"สภาปฏิรูป" เกมซื้อเวลา-ต่ออำนาจ
“สภาปฏิรูปที่รัฐบาลตั้งขึ้นโดยให้ บรรหาร ศิลปอาชา เป็นผู้นำทัพ เป็นการเล่นกลเพื่อซื้อเวลา สร้างความชอบธรรมให้กับรัฐบาลต่อการออกร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมและการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่กำลังทำอยู่?”
(บรรหาร ศิลปอาชา - ภาพจากเว็บไซต์หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์)
ข้อกล่าวหาหนักหน่วงที่มีต่อรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าไม่จริงใจที่จะปฏิรูปประเทศไทยเพราะถ้าอยากจะแก้ปัญหาความปรองดอง หรือความเป็นธรรมความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย จริงตามที่ได้ตั้งสภาปฏิรูปขึ้นก็สามารถหยิบยกผลสรุปที่คณะกรรมการหลายชุดเคยเสนอมาก่อนหน้านี้มาปฏิบัติได้ทันที
ไม่ใช่ครั้งแรกที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้ตั้ง “สภาปฏิรูป” หรือไร้แนวทางที่จะแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง เพราะในรัฐบาล อภิสิทธิ์เวชชาชีวะ มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาหลายชุด ทำหน้าที่ศึกษาปัญหาทาง ความขัดแย้งปรองดอง สมานฉันท์จากวิกฤตความขัดแย้ง กระทั่งมาถึงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ พรรคเพื่อไทยก็สานต่อ ผลักดันตั้งคณะกรรมาการมาอีกชุด คือ“คณะกรรมาธิการวิสามัญวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ” มี พล.อ.สนธิ บุญรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ เป็นประธานเมื่อปลายปี 2554 โดยมอบหมายให้สถาบันพระปกเกล้าจัดทำรายงานข้อเสนอในการสร้างความปรองดอง ระยะสั้นระยะยาวออกมาหลายข้อ
อีกชุดแม้ยิ่งลักษณ์ไม่ได้ตั้งเองแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นคณะกรรมการที่มีบทบาทสำคัญในรัฐบาลนี้ คือ “คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.)” ที่ คณิต ณนคร เป็นประธาน แม้คณะกรรมการชุดนี้ ตั้งขึ้นในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ในช่วงหลังเหตุการณ์พฤษภาเลือด 2553 โดยมีจุดประสงค์ให้สืบค้น รากเหง้าของปัญหาข้อเท็จจริงเหตุการณ์ความขัดแย้ง 2553 รวมถึงข้อเสนอ ทางออกซึ่งก็มีผลสรุปออกมาเรียบร้อย แต่รัฐบาลนี้ก็ยังเมินเฉยเก็บข้อเสนอคอป.ใส่ลิ้นชัก
กล่าวสำหรับ คอป. ช่วงแรกที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์เข้ามาได้สนับสนุนข้อเสนอของ คอป.หลายเรื่องเพื่อสร้างภาพให้เห็นว่ารัฐบาลหวังจะคลี่คลายความขัดแย้ง อีกทั้งประธาน คอป.คือคณิตมีบทบาทสร้างความปรองดอง เป็นพยานในชั้นศาลให้กับ 7 แกนนำเสื้อแดงในคดีก่อการร้าย จนได้รับปล่อยตัวชั่วคราวจากเรือนจำ
แกนนำเสื้อแดง ต่างชื่นชม คอป.และตำหนิรัฐบาลอภิสิทธิ์ที่ตั้งเองกับมือแต่กลับไม่เห็นค่าของ คอป.ที่เริ่มทยอยนำข้อเสนอสู่สังคมในช่วงเวลานั้น
และเมื่อเวลาผ่านไปกลายเป็นว่า คนในรัฐบาลยิ่งลักษณ์กลับออกมาโจมตี คอป.เสียเอง หลังจาก คอป.ได้สรุปผลสอบค้นหาความจริงเหตุการณ์พฤษภา 2553 ว่ามีชายชุดดำเข้ามาเกี่ยวข้องกับความรุนแรง รวมถึงไม่เห็นด้วยกับออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมหากการพิสูจน์ความจริงยังไม่ปรากฏออกมา
มีของดี แต่ไม่ใช้
คอป. มีบทบาทและแนวทางต่อการสร้างความปรองดองและการปฏิรูปประเทศทั้งระบบงานวิจัยที่ทำขึ้นได้เชิญผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศที่มีประสบการณ์หาทางออกในประเทศที่มีความขัดแย้ง ผู้แทนสหประชาชาติ สวิสเซอร์แลนด์ สหรัฐอเมริกาญี่ปุ่นมาหารือ
