ป.ป.ช.เล็งประเดิม"กันบุคคลไว้เป็นพยาน"คดีทุจริตสอบเข้า ร.ร.นอภ.
ป.ป.ช.เตรียมกันปลัดอำเภอไว้เป็นพยานใช้เป็นหลักฐานมัด"นักการเมือง-บิ๊ก"มหาดไทย คดีทุจริตสอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอ หลังประกาศหลักเกณฑ์กันบุคคลไว้เป็นพยานมีผลบังคับใช้
แหล่งข่าวจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผย"สำนักข่าวอิศรา"ว่า หลังจากระกาศ ป.ป.ช.เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการกันบุคคลหรือผู้ถูกกล่าวหาไว้เป็นพยานโดยไม่ดำเนินคดีพ.ศ. 2554 มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 18มิถุนายน 2554 ที่ผ่านมา คณะกรรมการ ป.ป.ช.เตรียมที่จะใช้หลักเกณฑ์ในประกาศดังกล่าวในการกันปลัดอำเภอหรือนายอำเภอบางคนซึ่งเป็นผู้ที่สอบคัดเลือกอบรมหลักสูตรนายอำเภอได้ใน ปีงบประมาณ 2552 ไว้เป็นพยานในคดีที่มีการกล่าวหา ผู้บริหารระดับสูงในกรมการปกครอง 4 คนว่า ทุจริตเพื่อช่วยเหลือปลัดอำเภอให้สามารถสอบเข้าอบรมหลักสูตรนายอำเภอจำนวน 150 คนได้โดยมิชอบจากที่มีผู้เข้าสอบนับพันคน
แหล่งข่าวกล่าวว่า ในคดีดังกล่าว คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้แจ้งข้อกล่าวหาแก่ นายวงศ์ศักดิ์ สวัสดิ์พาณิชย์ อธิบดีกรมการปกครอง, นายวุฒิชัย เสาวโกมุท ผู้อำนวยการกองการเจ้าหน้าที่(ในขณะนั้น), นายครรชิต สลับแสง เลขานุการกรมการปกครอง(ในชณะนั้น) และนายสำราญ ตันเรืองศรี ผู้อำนวยการส่วนกำนันผู้ใหญ่บ้าน กรมการปกครอง(ในขณะนั้น) ว่า ละเว้นหรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบมีความผิดทั้งทางวินัยและอาญาเนื่องจากห้ความช่วยเหลือปลัดอำเภอให้สามารถสอบเข้าอบรมหลักสูตรนายอำเภอโดยมิชอบ รวมทั้งแจ้งข้อกล่าวหาแก่ผู้เข้าสอบคัดเลือกจำนวน 142 คนที่ได้รับความช่วยเหลือว่า มีความผิดวินัย และทางอาญาเนื่องจากเขียนกระดาษคำตอบเปล่าย้อนหลัง เพื่อใช้เป็นหลักฐานอ้างว่า ทำข้อสอบได้ตามที่มีการให้คะแนน
แหล่งข่าวกล่าวว่า อย่างไรก็ตามจากการสืบสวนเชื่อว่า นอกจากข้าราชการระดับสูงที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหา 4 คนแล้ว ยังมีข้าราชการระดับสูงอีกจำนวนหนึ่งและนักการเมืองที่มีอำนาจเหนือกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้สั่งการให้มีการทุจริต เรียกรับเงินจากปลัดอำเภอที่สอบเข้า แต่เนื่องจากปลัดอำเภอเหล่านั้นตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาด้วย จึงไม่ยอมให้ปากคำที่เป็นประโยชน์ที่จะเป็นหลักฐานมัดนักการเมือง จึงคิดว่า ใช้ประกาศฉบับนี้กันปลัดอำเภอที่ยอมให้ปากคำที่เป็นหลักฐานหรือเบาะแสมัดนักกรเมืองไว้เป็นพยานซึ่งจะเป็นคดีแรกหลังจากประกาศฉบับนี้มีผลบังคับใช้
สำหรับประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการกันบุคคลหรือผู้ถูกกล่าวหาไว้เป็นพยานโดยไม่ดำเนินคดี พ.ศ. 2554 มีสาระสำคัญดังนี้
1.“พยาน” หมายความว่า บุคคลผู้ซึ่งยังมิได้ถูกแจ้งข้อกล่าวหาหรือผู้ถูกกล่าวหารายใดที่ได้ให้ถ้อยคำ หรือแจ้งเบาะแสหรือข้อมูล อันเป็นสาระสำคัญในการที่จะใช้เป็นพยานหลักฐานในการวินิจฉัยชี้มูลการกระทำผิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้กันไว้เป็นพยานโดยไม่ดำเนินคดีตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
2.บุคคลหรือผู้ถูกกล่าวหาที่อาจถูกกันไว้เป็นพยานต้องมีลักษณะดังต่อไปนี้
