ศาลรัฐธรรมนูญ : ถ้าเสียงข้างมากใช้อำนาจตามอำเภอใจ
“...เพื่อให้เกิดการตรวจสอบถ่วงดุล ให้ใช้อำนาจอย่างถูกต้องเหมาะสม มิใช่แบ่งแยกให้เป็นพื้นที่อิสระของแต่ละฝ่ายที่จะใช้อำนาจตามอำเภอใจอย่างไรก็ได้ เพราะถ้าฝ่ายใดฝ่ายใดมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด โดยปราศจากการตรวจสอบถ่วงดุลแล้ว ย่อมเป็นความเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะทำให้เกิดความเสียหาย และนำพาประเทศชาติให้เสื่อมโทรมหลง เพราะมาผิดหลงและเมามัวของผู้ถืออำนาจนั้น…”

ในคำวินิจฉัยของ ศาลรัฐธรรมนูญ (ศาล รธน.) คดีที่ขอให้วินิจฉัยว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่องที่มา ส.ว.ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่มีเนื้อหาบางส่วนน่าสนใจ
เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับ “อำนาจของศาล รธน.” ในการรับคำร้องคดีนี้ไว้วินิจฉัย
เพราะมีหลายฝ่าย ทั้งคนในรัฐบาล ส.ส.-ส.ว.บางส่วน รวมถึงแกนนำ นปช. ที่ระบุว่า “ศาล รธน.ไม่มีอำนาจ”
ทว่า คำวินิจฉัยทางการของศาล รธน.เอง กลับระบุว่า “ศาล รธน.มีอำนาจ”
ด้วยเหตุผลอะไร? สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org สรุปคำวินิจฉัยในส่วนนี้มาให้ได้อ่าน เพื่อทำความเข้าใจความคิดของ “ศาล รธน.”
โดยใจความสำคัญอยู่ที่ ศาล รธน.ระบุว่า หากไม่มีการตรวจสอบถ่วงดุล...เสียงข้างมากใช้อำนาจตามอำเภอใจ...อะไรจะเกิดขึ้น ???
และเป็นคำตอบว่า ทำไมศาล รธน.จึงต้องรับคำร้องคดีนี้ไว้วินิจฉัย !!!
-----
ก่อนพิจารณามีปัญหาที่ต้องพิจารณาเบื้องต้นคือศาล รธน.มีอำนาจวินิจฉัยคดีนี้หรือไม่
เห็นว่า ประเทศที่นำระบอบประชาธิปไตยมาปกครองประเทศ ล้วนมีวัตถุประสงค์ในการออกแบบหรือสร้างกลไก ในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน และให้ประชาชนเข้ามามีส่วนในการปกครองประเทศ รวมถึงตรวจสอบอำนาจรัฐ อีกทั้งสร้างระบบถ่วงดุลตรวจสอบระหว่างองค์กรหรือสถาบันการเมือง เพื่อให้เกิดดุลยภาพในการใช้อำนาจอธิปไตยซึ่งเป็นของประชาชน ตามหลักการแบ่งแยกอำนาจ 3 ฝ่าย บริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการดังปรากฏในคำปรารภของรัฐธรรมนูญ ปี 2550 ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ
จากหลักการดังกล่าวนี้ ย่อมแสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่า เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีความมุ่งหมายให้องค์กรหรือสถาบันการเมืองได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างถูกต้องชอบธรรม มีความเป็นอิสระ และซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทย โดยปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ไม่ประสงค์ให้องค์กรหรือสถาบันการเมืองใดบิดเบือนการใช้อำนาจโดยเบ็ดเสร็จเด็ดขาด อีกทั้งไม่ประสงค์ให้องค์กรหรือสถาบันการเมืองใดหยิบยกกฎหมายใด มาเป็นข้ออ้างเพื่อใช้เป็นฐานสนับสนุนหรือเป็นข้ออ้าง ที่จะแสวงหาประโยชน์ส่วนตนหรือพวกพ้องจากการใช้อำนาจนั้นๆ
แม้ภายใต้การปกครองตามระบบประชาธิปไตยจะให้ถือเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์ก็ตาม แต่หากละเลยหรือใช้อำนาจตมอำเภอใจกดขี่ข่มเหงเสียงข้างน้อยโดยไม่ฟังเหตุผล จนทำให้เสียงข้างน้อยไม่มีที่อยู่ที่ยืน ก็จะไม่ใช่การปกครองในระบอบประชาธิปไตย หากแต่กลับกลายเป็นระบอบเผด็จการฝ่ายข้างมาก ขัดแย้งกับระบอบการปกครองของประเทศไปอย่างชัดเจน ซึ่งหลักการพื้นฐานสำคัญนี้ ได้รับยืนยันมาตลอดว่าต้องมีมาตรการป้องกันการใช้อำนาจอย่างบิดเบือน
เพื่อให้เกิดการตรวจสอบถ่วงดุล ให้ใช้อำนาจอย่างถูกต้องเหมาะสม มิใช่แบ่งแยกให้เป็นพื้นที่อิสระของแต่ละฝ่ายที่จะใช้อำนาจตามอำเภอใจอย่างไรก็ได้ เพราะถ้าฝ่ายใดฝ่ายใดมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด โดยปราศจากการตรวจสอบถ่วงดุลแล้ว ย่อมเป็นความเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะทำให้เกิดความเสียหาย และนำพาประเทศชาติให้เสื่อมโทรมหลง เพราะมาผิดหลงและเมามัวของผู้ถืออำนาจนั้น
