เปิดผลสอบโครงการจำนำข้าว “พิจิตร” ฉบับ "อนุฯกมธ.ฝั่งส.ส."
เปิดผลสอบโครงการจำนำข้าว “พิจิตร” ฉบับ "อนุฯกมธ.ฝั่ง ส.ส." “ผวจ.พิจิตร” ยัน “แอล-โกลด์” ไม่สุจริต “อนุฯกมธ.” เผยขอตรวจนับข้าว แต่ทุก “หน่วยงาน” ปัดความรับผิดชอบ สรุปอาจมี “จนท.รัฐ” มีส่วนได้ส่วนเสีย
เป็นที่แน่นอนแล้วว่า “คณะกรรมาธิการ (กมธ.) พาณิชย์และทรัพย์สินทางปัญญา สภาผู้แทนราษฎร” ที่มีนายสุรศักดิ์ อนรรฆพันธ์ ส.ส.เพรชบูรณ์ พรรคเพื่อไทย จะส่งผลการตรวจสอบโครงการรับจำนำข้าวจังหวัดพิจิตร ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อ 2 ชุด
ชุดหนึ่งเป็นของอนุกมธ.ที่มาจาก “ส.ส.” ที่มี “นิยม ช่างพินิจ” ส.ส.พิษณุโลก พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานอนุกมธ.
อีกชุดหนึ่งเป็นของ “บดินทร์ ลิมปพัทธ์” และ “บุรินทร์ สุขพิศาล” ซึ่งทั้ง 2 คน ชิงลาออกจาก “อนุกมธ.” ก่อนที่จะมีการส่งผลสรุปคดีของ “อนุกมธ.” ให้ “กมธ.ชุดใหญ่” พิจารณา
โดยต่างฝ่ายต่างยืนยันว่าเป็น “ความเห็น” ที่แตกต่างกัน
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org จึงขอเปิดผลสรุปการตรวจสอบโครงการรับจำนำข้าวจังหวัดพิจิตร เพื่อรับฟังเหตุผลที่แท้จริงของทั้ง 2 ฝ่าย
ผลสรุปฉบับ “อนุกมธ.” ที่มี “นิยม ช่างพินิจ” ส.ส.พิษณุโลก พรรคเพื่อไทย นั่งเป็นประธาน ในเบื้องต้นมีดังนี้
สภาพปัญหา
จากการที่เกษตรกรในจังหวัดพิจิตรเข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล และได้นำข้าวไปจำนำกับโรงสี คือ “บริษัท แอล-โกลด์ เมนูแฟคเจอร์ จำกัด” แล้วไม่ได้รับการออกใบประทวนเป็นเวลา 4 เดือน ตั้งแต่เดือนมีนาคม ถึง วันที่ 10 กรกฎาคม 2556
การดำเนินโครงการรับจำนำข้าวตามนโยบายของรัฐบาลของจังหวัดพิจิตร
เอกสารผลสอบระบุว่า นายจักริน เปลี่ยนวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร ชี้แจงว่า โรงสี (บริษัท แอล-โกลด์ เมนูแฟคเจอร์ จำกัด) ได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการปีการผลิต 2555/2556 เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ได้เข้าตรวจโรงสีพร้อมกับรองผอ. อ.ต.ก. และคณะปลัดจังหวัด พาณิชย์จังหวัด การค้าภายในจังหวัด เจ้าหน้าที่ตำรวจ พบว่าโรงสีมีสต๊อกข้าวแต่ไม่สามารถแยกข้าวได้ว่าเป็นโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2555/2556 และมีข้าวขาดสต๊อก
“ซึ่งรอง ผอ.อตก. ได้แจ้งแจ้งความดำเนินคดีข้อหายักยอกทรัพย์กับ บริษัท แอล-โกลด์ เมนูแฟคเจอร์ จำกัด โดยมีน.ส.ณัฐริญา บุญเกื้อ กรรมการผู้จัดการเป็นผู้ต้องหา และได้อายัดเอกสารทั้งหมดไว้ ส่วนข้าวที่เกษตรอ้างว่านำมาจำนำแล้วไม่ได้รับใบประทวน จำนวน 4,000 ตัน ได้ตรวจสอบแล้วไม่พบข้าวเปลือกแต่อย่างใด สาเหตุน่าจะมาจากเกษตรกรนำข้าวมาจำนำที่โรงสี แต่ไม่ได้มาแจ้งที่จัดรับจำนำ ประกอบกับโรงสีไม่สุจริต ได้มีการขนย้ายข้าวออกจากโรงสี”
นายพงศ์วิทย์ เหลืองช่วยโชค รองผอ. อ.ต.ก. ชี้แจงว่า ในวันที่ตรวจนับข้าวพร้อมกับตำรวจได้ลงบันทึกไว้ โดยเซอเวย์เยอร์กลางให้ข้อมูลว่าข้าวที่อยู่ในโรงสีมีอายุเกินกว่า 12 เดือน ตามตรรกะแล้วข้าวนี้เกิดก่อนโครงการถอยหลังไปอีก 2 โครงการ แล้วก็ไม่ใช่ข้าวสาร แต่เป็นข้าวนึ่ง แสดงว่าโรงสีเจตนาเอาข้าวนึ่งมาให้ทางจังหวัดตรวจนับ ซึ่งเป็นข้าวที่นำมาหลอก จึงไม่ใช่ข้าวที่นำมาเข้าโครงการของอ.ต.ก.
