อาณานิคม สนธิสัญญา ปราสาทพระวิหาร และศาลโลก

หากจะกล่าวว่า “คดีปราสาทพระวิหาร” เป็นผลผลิตที่ตกค้างมาจากยุคล่าอาณานิคม ก็ไม่น่าจะผิดนัก
เนื่องจากเงื่อนไขความขัดแย้งมาจากการอ้างแผนที่ 2 ฉบับ ที่จัดทำขึ้นในยุคที่ฝรั่งเศสเข้าช่วงชิงดินแดนในอุษาคเนย์ และสยามก็ไม่พ้นจากเงื้อมมือมหาอำนาจชาติตะวันตกนี้ไปได้
โดยสยาม (หรือไทย) เสียดินแดนให้กับฝรั่งเศสถึง 5 ครั้งด้วยกัน
- ปี พ.ศ.2410 สยามทำสัญญายกเขมรส่วนนอก รวมเนื้อที่ 123,050 ตร.กม.พร้อมเกาะ 6 เกาะให้กับฝรั่งเศส
- ปี พ.ศ.2430 ฝรั่งเศสอ้างเหตุว่าจะเข้ามาปราบกบฏจีนฮ่อ เข้ายึดแคว้นสิบสองจุไทย หัวพันทั้งห้าทั้งหก ลาวทั้งประเทศ โดยอ้างว่าเคยเป็นเมือขึ้นของกัมพูชาและเวียดนามมาก่อน รวมเนื้อที่ 321,000 ตร.กม.
- ปี พ.ศ.2436 หลังเกิดวิกฤตการณ์ ร.ศ.112 เมื่อฝรั่งเศสส่งเรือรบเข้ามาในแม่น้ำเจ้าพระยา บีบบังคับให้สยามยกพื้นที่ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง เนื้อที่ราว 50,000 ตร.กม. ทั้งยังยึดจันทบุรีและตราดไว้เป็นเวลาถึง 11 ปี
- ปี พ.ศ.2446 สยามทำสนธิสัญญายกหลวงพระบางและพื้นที่ฝั่งขวาแม่น้ำโขงให้กับฝรั่งเศส ภายใต้ชื่อ “หนังสือสัญญาระหว่างกรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศส” หรือสนธิสัญญา ฉบับ ค.ศ.1904 โดยทั้ง 2 ประเทศได้ตั้งคณะทำงานผสมขึ้นมาปักปันเขตแดน พร้อมจัดทำแผนที่โดยใช้มาตรส่วน 1:50,000 ที่ยึดสันปันน้ำเป็นแนวเขตแดน ซึ่งแผนที่ฉบับนี้ปราสาทพระวิหารอยู่ในเขตไทย
- ปี พ.ศ.2450 สยามทำสนธิสัญญายกเสียมราฐ พระตะบอง ศรีโสภณให้กับฝรั่งเศส เนื้อที่ราว 66,555 ตร.กม. เพื่อแลกกับตราและเกาะดูด โดยสนธิสัญญาฉบับนี้เอง (หรือฉบับปี ค.ศ.1907) ได้กำหนดให้มีการปักปันเขตแดนต่อจากสนธิสัญญา ฉบับ ค.ศ.1904 โดยมีการตั้งคณะทำงานผสม แต่ครั้งนี้การจัดทำแผนที่ไม่ได้ใช้สันปันน้ำ กลับมีการลากเส้นใหม่ เกิดเป็นแผนที่มาตรส่วน 1:200,000 โดยแผนที่ฉบับนี้ปราสาทพระวิหารอยู่ในเขตกัมพูชา
กล่าวโดยสรุปก็คือ ที่มาของข้อพิพาทที่จะตามมาในอีก 50 ปีข้างหน้ากระทั่งศาลโลกต้องยื่นมือเข้ามาตัดสิน เกิดจากแผนที่แนบท้ายสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส 2 ฉบับที่มีรายละเอียดแตกต่างกัน
โดยหลังกัมพูชาได้รับเอกราชคืนจากฝรั่งเศส ก็มีการปลุกกระแสชาตินี้ขึ้นมา กระทั่งในปี พ.ศ.2501 ซัม ซารี องคมนตรีและเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำกรุงลอนคอน ได้เขียนบทความลงนิตยสารระบุว่า การที่ไทยอ้างสิทธิเหนือปราสาทพระวิหารเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง เพราะ “ดินแดนที่ฝรั่งเศสได้จากไทย เป็นดินแดนที่กัมพูชาเคยมีสิทธิ์ครอบครองโดยชอบธรรม” ปลุกกระแส “ทวงคืนเขาพระวิหารจากไทย” ขึ้น
