เบื้องหลังความ (ไม่) คืบหน้าคดีตากใบ

กว่า 9 ปีผ่านไป สำหรับเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่หน้า สภ.ตากใบ จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2547 โศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะมีผู้เสียชีวิตถึง 85 คน โดยเสียชีวิตระหว่างถูกเคลื่อนย้ายจากหน้า สภ.ตากใบ ไปยังค่ายอิงคยุทธบริหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ด้วยการถอดเสื้อมัดมือไพล่หลัง นอนเรียงซ้อนทับกันบนรถบรรทุกของทหาร ถึง 78 คน
คำถามที่มักตามมาเมื่อเอ่ยถึงเหตุการณ์ตากใบก็คือ แล้วคดีหาตัวผู้กระทำผิดจากความสูญเสียดังกล่าว มีความคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว
คำตอบจากผู้เกี่ยวข้องก็คือ ขณะนี้ญาติผู้สูญเสียยังไม่ได้ใช้สิทธิยื่นฟ้องคดีอาญาต่อศาลแต่อย่างใด (เพราะแม้อัยการสูงสุดจะสั่งไม่ฟ้องคดีอาญาไปแล้ว แต่ไม่ได้ตัดสิทธิผู้เสียหายในการยื่นฟ้องคดีเอง)
คำอธิบายเพิ่มเติมก็คือ ญาติผู้สูญเสียได้เข้าไปขอความช่วยเหลือจาก “สภาทนายความ” และ “คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)” ให้เข้ามาฟ้องคดีแทน ตั้งแต่หลายปีก่อน แต่ถึงเวลานี้ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ จากทั้ง 2 หน่วยงาน
คำชี้แจงจากตัวแทน 2 หน่วยงานข้างต้นก็มักจะบอกว่า ชาวบ้านหวาดกลัวเจ้าหน้าที่จนไม่กล้าเดินหน้าเรื่องคดีความ ประกอบกับมีเรื่องเงินเยียวยาเข้ามา ทำให้เรื่องการฟ้องคดีหยุดชะงัก
อะไรเป็นอุปสรรคในการยื่นฟ้องคดีเพื่อหาตัวผู้กระทำผิดจากเหตุการณ์ตากใบมาลงโทษ ?
“นายวสันต์ พานิช” อดีตกรรมการ กสม. ปัจจุบันเป็นประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนของสภาทนายความ มองว่า เหตุที่การฟ้องคดีอาญาตากใบไม่คืบหน้า ด้านหนึ่งมาจากความกลัวของชาวบ้านต่อเจ้าหน้าที่ ทำให้ไม่กล้าฟ้องคดีเอง อีกด้านมาจากความสับสนระหว่างสภาทนายความกับ กสม.ว่าใครจะเป็นผู้คดีแทนชาวบ้านกันแน่
“เมื่อผมมาเป็นประธานกรรมการสิทธิมนุษยชน สภาทนายความ เมื่อปี 2553 หลังพ้นวาระกรรมการ กสม. ชาวบ้านตากใบเข้มแข็งและมีความประสงค์จะฟ้องร้องดำเนินคดีอาญากับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ตากใบ แต่แล้วเขาก็เกิดความกังวลเมื่อได้พบกับเจ้าหน้าที่ จึงมีการร้องขอความช่วยเหลือมาที่สภาทนายความ”
นายวสันต์กล่าวว่า หลังได้รับคำร้อง ตนกับคณะทำงานก็ลงไปพูดคุยกับชาวบ้าน และบอกว่าสภาทนายความจะฟ้องคดีให้ โดยชาวบ้านเป็นผู้มอบอำนาจ ซึ่งเขาก็พร้อม
“แต่ กสม.ชุดปัจจุบัน ก็ลงไปซ้อนอีก และไปบอกว่าจะฟ้องคดีแทนให้ แต่ต่อมาปรากฏว่า กสม.บอกว่าไม่ฟ้องแล้ว ชาวบ้านก็ไม่เข้าใจว่าตกลงจะเอาอย่างไร และยิ่ง กสม.มาบอกว่าให้ชาวบ้านฟ้องเอง เขาก็ยิ่งไม่ทำ เพราะเขาอยู่ในพื้นที่ ยังมีความกังวลเจ้าหน้าที่อยู่”
