เมื่อ FTA เดินทางมาถึง: ยาโคตรแพง คนจนห้ามป่วย

(ภาพประกอบจากเว็บไซต์ consumerist.com )
เรื่องเดียวที่ทำให้คนเป็นทุกข์ในโลกนี้คือเรื่องเจ็บป่วย ไม่ใช่เพราะทุกข์จากการเจ็บป่วยเพียงอย่างเดียว แต่ทุกข์จากการที่ต้องคิดว่าจะหาเงินที่ไหนมารักษา
จนเมื่อไทยมีระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่ทำให้คนไทยทุกคนมีหลักประกันสุขภาพ นอกเหนือไปจากข้าราชการและผู้ประกันตนที่มีหลักประกันสุขภาพมาก่อนหน้านั้นแล้ว
“หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า” ครอบคลุมคนไทยทุกคน เป็นหลักประกันว่า คนไทยจะไม่ล้มละลายจากความเจ็บป่วย ไม่ต้องขายไร่ ขายนา ขายตัว เพื่อเอาเงินไปรักษาคนที่รักยิ่งในครอบครัวที่ป่วยด้วย “โรคราคาแพง”
ที่บอกว่าโรคราคาแพงไม่ได้หมายความว่าโรคนั้นราคาแพง แต่การจะรักษาโรคนั้นๆ ให้หายได้ ต้องใช้เงินมหาศาล หลักแสน-หลักล้าน หรือบางกรณีถึงหลายล้านบาท
แต่อะไรล่ะที่ทำให้โรคธรรมดาราคาแพงได้ เวลาโรคจะมาเคาะประตูเยี่ยมเรา หรือมาขอใช้ร่างกายเราเป็นที่อาศัยก็ไม่ได้บอกก่อนล่วงหน้า ไม่ได้เลือกจากรูปร่าง หน้าตา ฐานะ ใครๆก็มีสิทธิป่วยด้วยโรคต่างๆได้ทั้งนั้น หลายโรคต่อให้พยายามอย่างไร เราก็นึกไม่ออกว่าจะป้องกันไม่ให้เจ้าโรคนั้นมาใช้ร่างกายเราเป็นที่อาศัยได้ อย่างเช่น มะเร็ง
เหตุผลหนึ่งที่ทำให้ยาราคาแพง เรียกว่า “สิทธิบัตรยา”
สิทธิบัตรเป็นแรงจูงใจให้ผู้คิดค้น วิจัย พัฒนา “ยาตัวใหม่ๆของโลก” ได้รับสิทธิในการขายยานั้นแต่เพียงผู้เดียว เป็นเวลา 20 ปี” ยาตัวนั้นจะมีชื่อเรียกอย่างหรูว่า “ยาต้นแบบ” (Original Drugs)
หลังจากนั้นหากมีเจ้าที่สอง เจ้าที่สามที่คิดได้เหมือนกัน ผ่านขั้นตอนการพิสูจน์แล้วว่ามีคุณภาพเท่าเทียมกันกับยาต้นแบบ ก็จะสามารถมาขายคู่กันในท้องตลาดได้ เรียกว่า “ยาชื่อสามัญ (Generic Drugs)”
เมื่อมีการแข่งขันในตลาด แน่นอนว่าราคายานั้นย่อมถูกลงกว่า 20 ปีแรก ที่มีผู้ขายได้แต่เพียงผู้เดียวอย่างแน่นอน อย่างเช่น ยาเล็ทโทรโซล เป็นยาที่ใช้รักษาโรคมะเร็งเต้านม ยาต้นแบบราคา 230 บาท ขณะที่ราคายาชื่อสามัญนั้น ราคาเพียง 6 บาท
องค์การการค้าโลกโดยไทยก็เป็นสมาชิกอยู่ด้วย ให้รางวัลผู้ประดิษฐ์คิดค้นยาใหม่ๆ ให้ขายได้เพียงผู้เดียวในตลาดเพื่อเป็นแรงจูงใจให้คิดค้น และพัฒนาสิ่งใหม่ๆที่เป็นประโยชน์ เวลา 20 ปีก็นานพอที่จะทำกำไรได้เกินการลงทุนแล้ว แต่หากเราเป็นเจ้าของสิทธิบัตร เราก็คงอยากหาทางทำให้เรายังคงเป็นเจ้าเดียวที่ขายได้ในตลาด แบบไม่ต้องมีคู่แข่งตลอดไป