ขณะที่การเจรจาเพื่อแก้ปัญหาด้วยวิธีทางการทูตของรัฐบาลทั้ง 2 ประเทศไม่ประสบความสำเร็จ กระทั่งในปี พ.ศ.2502 กัมพูชาได้ยื่นฟ้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) ขอให้ตัดสินว่าปราสาทพระวิหารอยู่ในประเทศใด
และในปี พ.ศ.2505 ศาลโลกมีมติด้วยคะแนน 9 ต่อ 3 เสียง ระบุว่า “ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในอาณาเขตภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา” พร้อมกับสั่งให้ไทยต้องถอนตำรวจ ทหาร หรือพลเรือน ออกจากบริเวณปราสาทพระวิหาร
ไม่กี่วันหลังศาลโลกตัดสิน “จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์” นายกรัฐมนตรีขณะนั้น ก็กล่าวปราศรัยทางวิทยุ โดยมีข้อความหนึ่งระบุว่า ขอประท้วงขอสงวนสิทธิที่จะดำเนินการทางกฎหมายที่จำเป็นในภายภาคหน้า ขณะที่ “ถนัด คอมันตร์” รมว.ต่างประเทศสมัยนั้น ได้ทำหนังสือถึงเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ระบุว่าไทยยินยอมทำตามคำตัดสินของศาลโลก แต่จะขอสงวนสิทธิที่จะเอาปราสาทพระวิหารกลับคืนมาในอนาคต
ซึ่งถ้อยคำของบุคคลทั้ง 2 ถูกนำมาอ้างอิงในเวลาต่อมา ว่าไทยยังมีสิทธิ “ทวงคืน” ปราสาทพระวิหารได้?
ทั้งนี้ คำตัดสินของศาลโลก เมื่อปี พ.ศ.2505 ได้ทิ้งเงื่อนปมสำคัญไว้ 2 ประการ นั่นคือ1.ศาลไม่ได้ตัดสินเรื่องเขตแดน และ 2.ศาลไม่ได้ระบุพื้นที่ๆ ไทยต้องคืนให้กัมพูชาว่ามีเท่าใด
ทำให้ในปี พ.ศ.2550 เกิดปัญหาใหม่ขึ้น เมื่อกัมพูชายื่นต่อองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยอ้างอิงถึงแผนที่มาตรส่วน 1:200,000 ขณะที่ฝ่ายไทยยื่นประท้วงเพราะมีพื้นที่ซึ่งกินแดนเข้ามาในไทย เนื่องจากไทยยึดแผนที่มาตราส่วน 1:50,000 ตามหลักสันปันน้ำมาตลอด
ซึ่งการยึดแผนที่คนละฉบับก่อให้เกิด “พื้นที่ทับซ้อน” ใกล้ปราสาทพระวิหาร มีเนื้อหาที่ราว 4.6 ตร.กม.ขึ้นมากลายเป็นกรณีพิพาทครั้งใหม่
กระทั่งปี พ.ศ.2554 กัมพูชาได้ยื่นต่อศาลโลกขอให้ตีความคำพิพากษาเมื่อปี พ.ศ.2505
และภายหลังผ่านขั้นตอนต่างๆ ศาลโลกก็นัดอ่านคำพิพากษาในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2556 นี้
คดีข้ามศตวรรษนี้ อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะรู้ผล ว่าจะออกหัวหรือก้อย
ภาพประกอบ - ศาลโลกครั้งตัดสินคดีประสาทพระวิหาร เมื่อปี พ.ศ.2505 จากอินเทอร์เน็ต
-----
อ้างอิงเนื้อหาบางส่วนจาก
- เอกสารประกอบการประชุมนิติศาสตร์แห่งชาติ หัวข้อ “คดีปราสาทพระวิหาร : เบื้องลึกเบื้องหลัง และแนวโน้มของข้อยุติ” โดย ศ.ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ , 19 สิงหาคม 2556
- พลิกประวัติศาสตร์บาดแผล ไทย-กัมพูชา “ความเมืองเรื่องเขาพระวิหาร” ตำนานที่ยังไร้บทสรุป โดย สุเจน กรรพฤทธิ์ นิตยสารสารคดี เดือนสิงหาคม 2551