ซึ่งองค์กรต่างๆ ที่ใช้อำนาจอธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นประมุขของรัฐ รัฐสภา คณะรัฐมนตรี หรือศาล ล้วนถูกจัดตั้งขึ้นหรือได้รับมอบอำนาจจากรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น ดังนั้นการใช้อำนาจขององค์กรเหล่านี้จึงต้องมีการจำกัดการใช้อำนาจ ทั้งในรูปแบบและเนื้อหา จึงเป็นเหตุที่ให้การใช้อำนาจขององค์กรเหล่านี้ ไม่สามารถขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญได้
ด้วยเหตุนี้ รัฐธรรมนูญจึงนำ “หลักนิติธรรม” มากำกับการใช้อำนาจของทุกฝ่าย ภายใต้หลักที่ว่านอกจากใช้อำนาจตามหลักกฎหมายแล้วยังต้องใช้อำนาจตามหลักนิติธรรมด้วย
การอ้างหลักเสียงข้างมาก โดยที่มิได้คำนึงถึงเสียงข้างน้อย เพื่อหยิบยกมาสนับสนุนการใช้อำนาจตามอำเภอใจ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์การใช้อำนาจ ท่ามกลางความทับซ้อนของผลประโยชน์ส่วนตนหรือกลุ่มบุคคลกับผลประโยชน์ส่วนหรือของประเทศชาติ และการใดที่นำไปสู่ความเสียหาย หรือความเสื่อมโทรมของประเทศชาติ หรือความเสียหาย หรือความแตกสามัคคีกันอย่างรุนแรงของประชาชน ย่อมขัดต่อหลักนิติธรรมตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ ตามนัยยะคือรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 นั่นเอง การใช้อำนาจจะใช้โดยทุจริต ฉ้อฉล หรือผลประโยชน์ทับซ้อนมิได้ มิฉะนั้นจะทำให้บรรดาสุจริตชนคนทั้งประเทศอาจสูญเสียประโยชน์พึงมีพึงได้
หลักนิติธรรมถือเป็นแนวทางในการปกครองที่มาจากหลักความยุติธรรมตามธรรมชาติ อันเป็นความเป็นธรรมที่บริสุทธิ์ ปราศจากอคติและไม่มีผลประโยชน์ส่วนตนเข้ามาเกี่ยวข้องหรือแอบแฝง หลักนิติธรรมจึงเป็นพื้นฐานสำคัญของกฎหมายที่อยู่เหนือบทบัญญัติที่เป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งองค์กรต่างๆ ทั้งรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรตามรัฐธรรมนูญ หรือหน่วยงานต่างๆ จะต้องยึดถือเป็นแนวทางในการปฏิบัติ
ส่วนหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตย หมายถึงคือการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน มิใช่การปกครองตามแนวความคิดของบุคคลใดหรือกลุ่มบุคคลใด และมิใช่การปกครองที่อ้างอิงแต่เพียงฐานอำนาจที่มาจากการเลือกตั้งเท่านั้น ทั้งนี้ เนื่องจากหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ยังมีองค์ประกอบสำคัญอีกหลายประการ การที่องค์กรหรือสถาบันการเมืองมักอ้างอยู่เสมอว่าตนมาจากการเลือกตั้งของประชาชน แต่กลับนำแนวความคิดของบุคคลใดหรือกลุ่มบุคคลใดมาปฏิบัติ หาใช่วิธีการปกครองระบอบประชาธิปไตย ที่มีความมุ่งหมายของประโยชน์สุขของประชาชนส่วนรวมตามหลักนิติธรรมไม่
เนื่องจากระบอบประชาธิปไตย มิได้หมายถึงเพียงการชนะการเลือกตั้งเท่านั้น เพราะเสียงส่วนใหญ่จากการเลือกตั้ง มีความหมายเพียงสะท้อนความต้องการของประชาชน ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในแต่ละครั้งเท่านั้น หาใช่เป็นเหตุให้ตัวแทนใช้อำนาจรัฐโดยไม่ต้องคำนึงถึงความถูกต้องชอบธรรมตามหลักนิติธรรมแต่อย่างใด
ในขณะเดียวกัน รัฐธรรมนูญยังกำหนดให้มีศาล รธน. มีอำนาจหน้าที่สำคัญในการตรวจสอบถ่วงดุลการใช้อำนาจให้เป็นไปตามหลักนิติธรรม เพื่อคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ได้รับการคุ้มครองอย่างเป็นรูปธรรม ควบคู่ไปกับการคุ้มครองรัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายสูงสุด ดังที่มีการระบุในรัฐธรรมนูญ มาตรา 216 วรรคห้า ที่ว่าคำวินิจฉัยของศาล รธน.ถือเป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันกับทุกองค์กร ซึ่งรวมถึงรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐ ทั้งที่มีหน้าที่ในการตรากฎหมาย ใช้กฎหมาย และตีความกฎหมาย
เมื่อพิจารณาโดยตลอดแล้ว เห็นว่า คดีนี้ผู้ร้องใช้สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรคสอง ด้วยการยื่นคำร้องต่อศาล รธน.ว่าผู้ถูกร้อง “ใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอํานาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการ ซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้”
ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีอำนาจรับไว้พิจารณาวินิจฉัยได้
-----
ภาพประกอบ - จรูญ อินทจาร จากเว็บไซต์ www.naewna.com