“ข้าวที่อยู่ในโรงสีจึงไม่ใช่ข้าวที่เข้ามาในโครงการ อีกทั้งโรงสีที่เข้าโครงการก็มีสิทธิซื้อข้าวเองได้ ใบชั่งน้ำหนักที่เกษตรกรเอาไปชั่งน้ำหนักแล้วเมื่อไม่มีหลักฐานมาเข้าโครงการ เจ้าหน้าที่จึงไม่ได้รับเข้าโครงการ การนำหลักฐานมาเข้าโครงการตัวชาวนาต้องมาเอง ประกอบด้วยบัตรประชาชน ใบรับรองเกษตรกร หน้าสมุดเงินฝากธกส. เมื่อเกษตรกรไม่มาด้วยตนเองประกอบกับไม่มีหลักฐานมายื่น อ.ต.ก. จึงไม่ได้รับเข้าโครงการ”
นางพวงเกสร วงศ์อนุพรกูล ผู้ประสานงาน อ.ต.ก. ชี้แจงว่า ที่ไม่สามารถออกใบทวนให้เกษตรกรได้ เนื่องจาก อ.ต.ก. ที่ประจำจุดรับจำนำข้าวไม่ได้รับเอกสารการจำนำข้าวของเกษตกร ประกอบกับการตรวจในโรงสีไม่พบว่ามีข้าวของเกษตรกร
ด้านตัวแทนเกษตรกร จากอำเภอโพทะเล และอำเภอเมือง ตำบลหัวดง จังหวัดพิจิตร ได้ให้ข้อเท็จจริง 2 กรณี ดังนี้ 1.ได้นำข้าวไปจำนำ ณ จุดรับจำนำ โดยมีเอกสารครบถ้วน โดยได้ส่งมอบเอกสารให้กับโรงสีและได้เก็นไว้เพียงสำเนาใบชั่งน้ำหนักข้าวเท่านั้น
“2.ส่งมอบข้าวให้กับนายอำนาจ ดิษเสถียร ซึ่งอ้างว่าเป็นตัวแทนของโรงสี โดยโรงสีเป็นผู้จัดรถมารับข้าวเอง ซึ่งโดยปกติประเพณีปฏิบัติที่ผ่านมาเกษตรกรจังหวัดพิจิตร ก็จะนำข้าวไปจำนำ ณ ท่าข้าว โดยท่าข้าวเป็นผู้รวมรวบข้าวส่งมอบแก่โรงสีที่เข้าร่วมโครงการ เพราะบางครั้งข้าวมีปริมาณน้อย หรือไม่มีรถไม่สะดวกในการเดินทาง ซึ่งที่ผ่านมาก็ไม่มีปัญหาได้รับการออกใบประทวนทุกครั้ง”
การศึกษาดูงานจุดรับจำนำ ณ โรงสี (บริษัท แอล-โกลด์ แมนูเฟเจอร์ จำกัด)
อนุกมธ.ได้ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนับข้าวที่มีอยู่จริงอีกครั้งหนึ่ง เจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งไม่มีความรู้ในการตรวจนับข้าว และเป็นหน้าที่ของการค้าภายในจังหวัด โดยการค้าภายในจังหวัดแจ้งว่าไม่สามารถเข้าตรวจนับได้ เนื่องจากไม่มีสิทธิเข้ามาในบริเวณโรงสี แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจเสนอให้ขอความยินยอมโรงสีไปก่อน แต่ปัญหาคือเจ้าของโรงสีหลบหนีคดีอยู่
จึงมีประเด็นที่ต้องพิจารณาว่า เมื่อโรงสีเข้าร่วมโครงการรับจำนำกับรัฐบาล โดยต้องมีเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบอยู่ประจำจุดรับจำนำ รวมถึงคณะกรรมการข้าวที่รัฐแต่งตั้ง พาณิชย์จังหวัด การค้าภายในจังหวัด ก็ไม่มีผู้ใดมีอำนาจเข้ามาตรวจสอบโรงสี โดยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต่างก็แจ้งว่าไม่มีอำนาจ เพราะหมดโครงการรับจำนำแล้ว
นอกจากนี้จากการที่เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจง ไม่เคยให้ข้อมูลต่ออนุกมธ.เลยว่ามีการสีข้าวนึ่ง ซึ่งการที่มีข้าวนึ่งอยู่หน้าอาคารโรงสี จึงไม่ใช่เจตนาที่โรงสีหลอกเอาข้าวนึ่งมาวางหลอกให้เจ้าหน้าที่นับอย่างที่ อ.ต.ก. ได้ชี้แจง แต่ที่แท้จริงต้องตรวสอบว่าเป็นข้าวนึ่งที่ได้รับการแปรรูปข้าวที่ได้รับซื้อมาจากเกษตรกรหรือไม่ เพื่อหาข้อสรุปว่าข้าวเป็นของเกษตรกรที่หายไปหรือไม่
