“เอ็นจีโอกินป่าหรือ ไม่กินข้าวหรือ”
"ภาสกร จําลองราช" นักสื่อสารมวลชน โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวชื่อ Paskorn Jumlongrach แสดงความเห็นส่วนตัวเกี่ยวกับกลุ่มคนที่ลุกขึ้นสู้เพื่อปกป้องผืนป่าตะวันตก ที่มีนายศศิน เฉลิมลาภ เลขาธิการมูลนิธิสืบนาคะเสถียร เป็นแกนนำ...
----------------
“เอ็นจีโอกินป่าหรือ ไม่กินข้าวหรือ” เป็นคำด่ามากกว่าคำถาม ที่ผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่งพูดขึ้นหลังจากชวนศศิน เฉลิมลาภ ไปดื่มน้ำ ระหว่างการเดินเท้าค้านอีเอชไอเอเขื่อนแม่วงก์
“พอได้ยินอย่างนี้ ผมรู้แล้วว่าคงคุยกันไม่รู้เรื่องแน่ และเราก็ไม่ได้ตั้งใจมาอธิบาย เพียงแต่ไม่เห็นด้วยกับอีเอชไอเอ”ศศิน เล่าให้เพื่อนพ้องน้องพี่ฟังในค่ำคืนที่เดินเท้ามาถึงตัวเมืองอุทัยธานี
เมื่อวาน(13 กันยายน) บ่ายๆ พวกเราขับรถมาถึงอุทัยฯเพราะอยากให้กำลังใจกลุ่มคนที่ลุกขึ้นสู้เพื่อปกป้องผืนป่าตะวันตก ท่ามกลางสายฝนที่เทกระหน่ำ จนทีมเดินเท้าต้องหยุดพัก พอฝนซาก็เดินกันต่อ ดูความมุ่งมั่นของพวกเขาแล้วก็ต้อง “ค้อมตัว” คาราวะ
“บางคนก็เอาน้ำมาให้ บางคนเอาผลไม้มาให้ บางคนเอาเงินมาให้ อย่างที่ลาดยาว พอเอาเข้าจริง ปรากฎว่ามีคนเอาน้ำมาให้เยอะ มีต่อต้านเพียงคนเดียว” ศศิน สรุปการเดินทางในช่วง 3-4 วันที่ผ่านมา แบบเล่าสู่กันฟัง
การเดินเท้าของทีม “ฉีก” อีเอชไอเอเขื่อนแม่วงก์ แม้จะมีน้ำใจรายทางและที่อื่นๆคอยเติมพลังอยู่เสมอ แต่การ “ตั้งลำ”ของฝ่ายหนุนเขื่อนก็ดูจะแข็งกร้าวไม่น้อย
มีความจำเป็นต้องฉีกอีเอชไอเอฉบับนี้ เพราะนอกจากวิธีการเขียนชนิด “เอาแต่ได้” แล้ว ยังมีหลายประเด็นที่ทำท่าว่าเป็นการโกหกประชาชน เพียงเพราะต้องการให้เกิดโครงการเพื่อเกื้อหนุนด้านเศรษฐกิจเท่านั้น
ผมเชื่อว่าในประเทศนี้ ไม่มีเครือข่ายใดที่ยิ่งใหญ่และทำงานมีประสิทธิภาพเท่ากับเครือข่ายประชาชนในระบบ “หัวคะแนน”ของนักเลือกตั้ง
เมื่อลูกพี่ใหญ่ที่ยกเมือหนุนรัฐบาลอยู่ในสภาฯส่งสัญญาณอย่างใดอย่างหนึ่งสู่พื้นที่ ประสิทธิผลของมันจะออกมาอย่างรวดเร็วยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อลูกพี่ใหญ่เป็นนักการเมืองในซีกรัฐบาลที่สามารถกุมกลไกลการปกครองไว้ในมือ
การถ่ายเทข้อมูลโดยคำบอกเล่าบนความน่าเชื่อถือใน “ลูกพี่” ทำให้ขบวนการหัวคะแนนเฟื่องฟู ขณะที่ข้อเท็จจริงอีกมุมหนึ่งถูกปฏิเสธตั้งแต่ยังไม่ได้ฟัง แถมถูก “เป่า”ให้กลายเป็น “พิษ”
เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลก ในหลายพื้นที่ที่ทีมเดินเท้าฉีกอีเอชไอเอเดินทางไปถึง จึงถูกเป่าให้เป็นเพียง “นักปลุกระดม” แต่ชาวบ้านจำนวนมากก็ฉลาดพอที่จะเรียนรู้และตั้งคำถามด้วยตัวเอง แทนที่จะเชื่อตามมนต์ที่นักการเมืองเป่า
แต่สิ่งที่ผมรู้สึกระเหี่ยใจสุดๆก็คือ การสั่ง “บล็อค”ไม่ให้คาราวานเดินเท้าพักค้างคืนตามจุดแวะต่างๆ โดยในช่วงที่เดินผ่านอำเภอลาดยาวถูกปฎิเสธถึง 4 แห่ง แม้แต่วัดวาต่างๆ ก็ถูกเป่ามนต์ให้ปฎิเสธ โดยนักการเมืองท้องถิ่นบางส่วน นายกเทศมนตรีบางคน กำนันบางคน ผู้ใหญ่บ้านบางคน รับลูกมาจากศูนย์อำนาจส่วนกลาง
เป็นเรื่องที่บีบหัวใจมาก ในยุคสมัยที่มีคำพร่ำเพ้อถึง “ประชาธิปไตย”กรอกหูวันละหลายเวลา
ในยุคที่ความเจริญด้านวัตถุพุ่งทะยานจนคิดว่าเป็นการพัฒนา
ในยุคที่ชวนให้เชื่อว่าเสรีภาพมีมากล้น แต่ความเป็นอิสระขั้นพื้นฐาน กลับถูกกดให้จมลึกโดยมีตำว่าประชาธิปไตยฉาบปิดผนึกไว้แน่น
บางทีอาจต้องรอเวลาให้ข้อมูลเชิงประจักษ์โจ่งแจ้งท่วมล้น สังคมนี้ถึงจะเข้าถึงคุณค่าและวิถีชีวิตที่แท้จริง