นายวสันต์กล่าวว่า เมื่อ กสม.บอกว่าให้ชาวบ้านฟ้องเอง คดีจึงไม่คืบหน้า เพราะชาวบ้านก็กังวลเจ้าหน้าที่รัฐอยู่ การที่บอกว่าเขาไม่ประสงค์จะฟ้อง จึงไม่น่าจะจริง เพราะชาวบ้านต้องการจะฟ้อง แต่อยากให้ กสม.ออกหน้า เมื่อ กสม.บอกว่าชาวบ้านต้องออกหน้าด้วย ทำให้เขากังวล และยังไม่กล้าฟ้องคดี
“ผมหวังว่าเมื่อ กสม.ชุดต่อไปเข้ามา จะหยิบเรื่องการฟ้องคดีอาญาตากใบขึ้นมาพิจารณา” นายวสันต์กล่าว
ทั้งนี้ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 257 (4) บัญญัติว่า กสม.มีอำนาจหน้าที่ในการ “ฟ้องคดีต่อศาลยุติธรรมแทนผู้เสียหาย เมื่อได้รับการร้องขอจากผู้เสียหายและเป็นกรณีที่เห็นสมควรเพื่อแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนเป็นส่วนรวม ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายกำหนด”
ด้าน “นางอมรา พงศาพิชญ์” ประธาน กสม.กล่าวชี้แจงว่า กสม.ไม่ได้เป็นผู้หยุดเรื่องการฟ้องคดี แต่เป็นฝ่ายชาวบ้านที่มาบอกกับ กสม.เองว่าจะไม่ติดใจจะดำเนินคดีแล้ว
“ญาติผู้สูญเสียจากเหตุการณ์ตากใบ มายื่นคำร้องให้ กสม.ฟ้องคดีแทน เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2553 เราก็ปรึกษาอยู่หลายรอบ เพราะมีหลายประเด็นที่ต้องถกเถียงกัน”
นางอมรา กล่าวว่า 1.เนื่องจากญาติไปประนีประนอมในคดีแพ่ง เมื่อปี 2548 ไปแล้วยังจะฟ้องคดีอาญาได้อีกหรือไม่ ซึ่งเราเห็นว่าเดินต่อได้ เพราะเป็นคดีอาญาแผ่นดิน 2.จะเดินต่ออย่างไร เพราะกฎหมายที่ให้อำนาจ กสม.ในการฟ้องคดีแทนยังไม่ผ่านสภาผู้แทนราษฎร สำนักงาน กสม.ก็ไม่มีทนายที่ว่าความในศาลได้ จึงไปคุยให้สภาทนายความมาช่วยว่าความแทน 3.จะใช้ใครในสภาทนายความ ก็ตกลงว่าจะใช้คนที่เคยช่วยเหลือชาวบ้านมาตลอด 4.จะฟ้องที่ศาล กทม.หรือศาลในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะถ้าฟ้องศาลในพื้นที่ ก็กลัวถูกกดดันสูง แต่ถ้าฟ้องที่ศาล กทม. ค่าใช้จ่ายก็จะสูง แล้วชาวบ้านต้องเสียเงินและเสียเวลามาก และ 5.ถ้า กสม.จะฟ้องคดีแทน จะต้องมีความชัดเจนว่าใครเป็นผู้ร้อง ต้องเอาชาวบ้านมาเป็นตัวเป็นตน
“แต่หลังจากที่คุยกัน 2-3 รอบ ก็ไม่ชัดสักทีว่าตกลงใครจะเข้ามาเกี่ยวข้องโดยตรง คือทุกครั้งที่เจอ ก็จะเจอชาวบ้าน 10-20 คน ซึ่งพอถึงเวลาที่เราจะเรียกร้องผู้นำที่ชัดเจน ก็เกิดการตั้งคำถาม นึกว่า กสม.จะจัดการให้ทุกอย่าง เลยเกิดอาการลังเล ต้นปี 2554 ชาวบ้านเลยบอกว่า เขาไม่ติดใจจะดำเนินคดีแล้ว”
นางอมรา กล่าวว่า เหตุที่ชาวบ้านไม่ติดใจดำเนินคดี ตนมองว่าเพราะความกลัว ความเหนื่อย และความยุ่งยาก คือเขาพร้อมทำในรูปเครือข่าย แต่ถ้าให้เหลือผู้นำ 3-4 คน มันจะเด่นขึ้นมา แล้วถูกเพ่งเล็ง เพราะในพื้นที่ทุกคนหวาดระแวงไปหมด ท้ายสุดในวันที่ 28 มีนาคม 2554 ก็ได้รับคำชี้แจงว่า ชาวบ้านไม่ติดใจดำเนินคดีทางอาญาใดๆ อีก
อีกปัจจัยหนึ่งที่ประธาน กสม.มองว่าทำให้ญาติผู้สูญเสียจากเหตุการณ์ตากใบพักเรื่องการฟ้องคดีไว้ คือเมื่อมีเรื่องเยียวยาเข้ามา