จึงเป็นที่มาของข้อเสนอต่อประเทศยักษ์ใหญ่ที่มีอุตสาหกรรมยาขนาดใหญ่ อย่างสหภาพยุโรปต้องการมากที่สุด คือขยายเวลาคุ้มครองสิทธิบัตรจาก 20 ปี เป็น 25 ปี และคุ้มครองข้อมูลทดสอบยาหรืออีกนัยหนึ่งคือการผูกขาดข้อมูลการขึ้นทะเบียนตำรับยา (data exclusivity) ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็น “สิทธิบัตรอำพราง” เพื่อเพิ่มการผูกขาดของสิทธิบัตรที่มีอยู่เดิม โดยอาจมีระยะเวลาการผูกขาดเพิ่มมากขึ้นถึง 10 ปี
จากประสบการณ์ในหลายประเทศ เช่น โคลัมเบีย หลังจากที่สหภาพยุโรปบังคับให้มีการผูกขาดข้อมูลยา 10 ปี ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายด้านยาของประเทศเพิ่มขึ้นถึง 340 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (10,200 ล้านบาท) ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่พบว่า ถ้าปล่อยให้มีการผูกขาดข้อมูลการขึ้นทะเบียนตำรับยาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 (ซึ่งเป็นปีที่ทำการศึกษา) ทำให้ค่าใช้จ่ายด้านยาของไทยในอีกห้าปีข้างหน้า (พ.ศ. 2556) จะสูงถึง 81,356 ล้านบาทต่อปี
และมากกว่ามูลค่าการคงสิทธิพิเศษทางการค้า (GSP) ที่ไทยหวังจะได้จากการเจรจาเอฟทีเอกับสหภาพยุโรปที่คิดเป็น 79,422 ล้านบาท
สหภาพยุโรปยื่นข้อเรียกร้องนี้ต่อทุกประเทศที่เจรจาการค้าเสรี
ล่าสุดรัฐบาลอินเดียหาญกล้า ยืนกระต่ายขาเดียวไม่รับข้อเสนอข้อนี้ ไม่รับข้อตกลงที่เกินไปกว่าทริปส์ การเจรจายืดเยื้อยาวนานแต่แล้วสหภาพยุโรปก็ต้องยอมถอดข้อเรียกร้องนี้ออกไปจากการเจรจา โดยที่ไม่ต้องล้มโต๊ะเจรจา
อินเดียถือเป็นร้านยาของโลกที่ผลิตยาชื่อสามัญคุณภาพดี ราคาถูกให้ทั่วโลกได้เข้าถึงการรักษาโรคเรื้อรังต่างๆ ได้ นี่เป็นตัวอย่างของความหาญกล้าของรัฐบาลที่จะปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน การเจรจาการค้าเสรีระหว่างอินเดียกับสหภาพยุโรปก็ยังคงดำเนินต่อไป โดยไม่ต้องเอาชีวิตของคนอินเดียไปแลก
แต่...หากการเจรจาที่จะมาถึงในวันที่ 16-20 กันยายนนี้ รัฐบาลไทยไม่ยืนยันที่จะปกป้องผลประโยชน์ของคนไทย ยอมแลกเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา ยอมข้อตกลงที่เกินไปกว่าทริปส์ เพื่อแลกกับการได้ต่ออายุสิทธิพิเศษทางการค้า (GSP) ให้กับนายทุน
ประชาชนและคนป่วยก็คงต้องสู้สุดใจ แม้จะต้องเอาชีวิตเข้าแลกก็ตาม.
