ประกันสังคมหวั่นขยายอายุทำงาน กระทบกองทุนชราภาพ
มส.ผส.จัดเวทีเสวนาวิชาการมโนทัศน์ใหม่ผู้สูงอายุ ระดมความเห็นถอดประสบการณ์ 5 ประเทศ รับมือ ด้านคณบดี วิทยาลัยประชากรศาสตร์ จุฬาฯ ย้ำชัดไทยจำเป็นต้องคิดได้แล้ว ขยายอายุเกษียณ เร่งเพิ่มกำลังแรงงานในระบบ
วันที่ 10 กันยายน มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) จัดเวทีเสวนาวิชาการมโนทัศน์ใหม่ของผู้สูงอายุเรื่อง "การขยายอายุการทำงาน : บทเรียนจากต่างประเทศและบริบทสำหรับสังคมไทย" ณ ห้องประชุมสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์
โดยในเวทีมีการนำเสนอบทเรียนจากต่างประเทศ 5 ประเทศ ได้แก่ ประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส สิงคโปร์เกาหลี และญี่ปุ่น ปัญหาที่พบเหมือนกันคือด้านเศรษฐกิจ บำเหน็จบำนาญของภาครัฐ ผู้สูงอายุมีค่าใช้จ่ายไม่เพียงพอใช้ในวัยที่เลิกทำงาน เกิดความยากจนในกลุ่มผู้สูงอายุมากขึ้น
- ประเทศอังกฤษ มีแผนระยะยาวกำหนดให้ แรงงานชายเกษียณ 65 ปี แรงงานหญิงเกษียณ 60 ปี (ปี พ.ศ.2563 จะเป็น 65 ปี) และมีแผนที่จะขยายเป็น 66 – 68 ปี ในปี พ.ศ. 2573– 2593 (เพิ่ม 1 ปีทุกๆ 10 ปี)
- ประเทศญี่ปุ่น เดิมกฏหมายกำหนดการเกษียณอายุที่ 60 ปี และภายในปี พ.ศ. 2556 จะต้องขยายเป็น 65 ปี
- ส่วนสิงคโปร์ ปี พ.ศ.2542 กำหนดอายุการทำงานที่ 62 ปี มีแนวโน้มที่จะขยายเป็น 65-67 ปี ในอนาคตแรงงานสามารถทำงานต่อได้ตามความสมัครใจ
- เมื่อเดือนเม.ย.2556 เกาหลีใต้ประสบความสำเร็จในการประกาศใช้กฎหมาย หลังจากใช้เวลาหลายปีเพื่อทำกฎหมายขยายเวลาเกษียณอายุมานาน เพราะมีการต่อต้านกันมาก โดยออกกฎหมายว่าเอกชนต้องจ้างงานถึงอายุ 60ปี แต่ให้กฎหมายมีผลบังคับใช้ปีพ.ศ 2559 ในสถานประกอบการที่มีลูกจ้าง 300 คนขึ้นไปก่อน ส่วนในปี พ.ศ. 2560 ให้มีผลบังคับใช้ทุกหน่วยงาน
- ขณะที่ประเทศฝรั่งเศส ที่มีการใช้นโยบายรัฐสวัสดิการที่เข้มงวดเกี่ยวกับนโยบายเพิ่มหรือลดอายุ เกษียณหรืออายุการทำงานกลับถูกใช้เป็นเครื่องมือในการหาเสียงของพรรคการเมืองโดยไม่คำนึงถึงการขาดแคลนแรงงานที่จะเกิดขึ้น แม้นโยบายของฝรั่งเศสจะมีจุดเด่นในการกำหนดอายุเกษียณตามลักษณะอาชีพเป็น หลัก แต่นั้นกลับก่อให้เกิดความแตกแยกระหว่างแรงงาน สหภาพแรงงานและตัวแทนลูกจ้างมีการรวมตัวกันอย่างเข้มแข็งในบางอาชีพ และทำให้นโยบายขยายอายุการทำงานถูกต่อต้านอย่างหนักจนส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจ และสังคม และทำให้แผนการขยายอายุเกษียณต้องหยุดชะงักลง
ดร.ปภัศร ชัยวัฒน์ อาจารย์มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี กล่าวถึงความน่าสนใจในการขยายอายุเกษียณในสิงคโปร์ รัฐบาลจะส่งสัญญาณให้แก่ประชาชนรับทราบอย่างชัดเจนว่า จะต้องพึ่งพาตนเองเป็นหลัก ภาครัฐจะไม่มีการมุ่งเน้นการเป็นรัฐสวัสดิการ ทำให้ประชาชนในสิงคโปร์ต้องมีการวางแผนการออมตลอดช่วงชีวิตอย่างเหมาะสมเพื่อให้มีรายได้ในการดำเนินชีวิต รวมถึงออกนโยบายถอนเงินก้อนหรือบำเหน็จได้เมื่ออายุ 55 ปี โดยจะต้องกันเงินส่วนหนึ่งไว้เพื่อจ่ายเป็นเงินบำนาญรายเดือน และขยายอายุในการรับเงินบำนาญไปเรื่อยๆ
"ขณะนี้ในสิงคโปร์กำหนดอายุเกษียณขั้นต่ำที่ 65 ปี อุปสรรคอย่างหนึ่งของกลุ่มวัยแรงงานหนุ่มสาวที่มีทัศนคติต่อผู้สูงอายุ โดยมองว่า ผู้สูงอายุจะมีความสามารถลดลง และนั่นอาจเป็นเหตุผลทำให้ผู้สูงอายุหางานได้ยาก"