หรือแม้แต่ในงานวิจัยของสถาบันพระปกเกล้าของคณะกรรมาธิการฯก็สอบถามความเห็นจากขั้วเหลือง แดง รวมถึงพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรจนมีข้อเสนอการสร้างความปรองดองระยะสั้น ระยะยาว หลายแนวทาง
อย่างไรก็ดี ในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ซึ่งเชื่อมต่อมายังรัฐบาลยิ่งลักษณ์ มีการตั้งคณะกรรมการระดับชาติมาศึกษาหลายคณะ นอกจาก คอป.ก็ยังมี “คณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและการศึกษาแก้ไขรัฐธรรมนูญ” มี ดิเรก ถึงฝั่ง ส.ว.นนทบุรี เป็นประธาน “คณะกรรมการพิจารณาตามแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ” มี สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)เป็นประธาน
แต่คณะที่เป็นหัวหอกสำคัญ เพราะศึกษาเรื่องปัญหาความเหลื่อมล้ำและทางออกของประเทศ คือ “คณะกรรมการปฏิรูปประเทศ (คปร.)” มี อานันท์ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และ “คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปประเทศ” มี นพ.ประเวศ วะสีราษฎรอาวุโส เป็นประธาน
ทั้งสองคณะ มีบุคคลสำคัญที่ได้รับการยอมรับ จากภาคประชาชน นักวิชาการ นักเคลื่อนไหว เข้าร่วม เช่น คปร. ของอานันท์ มีเสกสรรค์ ประเสริฐกุล นิธิ เอียวศรีวงศ์ ม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์ คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา ศรีศักร วัลลิโภดม ฯลฯ
ส่วนคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปประเทศของ นพ.ประเวศ ส่วนใหญ่เป็นเอ็นจีโอเครือข่ายที่ดิน ทรัพยากร ผู้นำท้องถิ่น ตัวแทนภาคอุตสาหกรรม ธนาคารผู้พิการ ครบถ้วน มีการระดมความเห็นปัญหา-ทางออกจากเวทีสมัชชาตามจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ
ข้อเสนอของคปร.และสมัชชาปฏิรูปประเทศในการสร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ ออกมาในช่วงปลายรัฐบาลอภิสิทธิ์ แต่รัฐบาลขณะนั้นก็นำไปปฏิบัติเพียงบางเรื่อง หลายข้อยังไม่ได้ดำเนินการเพราะสะดุดจากเรื่องปัญหาการเมืองจนต้องยุบสภาเลือกตั้งใหม่เปลี่ยนมือมาเป็นรัฐบาลยิ่งลักษณ์
สรุปได้ว่าแนวทางการสร้างปรองดอง -ปฏิรูปประเทศ โครงสร้างเศรษฐกิจ สังคม ในมิติต่างๆมีเสนอรัฐบาลหมดแล้ว จาก 3 คณะกรรมการระดับชาติ คือ 1.คอป. 2.กมธ.วิสามัญของ “บิ๊กบัง” ที่ใช้งานวิจัยของสถาบันพระปกเกล้า และ 3.คปร.-สมัชชาประเทศไทย
ข้อเสนอก็มีครอบคลุมทุกด้าน ทั้งการสร้างความปรองดอง การสร้างประชาธิปไตยให้เสมอภาคการปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ ระบบยุติธรรม การแก้ปัญหาพื้นฐานของสังคมไทย ตลอดจน ความเหลื่อมล้ำทั้งระบบ ซึ่งข้อเสนอเหล่านี้ก็ไม่ใช่ความลับอะไรคนทั่วไปหาอ่านได้ แค่ค้นหาใน “กูเกิ้ล”ก็เจอผลสรุปที่คณะกรรมการเหล่านี้ทำไว้
คอป.-คปร.ชุดอานันท์ พิมพ์เขียวปฏิรูป
โดยเฉพาะ รายงาน คอป. กับ “คปร.-สมัชชาประเทศไทย” ชุดอานันท์- นพ.ประเวศ มีข้อเสนอมาออกมาหลายส่วน
ในส่วนของ คอป. มีตั้งแต่ การนำหลักความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่านมาปรับใช้ ข้อเสนอเรื่องหลักนิติธรรมและกระบวนการยุติธรรม ข้อเสนอเรื่องความเป็นประชาธิปไตย หลักธรรมาภิบาล การเคารพสิทธิมนุษยชนการแก้ปัญหาพื้นฐานของสังคม ข้อเสนอการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญข้อเสนอเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ข้อเสนอเกี่ยวกับสื่อข้อเสนอถึงทหาร ข้อเสนอเกี่ยวกับการชุมนุม ข้อเสนอเกี่ยวกับบทบาทของศาสนา
