“วีระ” เชื่อ ไม่มีพรรคไหนได้คะแนนเกิน 251 เสียงแน่

นักวิเคราะห์ แจง พบรูรั่ว คะแนนไหลทั้งในถิ่น ปชป-พท. ด้าน วงศ์ทะนง เผย วัยรุ่นสนใจการเมืองแค่ผิว เลือก ส.ส. ชนิดเอามัน
วันที่ 10 มิถุนายน สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย จัดเสวนา “มองมุมสื่อ: ประเทศไทยหลังการเลือกตั้ง” ณ ห้องประชุมอิศรา อมันตกุล สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย โดยมีนายเทพชัย หย่อง ผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ ไทย พีบีเอส นายวีระ ธีระภัทรานนท์ นักวิเคราะห์และสื่อมวลชนอิสระ นายทนง ขันทอง บรรณาธิการ Asian’s TV และนายวงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เดย์ โพเอทส์ จำกัด ร่วมเสวนา และมีนายกิตติ สิงหาปัด รายการข่าว 3 มิติ เป็นผู้ดำเนินรายการ
เลือก ส.ส.ต้องรู้เท่าทัน ไม่ใช่เลือกตามอารมณ์ ชอบ-ไม่ชอบ
นายเทพชัย กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ ถือถูกวิเคราะห์และตั้งความหวังไว้มากที่สุด ไม่ว่าจะเปิดหนังสือพิมพ์หรือโทรทัศน์จะมีคนมาวิเคราะห์ตลอดเวลาว่า หลังการเลือกตั้งจะเกิดอะไรขึ้น ที่น่าสนใจคือข้อสรุปของการวิเคราะห์ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีแนวทางคล้ายๆ กัน นั่นคือมองไม่เห็นอนาคต เห็นแต่ภาพความวุ่นวาย การเผชิญหน้า ซึ่งถือเป็นเรื่องน่าเศร้า
“เราเชื่อว่า หากมีการเลือกตั้งขึ้นมาจะช่วยล้างอะไรบางอย่าง และเป็นจุดเริ่มต้นที่จะนำไปสู่ก้าวใหม่ที่ดีขึ้น แต่ปรากฏการณ์ ความเคลื่อนไหวในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ไม่มีความชัดเจนและสงสัยว่าจะจบอย่างไร หากยิ่งลักษณ์มาเป็นอันดับหนึ่ง จัดตั้งรัฐบาลได้ ก็เห็นความวุ่นวาย ขวากหนาม ผลพวงที่ไม่สวยงามรออยู่ข้างหน้า อีกด้านหนึ่ง หากเป็นพรรคของอภิสิทธิ์ขึ้นมา ดูจากโพลล์ทั้งหลายชี้ว่าตัวเลข ไม่สวยนัก แต่ก็จะหาทางกระทั่งจัดตั้งรัฐบาลขึ้นมาได้ ซึ่งก็จะเกิดความวุ่นวายในอีกรูปแบบหนึ่งเช่นกัน แต่ที่น่าแปลกใจคือ ทำไมสังคมไทยถึงมีทางเลือกแค่นี้ อีกทั้งยังถูกตีกรอบด้วยคำว่าปรองดอง แต่จะปรองดองเพื่อใคร ไม่มีพรรคไหนให้คำตอบได้ แม้กระทั่งพรรคที่ชูเรื่องนายกปรองดองเองก็ตาม”
นายเทพชัย กล่าวต่อว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ อยู่ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของการรวมตัวเป็นอาเซียน ซึ่งไม่ว่าจะฟิลิปปินส์ สิงค์โปร มาเลเซีย อินโดนีเซีย ก็มีความพร้อมที่จะเดินไปข้างหน้า ปัญหาภายในประเทศค่อนข้างที่จะสะสางไปหมด แต่ประเทศไทย กลับไม่สนใจการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกรอบตัวเลยหรือ หากดูจากแนวทางหาเสียง ไม่มีพรรคไหนที่มีพูดถึง อนาคตของประเทศไทย มีแต่หาทางลบหนี้ ทำให้ชาวนาขายข้าวได้แพงมากขึ้น เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ ให้กุญแจสองดอก เป็นหนี้ซื้อคอนโดดอกหนึ่ง เป็นหนี้ซื้อรถอีกดอก สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่วิสัยทัศน์ แต่เป็นเพียงกลยุทธ์การหาเสียงเท่านั้นดังนั้น จึงอยากได้ยินยิ่งลักษณ์ สนั่น อภิสิทธิ์ บอกชัดๆ ว่า จะพาประเทศไทยไปทางไหน หรือจะยืนอยู่จุดไหนในเวทีอาเซียน
