ชายแดนพม่า ฝั่งไทย-อินเดียส่อเค้าวุ่น หลังทหารพม่าปะทะเดือดชนกลุ่มน้อยคะฉิ่น
นักข่าวพม่า เผยพม่าเสริมทัพดูแลความปลอดภัยเขื่อน ข้ออ้างกวาดล้างเคเอไอ หวั่น สงครามกลางเมืองปะทุหนัก ทำชีวิต-การค้าชายแดนพัง
วันที่ 20 มิถุนายน ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย กรุงเทพฯ นายนาม ดิน ลาไพร บรรณาธิการ Kachin News Group สำนักข่าวอิสระแห่งหนึ่งในประเทศพม่า กล่าวถึงเหตุการณ์ปะทะ ตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายนถึงปัจจุบัน ระหว่างกองทัพพม่ากับกองกำลังอิสระคะฉิ่น (เคไอเอ) ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในพื้นที่ทางภาคเหนือของพม่า (ใกล้กับชายแดนจีน) ว่า ชนวนเริ่มต้นจากทหารพม่าขยับเข้ามาใกล้ฐานที่ตั้งของกองกำลังคะฉิ่น (เคเอไอ) โดยให้เหตุผลว่า ต้องการเข้ามาดูแลรักษาความปลอดภัยคนงานและบริษัทของจีนที่เข้ามาลงทุนสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังงานน้ำ นั่นคือ เขื่อนต้าปิง หรือท่าปิง หมายเลข 2 ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง โดยเคเอไอเสนอตัวเข้ามาดูแลพื้นที่ดังกล่าวเอง เพราะเห็นว่าอยู่ใกล้ฐานที่มั่นของตน แต่ทหารพม่ากลับปฏิเสธ และเพิ่มกำลัง จนเกิดการปะทะขึ้น
“สถานการณ์เริ่มรุนแรงและหนักหน่วงมากขึ้นตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายนที่ผ่านมา หลังจากกองกำลังพม่า ภายใต้การบังคับบัญชาของกรุงเนย์ปิดอว์ (เมืองหลวงใหม่พม่า) เข้ามาเสริมทัพในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง จนขณะนี้มีหน่วยรบอยู่ในพื้นที่ถึง 12 กองพัน อีกทั้งมีการใช้อาวุธปืนใหญ่ขนาด 105 mm กระหน่ำยิงกว่าพันลูกต่อวัน การใช้กำลังพลขนาดนี้เป็นการจงใจที่จะกวาดล้างเคไอเอมากกว่า”นายนาม ดิน ลาไพร กล่าว และเชื่อว่า สถานการณ์สู่รบที่เกิดขึ้นจะปลุกให้เกิดสงครามกลางเมืองเกิดขึ้นอีกครั้ง หลังจากยุติมานานกว่า 20 ปี
นายนาม ดิน ลาไพร กล่าวถึงความพยายามในการยุติการสู้รบว่า ฝ่ายเคไอเอได้มีการทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรส่งต่อไปยังรัฐบาลพม่าเรียกร้องให้มีการหยุดยิง หยุดเพิ่มกำลังเข้ามาในจุดที่ใกล้กับฐานที่มั่นของเคไอเอ ไม่เช่นนั้นจะขยายการสู้รบออกไปอีก แต่รัฐบาลพม่ากลับไม่มีปฏิกิริยาต่อเส้นตายดังกล่าว อีกทั้งยังคงเดินหน้าส่งกำลังลุกฐานเคไอเอและใช้อาวุธถล่มอย่างต่อเนื่อง
นายนาม ดิน ลาไพร กล่าวต่อว่า การขยายพื้นที่สู้รบของรัฐบาลทหารพม่า ทำให้ปัจจุบันหมู่บ้านนาหลง หรือนาใหญ่ ในจังหวัดบ้านหม้อ ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ เช่นเดียวกับหมู่บ้านอื่นๆ ที่ผู้คนต้องอพยพออกจากพื้นที่ บางส่วนหนีไปหลบตามป่าเขาบริเวณชายแดนพม่า ซึ่งติดกับประเทศจีน ขณะที่อีกส่วนหนึ่งอพยพเข้าไปอยู่อาศัยกับญาติมิตรในประเทศจีน ซึ่งหากนับยอดผู้อพยพมีจำนวนทั้งสิ้นกว่า 20,000 รายแล้ว
“คนส่วนใหญ่ที่อพยพจะเป็นคนที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของรัฐบาลทหาร เพราะคนกลุ่มนี้กลัวจะถูกบังคับให้ไปเป็นลูกหาบ หรือด่านหน้าของกองทัพ เช่น เข้าไปลุยในพื้นที่เสี่ยงภัย มีระเบิด”
นายนาม ดิน ลาไพร กล่าวถึงการสู้รบครั้งนี้ว่า ไม่ได้เป็นการสู้รบโดยบังเอิญ แต่ทางการพม่าได้รวางแผนไว้อย่างดี หรือหากมองลึกๆ จะพบว่าเป็นปัญหากลุ่มชาติพันธุ์ในพม่าเอง เพราะที่ผ่านมาพม่าไม่ยอมแก้ไขอย่างสันติวิธี แต่กลับใช้กำลัง จนเกิดการสู้รบขึ้นมา
“หลังจากเคไอเอหยุดยิงเมื่อปี ค.ศ.1994 ก็พยายามเจรจากับพม่าหลายครั้ง ขณะเดียวกันก็พยายามเข้ามามีส่วนร่วมในการร่างรัฐธรรมนูญ แต่พม่ากลับไม่ยอมรับข้อเรียกร้องของกลุ่มชาติพันธุ์แม้แต่น้อย”นายนาม ดิน ลาไพร กล่าว และว่า หากพม่าปฏิบัติตามสนธิสัญญาปางหลวงที่ทำขึ้นกับกลุ่มชาติพันธุ์เมื่อปี ค.ศ.1947 ที่จะให้ทุกกลุ่มมีสิทธิปกครองตนเอง ให้มีประชาธิปไตย เหตุการณ์การปะทะกันคงไม่เกิดขึ้น
นายนาม ดิน ลาไพร กล่าวทิ้งท้ายว่า หากรัฐบาลพม่าไม่ถอนกำลัง และยังอ้างใช้โครงการพัฒนาเศรษฐกิจร่วมกับเพื่อนบ้านเป็นข้ออ้างในการทำสงครามกับกลุ่มชาติพันธุ์ ตามแนวชายแดน เชื่อว่า สงครามกลางเมืองจะขยายวงกว้างต่อไปทั่วประเทศ เนื่องจากเคเอไอเป็นสมาชิกของ Union Nationalities Federal Council-UNFC การสู้รบจึงจะไม่หยุดอยู่แค่ภาคเหนือ ชายแดนพม่า จีนเท่านั้น แต่จะลุกลามมาถึงบริเวณชายแดนไทยด้วย รวมถึงชายแดนฝั่งที่ติดต่อกับประเทศอินเดีย อีกทั้งจะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพ การค้าขาย รวมทั้งความอยู่เย็นเป็นสุขของประชาชนบริเวณชายแดนอย่างแน่นอน
