'นิติราษฎร์' วิพากษ์ 'ศาล รธน.' กำลังสร้าง 'เผด็จการเสียงข้างน้อย'
นิติราษฎร์วิพากษ์ศาล รธน. “วรเจตน์” อัดไร้อำนาจวินิจฉัย อ้างนิติธรรมเพื่อเถลิงอำนาจ ยันร่างแก้รัฐธรรมนูญ ยังไม่ถูกตีตก ขณะที่ “ปิยบุตร” ชี้องค์คณะไม่เป็นกลาง บอกสภาทำถูกต้องตามข้อบังคับ

เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2556 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ คณาจารย์กลุ่มนิติราษฎร์ได้จัดแถลงข่าววิพากษ์คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ (ศาล รธน.) กรณีร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญประเด็นที่มาของ ส.ว. โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมรับฟังเป็นจำนวนมาก
ศาลไม่มีมีหน้าที่สนับสนุนเสียงข้างน้อย
“วรเจตน์ ภาคีรัตน์” เริ่มต้นว่า คำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2556 ที่ผ่านมา ศาล รธน. ไม่ได้วินิจฉัยอำนาจของตัวไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย โดยไปตรวจสอบว่ากฎหมายเรื่องไหนให้อำนาจของตัวเองในการพิจารณา และถ้าเกิดได้ฟังคำวินิจฉัยในวันนั้นว่า ศาล รธน. ได้อ้างหลักการเสียงข้างน้อย และการตรวจสอบถ่วงดุลมาใช้ในการก่อตั้งอำนาจให้ตัวเอง ทั้งนี้การอ้างหลักการดังกล่าวนั้น ฟังดูอาจจะเคลิ้มกับการอ่านคำวินิจฉัย แต่ถ้าตรึกตรองดูให้ดี จะพบว่าการอ้างอิงหลักการคุ้มครองเสียงข้างน้อยมีความคลาดเคลื่อนอยู่หลายประการ
วรเจตน์ กล่าวว่า ศาล รธน. ไม่ได้มีหน้าที่ในการสนับสนุนความต้องการของเสียงข้างน้อยให้บรรลุเป้าหมาย เพราะตามหลักโครงสร้างองค์กรรัฐตาม รธน. นั้น ศาล รธน. ไม่ได้เป็นผู้แทนของเสียงข้างน้อย เพราะผู้แทนเสียงข้างน้อยก็คือฝ่ายค้านในสภา แต่ศาล รธน. เป็นคนกลางมีหน้าที่ต้องคุ้มครองเจตจำนงค์ของเสียงข้างมาก และประกันสิทธิและเสรีภาพของเสียงข้างน้อย โดยต้องทำตามที่ รธน. บัญญัติเอาไว้
“ในคำวินิจฉัยถ้าไปทบทวนดูจะเห็นว่า ศาล รธน. พรรณาถึงหลักการประชาธิปไตยยืดยาวเรื่องการตรวจสอบถ่วงดุลคุ้มครองเสียงข้างน้อย และก็สรุปอย่างง่าย ๆ ว่าเสียงข้างน้อยไม่มีที่อยู่ที่ยืน แต่ไม่มีข้อเท็จจริงใด ๆ สนับสนุนว่าเสียงข้างน้อยไม่มีที่อยู่ที่ยืนอย่างใด ไม่มีข้อเท็จจริงบอกว่าเวลานี้มันไม่มีกลไกตรวจสอบเสียงข้างน้อย เพราะถ้าไม่มีกลไกตรวจสอบ ก็ไม่มีศาล รธน. ดังนั้นการยืนยันว่ายังมี ศาล รธน. แสดงว่ามันมีกลไกตรวจสอบเสียงข้างมากอยู่”
อ้างนิติธรรมเพื่อเถลิงอำนาจ
วรเจตน์ ระบุว่า ศาล รธน. สมควรต้องตระหนักและสำนึกว่าการออกแบบโครงสร้างทางการเมืองมีลักษณะอย่างไร เพราะเรื่องของประชาชน โดยแสดงออกผ่านองค์การทางการเมือง ว่าเราจะอยู่กันอย่างไร ออกแบบโครงสร้างอย่างไร เพราะบุคคลเหล่านี้มีความชอบธรรมตามหลักการประชาธิปไตย ไม่ใช่หน้าที่ของศาล รธน. ที่จะมาบอกว่าประเทศนี้ต้องเป็นอย่างนี้ ต้องมีสภาในรูปแบบนี้ตลอดชั่วฟ้าดินสลาย
วรเจตน์ ยังกล่าวอีกว่า ศาล รธน. ได้อ้างหลักนิติธรรมหลายแห่ง ซึ่งถ้าดูในรายละเอียดจะพบว่าเป็นการอ้างอย่างเลื่อนลอยและเพื่อสร้างอำนาจให้กับตัวเอง ซึ่งไม่รู้ว่าในความหมายของศาล รธน. คืออะไร แต่ฟังดูแล้วคือมันมีแบบนี้ และศาล รธน. ได้ปฏิบัติไปตามแบบนี้และตัวเองก็มีอำนาจ