“สังคมจะให้ใครเข้ามาต้องรู้เท่าทัน ไม่ใช่เลือกจากอารมณ์ ความชอบ ไม่ชอบ โดยไม่คำนึงถึงเหตุผล ขณะเดียวกันประชาชนจะต้องมีการโต้เถียงเรื่องวิสัยทัศน์ของพรรคการเมืองเพิ่มขึ้นว่า นักการเมืองที่มีอยู่คิดได้แค่นี้จริงๆ ในทางกลับกัน ต้องกลับมาตั้งคำถามกับสังคมด้วยว่า จะยอมให้คนแบบนี้เข้ามาหรือ”
นายเทพชัย กล่าว และว่า กลยุทธ์ลดแลก แจก แถมไม่ใช่สิ่งที่ผิด แต่ต้องควบคู่ไปกับสิ่งที่ทำให้สังคมมองไปข้างหน้าด้วย ดังนั้น จะเลือกคนแบบไหนเข้ามาบริหารประเทศชาติ จะต้องไม่ตัดสินสิ่งเฉพาะหน้าอย่างเดียว แต่ต้องมองว่า อำนาจมาพร้อมความรับผิดชอบ เช่นเดียวกับ สไปเดอร์แมน ที่ได้รับการสั่งสอนมานายเทพชัย กล่าวถึงการทำงานของสื่อว่า พื้นที่สื่อยังเป็นพื้นที่ให้นักการเมืองที่เจนจัด มาเล่นกับสื่อ กระทั่งกลายเป็นประเด็นพาดหัวกัน อีกทั้งสื่อยังเปิดพื้นที่ให้กับนักการเมืองที่ไม่เคยผ่านการต่อสู้ หรือมีผลงานใช้สร้างความป๊อปปูล่าให้กับตนเอง สิ่งเหล่านี้นับว่าเป็นเรื่อน่าห่วง เพราะสื่อน่าจะได้บทเรียนบางอย่างจากเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมา
ไม่มีพรรคไหนได้เสียงเกิน 251 ที่นั่งแน่
ส่วนผลการเลือกตั้งจะมีพรรคใดได้คะแนนเกิน 251 หรือไม่นั้น นายวีระ กล่าวว่า หากมองจากการเลือกตั้งปี 2550 ซึ่งเป็นการเลือกตั้งหลังจากมีการล้างไพ่ บวกกับการเปลี่ยนแปลงกฎกติกาในการเลือกตั้ง คิดว่า ไม่น่าจะมีพรรคไหนที่จะได้คะแนนเสียงกึ่งหนึ่ง หรือเกิน 251 ที่นั่ง ในทางกลับกัน หากไม่มีพรรคไหนได้คะแนนเสียงเกินหนึ่ง ก็จะต้องมี 2 พรรคแรกที่ได้มากที่สุดแน่ เพราะการเมืองสองขั้วฝ่ายปรากฏชัด ทั้งนี้ จาการคาดการณ์ประชาธิปัตย์อาจได้คะแนนเสียงบวกลบเท่าเดิม หรือหากมีตัวช่วยเต็มที่ก็น่าจะได้ แค่ 175 ที่นั่ง ส่วนเพื่อไทยให้เต็มที่สุดๆ ตัดปัจจัยสิงสาราสัตว์หมดแล้ว น่าจะได้ 230 ที่นั่ง
“หากเพื่อไทยได้คะแนนมากกว่าประชาธิปัตย์ประมาณ 50 ที่นั่ง เพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลแน่นอน แต่เพื่อไทยจะที่นั่งได้มากน้อยเพียงใดตัวแปรอยู่ที่พรรคภูมิใจไทยในภาคอีสาน เพราะตัวเลขที่ว่าเพื่อไทยจะ 102 ต่อ 132 ไม่น่าจะกวาดขนาดนั้น อีกทั้งในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อไทยก็มีรั่วซึม ส่วนประชาธิปัตย์ ภาคใต้ ในจังหวัดภูเก็ตก็มีรั่วซึม