“พอเกิดเรื่องเยียวยาขึ้นมา เครือข่ายตากใบก็เลยไปให้ความสนใจเรื่องนั้นแทน เพราะอย่างไรก็ได้เงิน แล้วคนก็ตายไปแล้ว ทำอย่างไรก็ไม่ฟื้น ตอนนี้อยู่ในโหมดปรองดอง ถ้าได้เงินก็น่าจะดีกว่าไม่ได้ หลังจากบอกว่าไม่ติดใจจะฟ้องแล้ว ชาวบ้านก็ไม่ได้มาที่ กสม.อีกเลย”
ด้าน “นายรัษฎา มนูรัษฎา” ตัวแทนจากสภาทนายความ ผู้ช่วยเหลือด้านกฎหมายกลุ่มญาติผู้สูญเสีย กล่าวว่า เดิมทีชาวบ้านจะให้สภาทนายความฟ้องคดีอยู่แล้ว แต่ก็เกิดความไม่มั่นใจในสถานการณ์ รวมถึงมีเรื่องเงินเยียวยาเข้ามาทำให้แนวคิดนี้หยุดชะงักไปชั่วคราว
“ยังมีชาวบ้านบางส่วนที่อยากฟ้องคดีอยู่ คนเหล่านี้ก็กล้าหาญในระดับหนึ่ง แต่ส่วนที่ไม่กล้าฟ้องก็มีอยู่ เขายังอยู่ระหว่างหล่อหลอมจิตใจให้เข้มแข็ง แม้หลังจากได้เงินเยียวยาแล้วจะทำให้บางคนมีท่าทีอ่อนลงก็ตาม” นายรัษฎากล่าว
แต่ในมุมกลับเขามองว่าถึงชาวบ้านจะไม่ติดใจแล้ว แต่เป็นภาระหน้าที่ของ กสม.ที่จะใช้สิทธิ์ฟ้องคดีแทนตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 257 (2)
“กสม.ยังสามารถทำคดีต่อได้ โดยไม่จำเป็นต้องให้ชาวบ้านแค่ไม่กี่คนออกหน้า เพราะเขาจะรู้สึกว่าเสี่ยง แต่ให้ไปเป็นเครือข่าย เพื่อให้เขาดูแลกัน อย่างคดีแพ่งที่ผมทำอยู่ ก็มีชาวบ้านเป็นโจทก์ทั้ง 85 คน ไม่เห็นมีปัญหาอะไร คดีตากใบถ้าศาลลงโทษเจ้าหน้าที่ผู้กระทำผิด จะยิ่งยกระดับความเข้าใจชาวบ้านว่าเขามีสิทธิ์ตรวจสอบการกระทำของเจ้าหน้าที่ และเจ้าหน้าที่ก็จะตระหนักว่าเขาไม่สามารถทำแบบนี้กับชาวบ้านได้ ซึ่งผมเชื่อว่าต่อไป มันจะคลี่คลายในทางที่ดีขึ้น”
ด้าน “นางแยนะ สะแลแม” แกนนำกลุ่มญาติผู้สูญเสีย กล่าวว่า ส่วนตัวอยากให้ทนายฟ้องคดีอาญา แต่เมื่อเขาให้ชาวบ้านฟ้อง ชาวบ้านก็กลัว จึงไปขอให้สภาทนายความและ กสม.ฟ้องแทนชาวบ้าน เพราะเรารู้ไม่รู้หนังสือ แต่ยินดีให้ความร่วมมือ จะมาเอาลายเซ็น เราก็ให้ได้ แต่ขออย่าให้ชาวบ้านขึ้น กทม. เพราะเขากลัวเจ้าหน้าที่
“ทุกวันนี้ชาวบ้านก็ยังกลัว เราเป็นประชาชน เห็นเจ้าหน้าที่มีอาวุธเราก็กลัวแล้ว เห็นแค่ชุดทหารเราก็กลัวแล้ว ชาวบ้านยังฝังใจกับเหตุการณ์ครั้งนั้น อย่างตัวก๊ะ (แปลว่า “พี่”-สรรพนามที่ใช้กับสตรี) เอง 9 ปีที่ผ่านมา ก๊ะก็โดนค้นบ้านไม่ต่ำกว่า 9 ครั้ง เพราะเจ้าหน้าที่รัฐเขามองว่าก๊ะเป็นแนวร่วม“ นางแยนะกล่าว
นางแยนะ ยังกล่าวว่า ถึงวันนี้ ก็ยังอยากให้เอาคนผิดมาลงโทษอยู่ เพราะเหตุการณ์ตากใบ เพราะแม้ชาวบ้านหลายคนจะไม่ได้เรียนหนังสือ แต่เขาก็มีสิทธิเรียกร้องความเป็นธรรม หลายคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองยังมีแผล เป็นแผลที่ล้างยังไงก็ยังอยู่ อย่างน้อยๆ ก็อยากให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องออกมายอมรับผิด แถลงให้ทั้งโลกได้รู้ว่าเขาทำผิดและยอมรับผิด
น่าสนใจว่าคดีอาญาตากใบจะเริ่ม “นับหนึ่ง” ได้เมื่อใด
ภาพประกอบ - (ซ้าย) อมรา พงศาพิชญ์ (ขวา) แยนะ สะแลแม ภาพจากอินเทอร์เน็ต