(1) เป็นผู้ที่รู้เห็นเหตุการณ์และมีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีส่วนร่วมในการกระทำผิดกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง หรือระหว่างการดำเนินการแสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานก่อนการไต่สวนข้อเท็จจริง หรือระหว่างการไต่สวนข้อเท็จจริง
(2) เป็นผู้ที่ได้ให้ถ้อยคำอันเป็นประโยชน์ต่อการตรวจสอบข้อเท็จจริง หรือการแสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐาน และการไต่สวนข้อเท็จจริง หรือให้ถ้อยคำ หรือแจ้งเบาะแสหรือข้อมูลอันเป็นสาระสำคัญจนสามารถใช้เป็นพยานหลักฐานในการวินิจฉัยชี้มูลการกระทำผิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐรายอื่นที่เป็นตัวการสำคัญนั้น
(3) เป็นผู้ที่เต็มใจที่จะให้ถ้อยคำ หรือแจ้งเบาะแสหรือข้อมูลและรับรองว่าจะไปเบิกความเป็นพยานในชั้นศาลตามที่ให้การหรือให้ถ้อยคำไว้
3. การพิจารณากันบุคคลหรือผู้ถูกกล่าวหาเป็นพยาน ต้องมิได้เกิดจากการขู่เข็ญ หลอกลวงหรือโดยมิชอบด้วยประการอื่นใดแก่ผู้ถูกกันไว้เป็นพยานเพื่อชักจูงใจให้บุคคลดังกล่าวให้ถ้อยคำหรือข้อมูลในเรื่องที่กล่าวหานั้น
4.ในกรณีที่บุคคลหรือผู้ถูกกล่าวหารายใด ประสงค์ที่จะให้ถ้อยคำหรือแจ้งเบาะแสหรือข้อมูลอันเป็นสาระสำคัญในการที่จะใช้เป็นพยานหลักฐานประกอบในการวินิจฉัยชี้มูลการกระทำผิดของผู้ถูกกล่าวหารายอื่น ก็ให้บุคคลผู้นั้นมีคำขอด้วยวาจาหรือเป็นหนังสือต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อขอให้กันตนไว้เป็นพยานในคดีนั้นได้นับแต่ได้ทราบเหตุแห่งการกล่าวหาในคดีนั้น
5. หรือในการตรวจสอบข้อเท็จจริง หรือการแสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานก่อนการไต่สวนข้อเท็จจริง หรือระหว่างการไต่สวนข้อเท็จจริง หากพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือพนักงานไต่สวน หรือคณะอนุกรรมการไต่สวน พบว่าคำให้การของบุคคลใดจะเป็นประโยชน์ในการพิสูจน์ความผิดของผู้ถูกกล่าวหารายใด และสามารถที่จะใช้เป็นพยานหลักฐานในการวินิจฉัยชี้มูลการกระทำผิดของผู้ถูกกล่าวหานั้น ให้สอบปากคำบุคคลดังกล่าวไว้และทำความเห็นว่าสมควรกันบุคคลผู้นั้นเป็นพยานหรือไม่ เพื่อเสนอคณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาวินิจฉัยต่อไป
6.ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาคำขอหรือความเห็นดังกล่าว โดยคำนึงถึงเหตุดังต่อไปนี้
(1) หากไม่กันบุคคลหรือผู้ถูกกล่าวหาคนใดคนหนึ่งเป็นพยานแล้ว พยานหลักฐานที่มีอยู่อาจไม่เพียงพอและไม่อาจแสวงหาพยานหลักฐานอื่นแทนเพื่อให้เพียงพอแก่การที่จะดำเนินคดีกับผู้ถูกกล่าวหารายอื่นที่เป็นตัวการสำคัญ
(2) บุคคลหรือผู้ถูกกล่าวหานั้นจะต้องเบิกความตามที่ให้การไว้
7. เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้กันบุคคลหรือผู้ถูกกล่าวหารายใดไว้เป็นพยานแล้วย่อมถือว่าบุคคลหรือผู้ถูกกล่าวหานั้นอยู่ในฐานะพยานของคณะกรรมการ ป.ป.ช. และอาจได้รับการคุ้มครองหรือจัดให้มีมาตรการคุ้มครองช่วยเหลือตามกฎหมายหรือระเบียบว่าด้วยการนั้นสำหรับบุคคลเหล่านั้นด้วย
8.หากพยาน ไม่ไปเบิกความหรือไปเบิกความแต่ไม่เป็นไปตามที่ให้การหรือให้ถ้อยคำไว้ หรือไปเบิกความเป็นพยานแต่ไม่เป็นประโยชน์ในการพิจารณาหรือเป็นปฏิปักษ์ ย่อมไม่ได้รับการกันไว้เป็นพยานและให้การกันบุคคลหรือผู้ถูกกล่าวหาเป็นพยานสิ้นสุดลง