ขณะที่ในเขตกรุงเทพ พรรคประชาธิปัตย์ก็มีรั่วซึมแน่ จากที่ตั้งเป้าไว้ที่ 25 น่าจะได้เต็มที่แค่ 20 ที่นั่ง ส่วนเพื่อไทย ในกรุงเทพน่าจะได้เต็มที่ 15 ที่นั่งจากที่ตั้งเป้าไว้ที่ 20 ส่วนพรรคภูมิใจไทยที่คุยไว้ว่าจะได้ 70 ที่นั่ง ให้ราคาเต็มที่ แบบซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง จัดชุดใหญ่ น่าจะได้แค่ 40 ที่นั่ง ดังนั้น รัฐบาลที่เข้ามาในบรรยากาศเช่นนี้ จะดำเนินการจัดตั้งรัฐบาลแบบใด และอาจไม่แน่ว่า เพื่อไทยอาจได้ร่วมรัฐบาลกับภูมิใจไทย มาตุภูมิก็เป็นได้ เพราะรัฐบาลผสมจะต้องมีเสียง 300 ที่นั่ง เพราะไปอยู่ชาติไทยพัฒนา รวมชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน ถ้ากิจสังคมไทย 5 คน พรรคที่ไม่แน่ว่าจะได้ร่วมรัฐบาลคือภูมิใจไทย มาตุภูมิก็ไม่แน่เพราสูตรรัฐบาลผสมต้องมี”
นายวีระ กล่าวถึงประเทศไทยหลังการเลือกตั้งว่า เมื่อการหาเสียงครั้งนี้ไม่มีพรรคการเมืองใดที่มีนโยบายต่อศาสนา หรือสนับสนุนเรื่องธรรมะเลย จึงอนุมานได้ว่า จะไม่มีธรรมะเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้ง และธรรมะระหว่างเลือกตั้งด้วย อีกทั้งโฟกัสที่หลังเลือกตั้ง ขึ้นอยู่กับว่า พรรคที่ได้มีเสียงที่หนึ่ง ได้จัดตั้งรัฐบาล โดยไม่มีการผิดฝาผิดตัว ก็จะไม่มีเรื่องเกิดขึ้นในทางกลับกัน ไม่ว่าเพื่อไทยหรือประชาธิปัตย์จะได้จัดตั้งรัฐบาล ก็เป็นนิมิตหมายอันดีว่า จะมีฝ่ายค้านที่เข็มแข็ง การตรวจสอบ การเมืองในสภาเข็มข้น เพราะสัดส่วนของที่นั่งไม่ต่างกันมาก
อย่างไรก็ตาม นายวีระ กล่าวด้วยว่า การแข่งขันในการเลือกตั้งขณะนี้ พบว่า มีการจัดตั้งหัวคะแนนในระดับหมู่บ้าน มีการจัดวางระบบอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ใครรับเงินจากพรรคไหนต้องเลือกเลือกเบอร์นั้น นับจำนวนกันหน้าเขตเลือกตั้งว่า ครบตามที่จ่ายเงินหรือไม่ ทั้งนี้ ในช่วงสัปดาห์หน้า จะมีการแจกเงินกันมากกว่านี้
ไทยจะยืนอยู่จุดไหน บนโลกที่ไร้เสถียรภาพ
นายทนง กล่าวถึงทิศทางการปรับตัวของประเทศไทย ซึ่งประเทศเล็กในเวทีเศรษฐกิจโลกว่า จะมีการปรับตัวอย่างไรในสถานการณ์ที่โลกไร้สมดุลทางเศรษฐกิจและแบ่งออกเป็นสองขั้ว ระหว่างกลุ่มประเทศโซนยุโรป อเมริกา อังกฤษซึ่งเป็นประเทศที่มีการนำเข้าเพื่อการบริโภคเป็นหลัก กับกลุ่มประเทศเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งประกอบด้วยบราซิล รัสเซีย จีน อินเดีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีการผลิตมากเกินควร ทำให้เกิดงบดุล (balance sheet) เป็นศูนย์ ซึ่งยังไม่นับรวมถึงอัตราการว่างงาน ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ซึ่งในที่สุดเป็นเรื่องที่ต้องจับตาว่า อาจนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างภูมิภาคและสงครามโลกหรือไม่
