จุลสิงห์ยันรอบคอบไม่ฟ้องแม้วก่อการร้าย
“จุลสิงห์”ยันอัยการสูงสุด ไม่ฟ้อง “ทักษิณ” ในข้อหาก่อการร้ายพิจารณารอบคอบแล้ว
เมื่อวันที่ 11 ต.ค.2556 คณะอนุกรรมาธิการ (กมธ.) พัฒนาการเมือง และการสื่อสารมวลชน สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวัชระ เพชรทอง สส.บัญชีราย พรรคประชาธิปัตย์ เป็นประธาน ได้เชิญนายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อดีตอัยการสูงสุด (อสส.) เข้าชี้แจงกรณีการสั่งไม่ฟ้องพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในข้อหาก่อการร้าย
โยนายจุลสิงห์ ชี้แจงว่า เรื่องดังกล่าวตามรัฐธรรมนูญให้ศาลกับอัยการเป็นหน่วยงานที่มีอิสระในการ สั่งคดีและการปฏิบัติหน้าที่ โดยสุจริตเที่ยงธรรม และมีเหตุผลประกอบ ซึ่งจะได้รับการคุ้มครอง ต่อให้อีกร้อยคนพันคนไม่เห็นด้วย แต่ถ้าคนที่สั่ง เขานิ่ง เขายุติ เรื่องมันก็ต้องจบ ไม่มีใครที่จะมาบอกว่าศาลตัดสินผิดอย่างนี้ แล้วจะให้ใครมากรองใหม่มันไม่มี มันกระบวนการศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา เมื่อกระบวนการจบก็ต้องจบ
“กระบวนการฟ้องหรือไม่ฟ้องนั้น มันสิ้นสุดที่อัยการสูงสุดในการพิจารณา เรื่องก่อการร้าย ถ้าผู้กระทำผิดไม่ได้อยู่ในประเทศไทย โอกาสยากมากที่จะบอกว่าเป็นตัวการร่วม ถ้าเขาจะทำอะไร ก็คนที่อยู่ในประเทศเป็นคนทำ กำลังวังชา ของคนที่พูดอยู่ต่างประเทศมันไม่มีโอกาสที่เป็นตัวการร่วมได้เลยในทางทฤษฎี และในความเห็นของอัยการด้วย ถึงแม้เป็นผู้สนับสนุนก็เถอะ จริงๆแล้วไม่พูดก็ทำ”นายจุลสิงห์ กล่าว
อย่างไรก็ดี เรื่องนี้เป็นความผิดนอกราชอาณาจักร นอกเหนืออำนาจอัยการสูงสุดที่จะพิจารณา ถ้าประธานไปตะโกนอยู่ต่างประเทศ แต่ถ้าคนในประเทศไม่ทำ ก็คือไม่ทำ ทำด้วยกำลังกาย กำลังใจของตัวเอง ซึ่งมองอย่างนั้น วันนี้ (11ต.ค.) คิดว่า จะไม่ใช้กฎหมายไปประหัดประหารใคร บ้านเมืองบอบช้ำมานาน เพราะเอากฎหมายไปประหัดประหาร และกฎหมายที่ไปประหัดประหารไม่เป็นที่ยอมรับ ส่วนตัวมีมาตรฐาน ถ้าผิดจริงไม่เหลือ
นายจุลสิงห์ กล่าวยอมรับว่า เคยถูกกล่าวหาอยู่ฝ่ายนี้ฝ่ายนั้นบ้าง ขึ้นอยู่กับว่าวันไหนสั่งคดีอย่างไร เพราะมีทั้งสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งอยากให้ฟ้อง อีกฝ่ายไม่อยาก จนไม่รู้ว่าอัยการอยู่ข้างไหน ก็ต้องบอกว่าอัยการอยู่ข้างความเป็นธรรม ถามว่าใครฟ้องผู้ก่อการร้ายในประเทศ ก็ตัวเอง เพราะทำในประเทศก็ต้องฟ้องในประเทศ และยืนยันว่าก่อนสั่งคดีนิ่งแล้ว คิดแล้วว่าถูกต้อง เมื่อคดีนี้สั่งอย่างนี้ เรื่องอื่นก็เหมือนกันหมด ต่อให้ร้อยคนไม่เห็นด้วย ก็ให้มาอัยการก่อน แล้วเขามาสั่ง แต่ส่วนตัวสั่งตามมาตรฐานที่ควรจะเป็น
“ทำทุกอย่างด้วยความนิ่งแล้ว อย่างผมสั่งบางคดีท่านไม่ชอบ ผมสั่งคดีฟิลลิป มอริส ท่านก็ไม่ชอบ มันมีฝ่ายไง มันมีพรรคไง ว่าใครเชียร์ฝ่ายไหนอย่างไร แต่ผมก็อธิบายได้ว่าทำไมฟ้องหรือไม่ฟ้อง แต่ถ้าทุกคนนักการเมืองทั้งหลาย เชื่อมือคนที่มาทำหน้าที่นี้ บ้านเมือจะอยู่ได้ แต่ผมก็ต้องแสดงให้เห็นความเป็นกลาง”อดีตอสส. กล่าว
ทั้งนี้ กมธ.ได้สอบถามถึงนิยามคำว่าก่อความไม่สงบกับก่อการร้ายอย่างไร นายจุลสิงห์ ชี้แจงว่า ในประมวลกฎหมายอาญามีความผิดฐานก่อการร้ายอยู่ ตั้งแต่ ลัก วิ่ง ชิง ปล้น ไปจะถึงการข่มขู่รัฐบาล กับการใช้คำว่าก่อความไม่สงบ ถามว่าอัยการสูงสุดแยกอย่างไร ถ้าดูพฤติกรรมคล้ายๆกัน แต่ส่วนตัวได้พูดในที่สาธารณว่าอุดมการณ์การเมืองภายในประเทศน่าจะเป็น เรื่องการก่อความไม่สงบ
“เพราะความเห็นไม่ตรงกับรัฐบาล พวกนี้แก้ได้ด้วยความเข้าใจ แต่ไม่ใช่เรื่องก่อการร้ายในลักษณะที่ไปเอาเงิน ไปเรียกค่าไถ่ แล้วข่มขู่รัฐบาลให้ปล่อยตัวคนนั้นคนนี้ เรียกเงินอย่างนั้นอย่างนี้ อันนี้คือก่อการร้าย ตรงนี้ก็เลยมีว่าเราสั่งไม่ฟ้องในฐานก่อการร้าย เพราะผมคิดว่าผู้ที่เกี่ยวข้องมีหน้าที่ต้องอธิบายทำความเข้าใจ เป็นเรื่องที่คุยกันได้ เพราะประชาชาธิปไตยเป็นเรื่องที่ตัดสินด้วยเสียงส่วนใหญ่อยู่แล้ว เสียงส่วนน้อยก็รอไป เมื่อเสียงส่วนใหญ่ไปไม่รอด เสียงส่วนน้อยก็ขึ้นมา เป็นเรื่องธรรมดา ผมถึงได้มีความเห็นที่ต้องออกกฎหมายการชุมนุม”นายจุลสิงห์ กล่าว
ขอขอบคุณข่าวจาก

