การซื้อโฆษณาตามหน้าหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ช่องต่างๆ ทั้งโฆษณาตรงและโฆษณาแฝง
แม้องค์กรสื่อจำนวนไม่น้อยจะระมัดระวังตัวและพยายามแยกแยะระหว่างการทำหน้าที่ในวิชาชีพ กับผลประโยชน์ แต่องค์กรสื่อบางแห่งก็หนีไม่พ้นที่จะเอาผลประโยชน์ “นำ”
ที่น่าเห็นใจเป็นที่สุดคือชาวบ้าน "ชายขอบ” ทั้งหลาย พวกเขาจำนวนไม่น้อยที่อาศัยอยู่ในป่าเขา เช่น ชาวกะเหรี่ยงแม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ ชาวบ้านลุ่มน้ำชมพู จ.พิษณุโลก ชาวบ้านแม่ขาน จ.เชียงใหม่ คนเหล่านี้มีโอกาสเข้าถึงสื่อสารมวลชนน้อยมาก ทั้งๆที่เขาอยากป่าวประกาศให้สังคมไทยได้รับรู้ถึงวิถีชีวิตซึ่งอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างเกื้อกูลและเป็นปกติสุข แต่วันหนึ่งจำต้องถูกอพยพเนื่องจากการสร้างเขื่อนตามแผนงานบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท
ผืนป่าผืนดินที่เคยร่วมกันอนุรักษ์ไว้ถูกแปลงเป็นเขื่อนและอ่างเก็บน้ำซึ่งไม่มีความจำเป็นสำหรับพวกเขาเลย
มันแน่เศร้าใจมั้ยล่ะครับ แค่อยากจะบอก เขายังไม่รู้จะบอกกับใคร แถมบอกไปแล้วจะมีคนฟังหรือมีคนเชื่อหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ชาวบ้านมีแต่ข้อเท็จจริง แต่ไม่มีโอกาส
ทั้งๆที่เม็ดเงินที่รัฐบาลอัดลงไปตามสื่อต่างๆก็เป็นภาษีของพวกเขาทั้งนั้น
แต่เขาไม่มีโอกาสได้ใช้มันเหมือนนักการเมืองและข้าราชการ นอกจากนี้ยังมีเม็ดเงินของบริษัทใหญ่ที่ชนะการประมูลอีกไม่รู้เท่าไหร่ ถมโฆษณาลงไปอีก
เพราะฉะนั้นเสียงของชาวบ้านจึงเป็นเพียงเสียงที่เล็ดลอดออกมาสู่สังคมเท่านั้น
ขณะที่เสียงของรัฐบาลและบริษัทใหญ่ที่ชนะการประมูลเหมือนออกตามลำโพงใหญ่ที่ติดไว้ทั่วบ้านทั่วเมือง
แล้วสังคมนี้จะอยู่กันอย่างไร