“สหรัฐอเมริกา อังกฤษเริ่มจะถูกท้าทาย และถูกต่อรองอำนาจจากอินเดีย จีน ซึ่งอาจทำให้ระเบียบของโลกเปลี่ยน ไป แต่ประเทศไทยกลับไม่เคยมีการตั้งคำถามว่า จะอยู่อย่างไร จะจับขั้วกับฝ่ายไหน” นายทนง กล่าว และว่า ยังมีประเทศที่ต้องจับตามองต่อไป นั่นคือ ญี่ปุ่น เพราะอาจจะเป็นตัวจุดเชื้อให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลก รวมถึงประเทศทางตะวันออกกลางก็มีความเปราะบางอยู่มาก
ซับซ้อน-สับสน-ตื่นตัว คำนิยามของการเลือกตั้ง
นายวงศ์ทนง หรือโหน่ง a day กล่าวถึงคำนิยามของการเลือกตั้งว่า เป็นภาวะซับซ้อน สับสน ตื่นตัวและเต็มไปด้วยความคาดหวังที่ยากจะขาดเดา ซึ่งนับว่าเป็นช่วงเวลาที่แปลกประหลาด เนื่องจากผู้นำทางการเมืองมีการเปลี่ยนขั้วกันอย่างมาก เกิดภาวะของการแตกคอกัน กอดคอกันอย่างไม่น่าเชื่อ สภาพเช่นนี้นำไปสู่ความสับสนของคนที่เป็นผู้ตาม ไม่จะเป็นคนที่อยู่ในสีแดง เหลือง น้ำเงิน ค่อยข้างไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ยึดถือจะใช้หรือไม่ กระทั่งมีคนจำนวนมาก ตัดสินใจเปลี่ยนสี ขณะเดียวกัน ช่วงเวลาซึ่งเป็นหัวโค้งของการเลือกตั้ง จากเดิมที่จะอยู่ในช่วง 2-3 เดือนสุดท้าย จะแคบขึ้น กลายเป็นช่วงสัปดาห์สุดท้าย หรือกระทั่ง 2-3 วันสุดท้าย ที่อาจมีจุดเปลี่ยน มีประเด็นที่จะสามารถพลิกให้กลับขั้วได้
“การเลือกตั้งครั้งนี้ นับว่ามีนัยยะสำคัญมากๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง รวมถึงวิถีชีวิตของคนใน อีกทั้งยังเป็นที่จับตาของคนทั้งในและต่างประเทศ เนื่องจากเป็นการเลือกตั้งที่บอกถึงใบหน้า โฉมหน้าของเมืองไทยในอนาคต”
นายวงศ์ทนง กล่าวถึงรูปแบบการหาเสียงว่า เกิดภาวะของการเกทับ บรัฟแหลก ซึ่งนโยบายประชานิยมแบบไร้สติดังกล่าว เปรียบเหมือนฉีดสเตียรอยด์เข้าไปในร่างกาย แรกๆ ตัวก็จะโตใหญ่ แต่ไม่ช้าก็จะตาย สิ่งเหล่านี้เป็ฯรูปแบบการหาเสียงที่แปลกมาก ทุกพรรคต่างหวังจะชนะ โดยใช้วิธีวาดวิมานในอากาศให้สวยงาม น่าซื้อที่สุด ดึงดูดใจที่สุด ลด แลก แจก แถมกันไป
นายวงศ์ทนง กล่าวถึงบทบาทสื่อไทยในสถานการณ์การเลือกตั้งว่า สื่อในปัจจุบันมีอิสระพอสมควร กระทั่งค่อนข้างไปทางมากด้วยซ้ำ ซึ่งหลังจากการเลือกตั้งคงไม่ถูกปิดหู ปิดตา เพราะช่องทางการสื่อสารไม่ได้จำกัดอยู่ที่หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์หรือวิทยุเท่านั้น แต่มีโซเซียลมีเดียที่เข้ามามีบทบาท มีพื้นที่ในการแสดงความคิดเห็นที่อิสระ สุดท้ายก็มีคนรุ่นใหม่ที่ตื่นตัวทางการเมืองมากขึ้น กอปรกับอานิสงค์จากความรุนแรงทางการเมือง เมื่อเดือนพฤษภาคม 2553 ผลพวงจากความขัดแย้งดังกล่าว ทำให้ได้เห็น ได้เสพข่าวจากพื้นที่สื่อ
“แต่สิ่งที่น่าห่วงคือ ความสนใจทางการเมืองของวัยรุ่นค่อนข้างจะเบาบาง และตื้นเขิน เนื่องจากพบว่า วัยรุ่นจำนวนหนึ่งคิดจะเลือก ส.ส. เพราะความมัน โดยไม่ได้ดูผลงานที่ผ่านมา”