“พฤติการณ์ชี้ให้เห็นว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องเจตนาร่วมกันปกปิดข้อมูลต่ออนุกมธ. และหากอนุกมธ.ไม่มีความรู้เรื่องเครื่องจักรในโรงสีก็จะไม่มีทางทราบได้เลยว่าโรงสีเป็นโรงสีข้าวนึ่ง จึงแสดงให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐอาจมีส่วนรู้เห็นให้มีการนำข้าวที่รับซื้อหรือรับจำนำจากเกษตรกรและท่าข้าวไปผลิตเป็นข้าวนึ่ง โดยไม่นำข้าวเข้าระบบโครงการรับจำนำข้าว และช่วยกันปกปิดข้อเท็จจริง ซึ่งอาจจะกระทำกันเป็นขบวนการ”
บทสรุป
1.กรณีนี้อาจเป็นความบกพร่องของเจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่รับผิดชอบ เนื่องจากที่ผ่านมายอมให้มีการรับจำนำข้าว ณ ท่าข้าว เกษตรกรย่อมเข้าใจว่าท่าข้าวคือจุดรับจำนำ เช่นนี้จะปฏิเสธความรับผิดชอบโดยอ้างว่าไม่ใช่จุดรับจำนำข้าวไม่ได้ ส่วนกรณีรับจำนำ ณ โรงสี ซึ่งเป็นจุดรับจำนำข้าวแล้วจะอ้างว่าไม่ได้รับเอกสารจากเกษตรกรหรือไม่มีข้าวมาจำนำไม่ได้ เพราะคณะอนุกมธ. ระดับจังหวัดได้กำหนดให้มีผู้รับผิดชอบในแต่ละพื้นที่อย่างชัดเจน และเจ้าหน้าที่ตำรวจอีก 2 นาย
“เมื่อเกษตรกรนำข้าวมาจำนำ หรือมีการขนย้ายข้าวออกจากโรงสี เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบประจำจุดรับจำนำย่อมรู้เห็นอย่างแน่นอน เว้นแต่จะไม่ได้อยู่ประจำจุดรับจำนำจริง และเป็นไปไม่ได้ที่เกษตรกรจะนำข้าวมาซื้อขายให้กับโรงสีโดยตรงโดยไม่เข้าร่วมโครงการฯ เพราะราคาซื้อขายต่ำกว่าราคาของรัฐบาล ประกอบกับผู้ปฏิบัติงานของ อ.ต.ก. ก็ให้ข้อมูลกับคณะอนุกมธ.ด้วยว่าเป็นผู้ประสานงาน อ.ต.ก. พิจิตร ได้สั่งให้ปกปิดยอดและตอบผู้เกี่ยวข้องทุกคนว่าไม่รู้ไม่เห็นว่าเกษตรกรนำข้าวมาเข้าร่วมโครงการรับจำนำของรัฐบาล”
2.เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบประจำจุดรับจำนำโรงสี บริษัทแอล-โกลด์ แมนูแฟคเจอร์ จำกัด ได้ยอมรับกับคณะอนุกมธ.ว่าไม่ได้อยู่ประจำจุดตลอดเวลาทำการ ซึ่งเป็นช่องว่าก่อให้เกิดการทุจริตได้ง่ายขึ้น
3.มีการปล่อยให้ปัญหาเกิดขึ้นนานกว่า 4 เดือน และไม่ได้มีการแจ้งเตือนเกษตรกร หรือยกเลิกการเข้าร่วมโครงการฯ ของโรงสีดังกล่าว
4.มีการสอบคำให้การเจ้าหน้าที่รัฐว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ เพราะหากพบว่าเกินจากการปฏิบัติหน้าที่โดยบกพร่องของเจ้าหน้าที่รัฐ รัฐบาลต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายให้กับเกษตรกร เพราะโครงการนี้เป็นของรัฐบาล และจังหวัดในฐานที่ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานกรรมการข้าวของจังหวัด อีกทั้งโรงสีก็ทำงานภายใต้การกำกับดูแล ซึ่งพบความผิดปกติที่มีความเป็นไปได้ว่าเจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนในการกระทำผิด ไม่ว่าการอนุญาตให้เข้าร่วมโครงการของโรงสีตั้งแต่ต้นทั้งที่มีประวัติการทุจริตมาก่อน