ข้อเสนอการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมการครอบครองทรัพยากรที่ไม่เท่าเทียมกัน การกระจายรายได้ที่ไม่เป็นธรรมรวมถึงปัญหาทุจริตคอรัปชั่น ที่ คอป.ระบุว่าถ้าไม่เร่งแก้สังคมไทยก็จะอยู่ในสภาพที่มีความขัดแย้งและอาจปะทุเป็นเหตุการณ์ความรุนแรงได้ในอนาคต
ส่วนการนิรโทษที่กำลังเป็นประเด็น คอป.ระบุว่า แม้จะเป็นกลไกหนึ่ง ที่นำไปสู่การปรองดองแต่การนำการนิรโทษกรรมใช้ จะต้องคำนึงถึงความเหมาะสม ทั้งในแง่สถานการณ์เวลา และกระบวนการถ้าเร่งรัดให้เกิดการนิรโทษกรรมนอกจากจะไม่ส่งผลให้เกิดการปรองดองแล้วยังจะเป็นการสร้างประเด็นความขัดแย้งใหม่ขึ้นมา
ทั้งหมด คอป.ระบุว่า รัฐบาลต้องมีเจตจำนงที่จะปฏิรูป เศรษฐกิจ สังคม การเมืองกระบวนการยุติธรรมและกฎหมายเพื่อแก้ปัญหาพื้นฐานของสังคมมีมาตรการทางกฎหมาย หรือ นโยบายลดความเหลื่อมล้ำในรูปแบบต่างๆสร้างกลไกในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมอย่างเท่าเทียมกันและมีนโยบายการพัฒนาที่เสมอภาค ยั่งยืน ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ฯลฯ
สำหรับผลสรุปของ คปร. ชุดอานันท์ เป็นประธาน ถือว่าเป็นพิมพ์เขียวในการแก้ปัญหาโครงสร้างเชิงอำนาจของประเทศไทย และเคยนำเสนอให้ทุกพรรคการเมืองนำไปหาเสียงช่วงเลือกตั้งใหญ่ที่ผ่านมาแต่กลับไม่มีพรรคใดนำไปใช้ แม้แต่พรรคประชาธิปัตย์เองเป็นคนตั้งมากับมือ หรือ พรรคเพื่อไทยที่มีคนเสื้อแดงเรียกร้องความเป็นธรรมทางสังคมก็เมินเฉย
ความเหลื่อมล้ำปัญหาที่ใครๆ ก็รู้
หัวใจที่ คปร.สรุปว่าปัญหาหลักที่ทำให้ประเทศล้มเหลว คือ “ความเหลื่อมล้ำอย่างสุดขั้วในทุกมิติ ”ส่งผลให้เกิดปัญหาเชิงโครงสร้างอื่นๆ ตามมาอีกมาก เช่น ด้านรายได้ ด้านสิทธิ ด้านโอกาส ด้านอำนาจ และด้านศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
แนวทางการปฏิรูปประเทศไทย มี 4 ประเด็นใหญ่ 24 ประเด็นย่อยถ้าจะให้ไล่เรียงคร่าวๆ แยกเป็น การแก้ปัญหาทรัพยากรแต่ละประเภท 4 ด้าน ทรัพยากรธรรมชาติ ทรัพยากรเศรษฐกิจ ทรัพยากรสังคม และทรัพยากรการเมือง เป้าหมายคือต้องปฏิรูปให้ทุกกลุ่มเข้าถึงทรัพยากรทุกด้านอย่างเท่าเทียม
หลากหลายแนวทางของ คปร. แต่ที่เป็นรูปธรรมที่สุด คือ ข้อเสนอที่อานันท์ได้แถลงข่าวมาตรการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกร 5 ข้อ โยนให้รัฐบาลและทุกพรรคพิจารณา
1.ให้มีการจำกัดเพดานการถือครองที่ดินเพื่อการเกษตรไว้ไม่เกิน 50 ไร่ต่อครัวเรือนเพื่อลดการกระจุกตัวของการถือครองที่ดิน
2.ให้มีการจัดระบบข้อมูลการถือครองที่ดินเพื่อการเกษตรทั้งประเทศเป็นข้อมูลสาธารณะ
3.ให้จัดตั้งกองทุนธนาคารที่ดินเพื่อการเกษตรทำหน้าที่จัดซื้อที่ดินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์
4.ให้มีการจัดเก็บภาษีที่ดินเกษตรกรรมในอัตราก้าวหน้า เพื่อลดแรงจูงใจในการสะสมที่ดินไว้โดยไม่ทำประโยชน์โดยผู้ที่มีที่ดินขนาดต่ำกว่า 10 ไร่ ให้เสียภาษีในอัตราต่ำร้อยละ 0.03 ที่ดิน 10 – 50 ไร่ เสียภาษีร้อยละ 0.1 และสำหรับที่ดินที่เกินจาก 50 ไร่ให้เสียภาษีอัตราก้าวหน้าสูงร้อยละ 5 และ
5.ให้มีการกำหนดเขตการใช้ที่ดินเพื่อการเกษตรขึ้นมาอย่างชัดเจน โดยกำหนดให้ผู้ถือครองที่ดินดังกล่าวจะต้องเป็นผู้ทำการเกษตรด้วยตนเอง
ดังนั้น เมื่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์ต้องการปฏิรูปประเทศ ให้สภาปฏิรูปแบ่งเป็น 3 คณะ คือการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมก็ไม่ต้องเสียเวลา หรืองบประมาณไปศึกษาอะไรเพิ่มอีก เมื่อโรดแมปต่างๆ มีให้หมดแล้วอยู่ที่ว่าจะใช้หรือไม่.