‘นักวิชาการ’ อัดร่างประกาศฯ กสทช.ละเมิดเสรีภาพสื่อ-ประชาชน
นักวิชาการอัดกสทช.อย่าทำตัวเป็นคุณพ่อรู้ดีข้ามเส้นควบคุมสื่อมวลชน เตือนหน้าที่เพียงแค่ ‘กำกับ’ แนะทางออกคลอดมาตรฐานจริยธรรมให้องค์กรสื่อกำกับดูแลกันเอง

วันที่ 10 ต.ค. 2556 สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) จัดสัมมนา ‘เสรีภาพสื่อ VS การใช้กฎหมายกำกับดูแล’ ณ โรงแรม เซ็นจูรี่ ปาร์ค กรุงเทพฯ เพื่อแสดงความคิดเห็นต่อ (ร่าง) ประกาศกสทช. เรื่องหลักเกณฑ์การกำกับดูแลเนื้อหารายการในกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ ตามมาตรา 37 แห่งพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)ประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ.2551
อาจารย์สาวตรี สุขศรี คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ กล่าวว่า มาตรา 37 เปรียบเสมือนไส้ติ่งของเสรีภาพสื่อและการแสดงความคิดเห็น ซึ่งกสทช.ต้องเชื่อมั่นในประชาชนที่ต้องใช้วิจารณญาณในการรับสื่อ เพราะระบอบประชาธิปไตยคาดหวังให้ประชาชนมีสิทธิเลือก ฉะนั้นในยุคเสรีเช่นนี้องค์กรรัฐควรลดบทบาทให้เหลือเพียงการกำกับ ซึ่งแตกต่างจากการควบคุม เช่น กำกับการจัดสรรช่วงเวลา โดยไม่ล้วงลูกลงลึก พร้อมส่งเสริมและสนับสนุนให้องค์กรวิชาชีพกำกับดูแลกันเอง แต่อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าองค์กรวิชาชีพก็ไม่ได้ทำหน้าที่ตามมาตรฐานที่ควรเกิดขึ้น
รศ.สมชาย ปรีชาศิลปะกุล คณะนิติศาสตร์ ม.เชียงใหม่ กล่าวว่า กสทช.กำลังจะกระโดดจากผู้ดูแลโครงสร้างสื่อมาเป็นองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนที่ไร้สื่อมวลชน แทนองค์กรวิชาชีพสื่อที่มีอยู่ เพราะต้องยอมรับว่าองค์กรสื่อไทยมีความอ่อนแอมาก ยกตัวอย่าง กรณีหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งทำผิดจริยธรรม เมื่อองค์กรสื่อเข้าไปกล่าวโทษ หนังสือพิมพ์ฉบับนั้นก็ลาออกจากการเป็นสมาชิก ทั้งนี้ ปัจจุบันได้เกิดสื่อขึ้นมากมาย จนส่งผลให้ภูมิทัศน์ของสื่อเปลี่ยนแปลงไป และอาจทำให้การกำกับจริยธรรมสื่อในสังคมยากมากขึ้น แต่ยืนยันว่าควรมีมาตรการกำกับดูแลสื่ออยู่
“ กสทช.ไม่ควรทำตัวเป็นคุณพ่อรู้ดี แต่ควรเริ่มทำระบบมาตรฐานจริยธรรมวิชาชีพสื่อให้เกิดขึ้น เพื่อสร้างความเข้มแข็งในองค์กรวิชาชีพสื่อกำกับดูแลกันเอง มิใช่หันมาดำเนินการเอง” นักวิชาการมช.กล่าว และว่าถ้าประกาศร่างฉบับนี้ออกมาจริง จะกลายเป็นที่ถกเถียงและอภิปรายที่กว้างขวางมากขึ้น ครอบคลุมเรื่องอื่น ๆ เพราะร่างฉบับนี้เป็นเพียงเสี้ยวเดียวที่กสทช.ทำแล้วมีปัญหา
ดร.พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ประกาศฯ มีผลกระทบต่อเสรีภาพทางความคิด เพราะได้ระบุไม่ให้เขียนหรือตีพิมพ์อันสะท้อนให้เห็นได้ระดับหนึ่งว่ากฎหมายพยายามระบุว่าความคิดนั้นผิดแปลกไปจากกฎเกณฑ์ที่อนุญาต ซึ่งในต่างประเทศค่อนข้างกังวล เนื่องจากการออกประกาศเพื่อมากำกับการใช้เสรีภาพของสื่อนั้นได้ไปกระทบความคิดของคน
แต่หากมองในภาพรวมของประเทศ จะเห็นประเทศที่มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยได้ให้สิทธิคนใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นผ่านสื่อต่าง ๆ ได้ เพื่อตรวจสอบการทำหน้าที่ของรัฐ ผ่านการให้ข้อเท็จจริงแก่ประชาชน นำไปสู่การคิดไตร่ตรอง ดังนั้นสมมติองค์กรรัฐออกกฎหมายเพื่อควบคุมการทำหน้าที่สื่อจะส่งผลกระทบกระเทือนต่อระบอบประชาธิปไตยได้
เมื่อถามว่าหากกสทช.ไม่มีอำนาจในการออกประกาศ แต่ยังพยายามฝืนนั้นจะเกิดอะไรขึ้น นายอำนาจ เนตรสุภา อัยการประจำจังหวัด สำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า ถ้าสมมติฐานที่มาโดยไม่มีอำนาจ หมายความว่า กสทช.รับทราบว่าตัวเองไม่มีอำนาจในการออกประกาศฉบับนี้ หากยังฝืนอยู่จะมีผลร้องได้ว่าประกาศฉบับนี้มิชอบ และให้มีการยกเลิกไป ด้วยการนำเรื่องสู่ศาลปกครอง ขณะเดียวกันกรณีคดีอาญา เมื่อกสทช.ทราบว่าไม่มีอำนาจในการออกประกาศ จำเป็นต้องดูว่าส่งผลเสียต่อผู้มีอำนาจอย่างไรบ้าง .
ที่มาภาพ: http://www.manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9540000158225