5.การศึกษาดูงาน ณ จุดรับจำนำโรงสี บริษัทแอล-โกลด์ แมนูแฟคเจอร์ จำกัด พบว่าไม่มีข้าวอยู่จริง มีการขนย้ายข้าวของเกษตรกรไปจำหน่าย พฤติการณ์จึงเชื่อได้ว่าโรงสีเจตนาทุจริตมาตั้งแต่แรก
6.ตัวเลขความเสียหายของเกษตรกร หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งเกษตรจังหวัด เจ้าหน้าที่ตำรวจชี้แจงความเสียหายที่แท้จริงแต่ตัวเลขไม่ตรงกัน เพราะฉะนั้นขอให้ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงตรวจสอบความถูกต้องของยอดความเสียหายว่ามีจำนวนเท่าใด
7.หากข้อเท็จจริงปรากฏว่าเกษตรกรไม่มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดและข้าวได้ส่งมอบข้าวเปลือกให้ อ.ต.ก. โดยสมบูรณ์แล้ว กรรมสิทธิ์ในข้าวย่อมตกเป็นของ อ.ต.ก. กรรมสิทธิ์จึงโอนแล้ว และถือเป็นหน้าที่ของ อ.ต.ก. ที่จะต้องออกใบประทวนให้แก่เกษตรกรที่นำข้าวมาร่วมโครงการรับจำนำ
ข้อเสนอแนะ
1.การดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกปี 2556 ยังมีการดำเนินการต่อไป และจากการติดตามโครงการรับจำนำของรัฐบาลในหลายจังหวัด พบว่ามีการดำเนินการคล้ายคลึงกัน รัฐบาลควรควบคุมและกำกับดูแลการรับจำนำในทุกขั้นตอนอย่างเคร่งครัด และหากตามการสืบสวนสอบสวนพบว่ามีการทุจริตเกิดขึ้นจริงในจังหวัดพิจิตรครั้งนี้ ควรจะเป็นคดีตัวอย่างที่รัฐจะต้องดำเนินการทางคดีให้ถึงที่สุด
2.การคัดเลือกผู้ช่วยปฏิบัติงาน อ.ต.ก. ประจำจุดรับจำนำ ควรปฏิบัติการอย่างเคร่งครัดตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ มิเช่นนั้นอาจเกิดกรณีรับผู้มีส่วนได้เสียเข้ามาทำงาน อย่างเช่นผู้ช่วยปฏิบัติงาน อ.ต.ก. ประจำจุดรับจำนำโรงสี บริษัทแอง-โกดล์ แมนูแฟคเจอร์ จำกัด พบว่าเป็นเครือญาติและมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเดียวกันกับโรงสี อีกทั้งผู้ช่วยปฏิบัติงาน อ.ต.ก. ประจำจุดรับจำนำทั้ง 2 คน ยังเป็นสามีภรรยากันอีกด้วย
3.ควรมีการตรวจรับรองเพื่อยืนยันปริมาณข้าวเปลือกทุก 7 วัน โดยเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบประจำจุดรับจำนำทุกคนและโรงสีที่เข้าร่วมโครงการ หากยังไม่สามารถออกคำสั่งสีแปรได้
4.เกษตรกรบางรายก็ได้มีการรับเงินจากโรงสีไปบางส่วนแล้ว จะต้องหายอดความเสียหายที่แท้จริงเพื่อที่จะเฉลี่ยความเหมาะสมของการได้รับคืนเงิน ซึ่งก็ต้องมีการเสียสละร่วมกันด้วย
5.ให้โรงสีนำข้าวในครอบครองของโรงสีออกจำหน่ายและนำเงินมาชดใช้ให้ชาวนา โรงสีจะยินดีหรือไม่ เพราะถ้าเก็บข้าวไว้นานข้าวจะเสื่อมสภาพไม่มีมูลค่า เนื่องหากดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมจะต้องใช้ระยะเวลานาน
ทั้งหมดคือผลการตรวจสอบโครงการรับจำนำข้าว จังหวัดพิจิตร ฉบับ “อนุกมธ.ฝั่งส.ส.” จะสมบูรณ์มากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับดุลยพินิจ และยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่า หลังจากที่เกิดปัญหาความขัดแย้งในคณะอนุฯ รายงานฉบับนี้ จะมีการปรับเปลี่ยนข้อมูลเพิ่มเติมมากน้อยเพียงใด
ส่วนผลสอบฉบับ “บดินทร์-บุรินทร์” ติดตามได้เร็วๆนี้