ตำรวจเฝ้าระวังพื้นที่แข่งเลือกตั้งรุนแรงใน กทม.
ศูนย์รักษาความสงบเรียบร้อยการเลือกตั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติสรุปตัวเลขการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง พบแล้วกว่า 42 คดี การทำลายป้ายหาเสียงทั่วประเทศ 1,246 ป้าย ส่วนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ตำรวจนครบาลเฝ้าจับตาเป็นพิเศษ 8 เขต จาก 33 เขตเลือกตั้ง เนื่องจากมีรายงานการแข่งขันที่ดุเดือดของพรรคการเมือง
พล.ต.ต.กรีรินทร์ อินทร์แก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เปิดถึงการประเมินพื้นที่ที่มีการแข่งขันกันอย่างสูงของพรรคการเมืองต่างๆ ในเขตกรุงเทพมหานครว่า มีพื้นที่เฝ้าระวัง 8 เขตเลือกตั้ง จาก 33 เขตเลือกตั้ง ได้แก่ พื้นที่หลักสี่, ดอนเมือง, สายไหม, คลองสามวา, หนองจอก, บางขุนเทียน, บางบอน และทวีวัฒนา โดยทั้ง 8 จุดนี้ ตำรวจนครบาลมีมาตรการเชิงรุกโดยจะจัดกำลังไว้ดูแลหน่วยเลือกตั้งกว่า 11,000 นาย ในวันเลือกตั้ง
ส่วนวันที่ตำรวจยอมรับว่าเป็นห่วงมากที่สุด คือวันที่ ผู้สม้ครจากพรรคการเมืองต่างๆ จัดปราศรัยใหญ่ในวันที่ 1 กรกฎาคม โดยพรรคประชาธิปัตย์จัดที่สวนเบญจสิริ, พรรคเพื่อไทยจัดที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน และพรรคกิจสังคม จัดขึ้นที่สวนลุมพินี เนื่องจากการจัดปราศรัยในวันเดียวกันต้องใช้กำลังตำรวจจำนวนมาก และอาจมีผู้ไม่หวังดีอาศัยช่วงเวลาที่มีการรวมตัวกันของคนจำนวนมาก ในการก่อเหตุสร้างความไม่สงบได้
ส่วนการกระทำความผิดในช่วงที่มีการหาเสียงเลือกตั้ง ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อยการเลือกตั้ง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยข้อมูลว่า ใสนปัจจุบันมีคดีการกระทำผิดที่พบ เช่น การใส่ร้ายป้ายสี และการให้ทรัพย์สิน รวม 4 คดี, คดีการทำลายป้ายหาเสียง และผิดกฎหมายเลือกตั้ง 38 คดี ส่วนข้อมูลจำนวนการทำลายป้ายหาเสียง ทั่วประเทศพบ 1,246 ป้าย เกิดขึ้นในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 1 มากที่สุด จำนวน 323 ป้าย และป้ายหาเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ถูกทำลายมากที่สุด ส่วนการร้องขอตำรวจให้มาดูแลความปลอดภัย ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ยอดจนถึงวันนี้มีทั้งหมด 282 คน
ส่วนกรณีการวางตัวไม่เป็นกลางทางการเมือง ในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งของข้าราชการประจำ มีข้อมูลจาก กกต. สืบสวนสอบสวนว่า มีมูลที่เข้าข่ายความผิด ตามกฎหมายแล้ว ซึ่งตามกฎหมาย มาตรา 57 วรรคหนึ่ง ห้ามเจ้าหน้าที่ของรัฐใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย กระทำการใดๆ เพื่อเป็นคุณ หรือเป็นโทษแก่ผู้สมัคร หรือพรรคการเมือง ซึ่งหากมีการฝ่าฝืนกระทำความผิด มีโทษจำคุก 1-10 ปี และปรับ 20,000-200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี และหากความผิดนั้น โยงไปถึง "หัวหน้าพรรค" และ "กรรมการบริหารพรรค" เท่ากับว่า พรรคการเมืองก็เข้าข่ายความผิด ที่มีโทษถึงขั้นยุบพรรค ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 237 วรรค 2 ด้วย

