ตั้ง“มนตรี ยอดปัญญา”ปธ.ศาลฎีกาคนใหม่
ก.ต.มติเอกฉันท์ตั้ง “มนตรี ยอดปัญญา” ฉายา “ตู้ฎีกาเคลื่อนที่” ขึ้นเป็น ประธานศาลฎีกาคนใหม่
วันนี้(20 มิ.ย.)ที่ศาลฎีกา สนามหลวง นายสบโชค สุขารมณ์ ประธานศาลฎีกา ในฐานะประธานคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.)ได้เป็นประธานการประชุม ก.ต.รวม 15 คน โดยมีวาระการประชุมสำคัญคือการแต่งตั้งประธานศาลฎีกาคนใหม่แทนนายสบโชคที่จะ มีอายุครบ 65 ปี และจะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 ก.ย.นี้ โดยใช้เวลาพิจารณาประมาณ 1 ชั่วโมงเศษจึงเสร็จสิ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเริ่มการประชุมสำนักงานศาลยุติธรรมได้เสนอชื่อ นาย มนตรี ยอดปัญญา รองประธานศาลฎีกาคนที่ 4 ซึ่งมีอาวุโสสูงที่สุดจากบรรดารองประธานศาลฎีกาทั้งหมด 6 คน ให้ที่ประชุมพิจารณาเนื่องจากนาย วิธวิทย์ หิรัญรุจิพงศ์ นายองอาจ โรจนสุพจน์ ม.ล.ฤทธิเทพ เทวกุล รองประธานศาลฎีกา คนที่ 1 – 3 จะเกษียณอายุราชการเช่นกัน จากนั้นนาย มนตรี ซึ่งดำรงตำแหน่ ง ก.ต. และได้รับการเสนอชื่อเป็นประธานศาลฎีกา จึงขอถอนตัวออกจากการลงคะแนนเพราะเป็นผู้ที่มีส่วนได้เสียโดยตรง ซึ่ง ก.ต.ที่เหลือทั้ง 14 คน จึงเริ่มต้นการอภิปรายโดยทั้งหมดมีความเห็นไปในแนวทางเดียวกันเห็นว่า นายมนตรี เป็นผู้ที่มีความเหมาะสมในการที่จะก้าวขึ้นไปดำรงตำแหน่งประธานศาลฎีกาคนต่อ ไป เนื่องจากเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ ความซื่อสัตย์ สุจริต ประพฤติตนเรียบร้อยเป็นที่ประจักษ์ทั่วไป ดังนั้น ก.ต.มีมติเป็นเอกฉันท์ลงคะแนนเห็นชอบให้นายมนตรี ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานศาลฎีกาคนใหม่ต่อจากนายสบโชค
จากนั้น ก.ต.ยังได้ประชุมลงมติเลือกผู้พิพากษาศาลฎีกาขึ้นมาดำรงตำแหน่งรองประธานศาล ฎีกาคนที่ 2 – 6 อีก 5 ตำแหน่ง ต่อจากนาย ไพโรจน์ วายุภาพ รองประธานศาลฎีกาคนที่ 5 ที่เลื่อนขึ้นไปเป็นรองประธานศาลฎีกาคนที่ 1 โดยที่ประชุม ก.ต. มีมติเห็นชอบให้ นาย ธานิศ เกศวพิทักษ์ ประธานแผนกคดีผู้บริโภคฯ ศาลฎีกา , นาย มานัส เหลืองประเสริฐ ประธานแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจฯ ศาลฎีกา นาย ประทีป เฉลิมภัทรกุล ประธานแผนกคดีสิ่งแวดล้อมฯ ศาลฎีกา , นาย สมศักดิ์ จันทรา ประธานแผนกคดีล้มละลายฯ ศาลฎีกา และ นาย ฐานันท์ วรรณโกวิท ประธานแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองฯ ศาลฎีกา เป็นรองประธานศาลฎีกาคนที่ 2 – 6 ตามลำดับ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.นี้เป็นต้นไป
สำหรับประวัตินาย มนตรี ปัจจุบันอายุ 63 ปี และจะมีวาระดำรงตำแหน่งประธานศาลฎีกา 2 ปี โดยจะไปเกษียณอายุราชการในปี 2556 จบการศึกษาประถมศึกษาโรงเรียนเทศบาล 1 (พะเยาประชานุกูล) มัธยมศึกษาต้นโรงเรียนพะเยาพิทยาคม พ.ศ.2503-2508 มัธยมศึกษาปี 3 โรงเรียนวัดเบญจมบพิตร พ.ศ.2509 มัธยมปีที่ 4 - 5 โรงเรียนวัดเทพศิรินทร์ พ.ศ.2511 คณะ นิติศาสตร์บัณฑิต (เกียรตินิยมดี) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ.2516 เนติบัณฑิตไทย สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภารุ่นที่ 27 พ.ศ.2516
ประวัติรับราชการเป็น ผู้พิพากษาศาลจังหวัดขอนแก่น ผู้พิพากษาประจำกระทรวงช่วยทำงานผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดเชียงใหม่ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดพิษณุโลก ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลแพ่งธนบุรี ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ ผู้พิพากษาศาลฎีกา ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา และรองประธานศาลฎีกา
นอกจากนี้นายมนตรี ยังมีงานด้านวิชาการ โดยเป็นอาจารย์ผู้บรรยายพิเศษกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในมหาวิทยาลัยหลาย แห่ง เป็นประธานกรรมการสอบคัดเลือกเพื่อบรรจุเป็นข้าราชการตุลาการในตำแหน่งผู้ ช่วยผู้พิพากษาทั้งสนามใหญ่และสนามเล็ก ผู้เชี่ยวชาญประจำตุลาการรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2549 โดยนายมนตรี นั้นได้รับการยอมรับจากผู้พิพากษาด้วยกันว่าเป็นผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยว ชาญเกี่ยวกับคำพิพากษาศาลฎีกาเป็นอย่างสูง สามารถจดจำฎีกาที่บรรพตุลาการเคยมีคำวินิจฉัยไว้ได้อย่างเม่นยำทั้งเลขที่ ฎีกา องค์คณะผู้พิพากษาที่ตัดสิน จนได้ชื่อว่าเป็น “ตู้ฎีกาเคลื่อนที่” และตลอดชีวิตผู้พิพากษากว่า 40 ปี ส่วนใหญ่ประจำอยู่ในศาลฎีกา
ทั้งนี้นายมนตรี ยังเคยเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการ ทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ที่ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นาย เสนาะ เทียนทอง อดีตรมว.มหาดไทย เป็นจำเลย ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจ หรือจูงใจเพื่อให้บุคคลใดมอบให้ หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเองหรือผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 คดีทุจริตที่ดินอัลไพน์ ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เมื่อปี 2553 และยังเป็นองค์คณะพิจารณาคำร้องที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ยื่นเรื่องต่อประธานวุฒิสภา ส่งคำร้องให้ศาลฎีกา ตั้งองค์คณะพิจารณาถอดถอนคณะกรรมการป้องกันและปรามปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ทั้งคณะ ออกจากตำแหน่ง กรณีถูกกล่าวหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ที่ชี้มูลความผิดการสลายกลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยปิด ล้อมหน้าอาคารรัฐสภา มิชอบด้วยกฎหมาย ผิดวินัยร้ายแรง และกรณีมีมติไล่นายตำรวจออกจากราชการ. 