ด้านน.ส.นพวรรณ ศรีเกตุ นักวิชาการอิสระ กล่าวถึงการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุในประเทศเกาหลีใต้มีความแตกต่างจากประเทศที่พัฒนาแล้วหลายประเทศ เนื่องจากประเทศเกาหลีใต้มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรอย่างรวดเร็วและกำลังจะเป็นสังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ จนส่งผลกระทบต่อระบบบำนาญแห่งชาติที่อาจจะล้มละลายในไม่ช้า เนื่องจากมีจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เกาหลีใต้ต้องออกมาตรการและนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหา ไม่ว่าจะเป็นการใช้ระบบสวัสดิการการทำงานที่กำหนดให้นายจ้างในอุตสาหกรรมต่างๆต้องรับผิดชอบดูแลลูกจ้างแรงงาน และขยายอายุเกษียณ จากภาครัฐที่ให้เกษียณก่อนอายุ 60 ปีและภาคเอกชน 55-57 ปี เปลี่ยนมาเป็นเกษียณที่อายุ 60 ปี ซึ่งจะเริ่มใช้ในปี 2016
ขณะที่รศ.ดร.วรเวศม์ สุวรรณระดา คณบดี วิทยาลัยประชากรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมสูงวัยในญี่ปุ่นทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ รัฐบาลญี่ปุ่นพยายามออกกฎหมายให้ภาคเอกชนส่งเสริมการจ้างงานผู้ที่มีอายุ มากกว่า 60 ปี โดยกำหนดเป้าหมายล่วงหน้าว่าจะขยับอายุเกษียณขึ้นเป็น 65 ปี โดยในปี 2000 มีการแก้ไขกฎหมายเสถียรภาพการจ้างงานผู้สูงอายุ กำหนดให้เป็นหน้าที่ของนายจ้างที่จะต้องพยายามจัดให้มีมาตรการเพื่อส่งเสริม หรือเตรียมการเพื่อเสถียรภาพในการทำงานของผู้ที่มีอายุจนถึง 65 ปี ซึ่งในประเทศญี่ปุ่นได้มีการแก้กฎหมายในเรื่องของผู้สูงอายุอยู่หลายครั้ง
สำหรับ ประเทศไทย ดร.วรเวศม์ กล่าวด้วยว่า ก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งจากการคาดการณ์ประชากรจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ ระบุว่าหากอัตราภาวะเจริญพันธุ์ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องอย่างที่เป็นอยู่ ทำให้ในอนาคตจำนวนประชาการวัยแรงงานมีจะมีแนวโน้มลดลง ซึ่งอาจจะเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ ดังนั้นมีความจำเป็นที่จะต้องขยายอายุเกษียณหรือยืดอายุการทำงานเพื่อเพิ่ม กำลังแรงงานกลุ่มลูกจ้างหรือกำลังแรงงานในระบบ
กรณีขยายเวลาเกษียณอายุนั้น นางนิยดา เสรีย์มโนมัย ผู้อำนวยการกองวิจัยและพัฒนา สำนักงานประกันสังคม กล่าวว่า ในส่วนของประกันสังคมจะมีผลกระทบในเรื่องกองทุนกรณีชราภาพ เนื่องจากกลุ่มแรงงานในไทยไม่เข้าใจในเรื่องการยืดหยุ่นของกองทุนว่า หากมีการสมทบมากขึ้นจะทำให้อัตราบำนาญเพิ่มขึ้นตามไปด้วย และเนื่องจากประกันสังคมกำหนดสิทธิในการรับบำเหน็จไว้ที่อายุ 55 ปี ทำให้นายจ้างใช้สิทธินี้ในการเกษียณลูกจ้าง
"หากมีการขยายอายุการทำงานโดยกลุ่มลูกจ้างยังคงใช้สิทธิการเกษียณเท่าเดิม จะส่งผลกระทบต่อกองทุนเพราะเงินอาจจะไม่เพียงพอ เพราะในขณะนี้จำนวนผู้สูงอายุในไทยมีจำนวนมากและในปลายปีนี้จะมีผู้ได้รับสิทธิจากกองทุนชราภาพเป็นปีแรก" นางนิยดา กล่าว พร้อมกับเห็นว่า การจะส่งเสริมให้กองทุนมีเสถียรภาพ การสมทบเงินเข้ากองทุนเป็นสิ่งสำคัญ แต่เนื่องจากที่ผ่านมาประกันสังคมพยายามอธิบายถึงการขยายอายุการรับสิทธิกับกลุ่มแรงงานเอกชนกลับมีกระแสต่อต้านค่อนข้างมาก