“การอ้างแบบนี้ โดยผลวินิจฉัยนี้เท่ากับเป็นการควบคุมขัดขวางเสียงข้างมาก ทำให้ความต้องการของเสียงข้างน้อยบรรลุผล จึงไม่ใช่หลักนิติธรรม ในความหมายที่เป็นอยู่ มันไม่มีหลักนิติธรรมที่ไหนในโลกนี้ที่ต้องขัดเสียงข้างมากและให้เสียงข้างน้อยบรรลุผล การกระทำแบบนี้ต่างหากทำให้เสียงข้างมากไม่มีที่อยู่ที่ยืน และจะเกิดเป็นเผด็จการเสียงข้างน้อยขึ้น”
ไม่เข้าหลักการมาตรา 68
นอกจากนี้ วรเจตน์ ยังระบุด้วยว่า ศาล รธน. บอกว่าต้องคุ้มครองเสียงข้างมาก เสียงข้างน้อยแบบนี้เพื่อต้องการลากเข้าไปในมาตรา 68 ว่าตัวเองมีอำนาจ เหตุที่อ้างยืดเพื่อจะตรวจสอบเรื่องนี้ ฝ่ายผู้ร้องอ้างว่ารัฐสภาที่ลงมติแก้ไขที่มา ส.ว. ของคนเหล่านี้ใช้สิทธิเสรีภาพตาม รธน. เป็นการล้มล้างประชาธิปไตย
ส่วนเรื่อง มาตรา 68 ไม่ค่อยมีที่ใช้จริงไหม วรเจตน์ ยืนยันว่า จริง เพราะโดยโครงสร้างของมาตรา 68 ไม่มีที่ใช้ เว้นแต่มีการกระทำการเข้าข่าย ทั้งนี้กรณีนี้ที่เกิดขึ้นถ้าลองดูจะพบว่าเรื่องที่เขากล่าวหามันเป็นเรื่องอะไร มันเป็นเรื่องที่รัฐสภาใช้อำนาจแก้ไขเพิ่มเติม รธน. รัฐสภาในกรณีนี้ไม่ใช่บุคคลหรือพรรคการเมืองตามมาตรา 68 เพราะรัฐสภาใช้อำนาจไม่ได้ใช้สิทธิและเสรีภาพ
“ตัวบทพูดถึงเรื่องสิทธิเสรีภาพ พวกคุณจะแปลเป็นเรื่องอำนาจได้อย่างไร มันก็มั่วหมด มันเป็นอย่างนั้นไม่ได้”
ใช้อำนาจขัดแย้งกับ รธน.
วรเจตน์ อธิบายว่า ศาล รธน. จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดแย้งกับ รธน. ผลคือ ศาลสถาปนาอำนาจขึ้นมาเองผ่านการตีความมาตรา 68 อย่างกว้างขวางอุปมาราวกับเป็นมหาสมุทรทุกมหาสมุทรบนโลกนี้รวมกัน มาตรา 68 จึงกลายเป็นแก้วสารพัดนึกในแง่ของการรับเรื่องไว้พิจารณาซึ่งไม่ชอบด้วยหลักโครงสร้างของรัฐ และไม่ชอบด้วยหลักการตรวจสอบถ่วงดุล
“ผลสุดท้ายศาล รธน. ก็จะกลายเป็นซุปเปอร์องค์กร เป็นองค์กรที่อยู่เหนือองค์กรทั้งมวล”
วรเจตน์ กล่าวระบุว่า ศาล รธน. ถือกำเนิดจาก รธน. แต่โดยการตีความมาตรา 68 แบบนี้ ศาล รธน. จะเป็นผู้ให้กำเนิด รธน. เสียเอง แล้วมันจะเกิดสภาพอะไรขึ้นในเชิงหลักการ ทุกอย่างจะวิปลาศผิดเพี้ยนไปหมด การตีความอย่างนี้มีผลรุนแรง เพราะถือเป็นการทำลายหลักนิติรัฐและประชาธิปไตยลง ส่งผลให้เกิดสภาวะศาล รธน. มีอำนาจสูงสุดเด็ดขาด
“ด้วยเหตุนี้ทำให้เราต้องยืนยันว่าคำวินิจฉัยของศาล รธน. นี้เสียเปล่าและไม่มีผลในทางกฎหมาย”
องค์คณะไม่มีความเป็นกลาง
ต่อมา “ปิยบุตร แสงกนกกุล” ระบุถึงปัญหาในการตั้งองค์คณะของศาลมีอยู่ 3 ข้อใหญ่คือ
1. ย้อนไปดูวันที่ศาล รธน. ออกนั่งบัลลังก์ในวันที่รับคำร้อง องค์คณะในเวลานั้นไม่ได้มี 9 คนแบบตอนวินิจฉัยคดี เวลาที่รับคำร้อง ไม่มีนายทวีเกียรตริ มีนะกนิษฐ์ ซึ่งเพิ่งได้รับการแต่งตั้งและโปรดเกล้าฯ ภายหลัง ซึ่งประเด็นนี้สำคัญมาก เพราะในหลักทั่วไปของกฎหมายวิธีพิจารณาความ เรื่องสำคัญคือคู่ความต้องรู้ล่วงหน้าว่าใครจะเป็นคนตัดสิน เพื่อจะได้รู้ว่าองค์คณะมีใครไม่เป็นกลาง เพื่อจะได้ร้องคัดค้านองค์คณะ
2. สมมติว่า องค์คณะรับฟ้องมี 7 คน แล้ววันตัดสินเพิ่มมาเป็น 9 คน ลองคิดดูว่าถ้าเปิดแบบนี้ไปเรื่อย ๆ มันจะเติม – ลดองค์คณะได้ตลอดเวลา ฉะนั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญเพราะตามหลักพิจารณาความ องค์คณะที่เริ่มต้นรับคำร้องจะต้องเป็นคนเดิมคนเดียวกันไปจนถึงวันวินิจฉัย เว้นเสียแต่ว่ามีเหตุสุดวิสัยคือ ตาย หรือถูกร้อง
3. องค์คณะต้องมีความเป็นกลางและปราศจากอคติ แต่ในทัศนคติของนายจรัล ภักดีธนากุล ซึ่งที่อภิปรายในที่ประสภาร่าง รธน. ครั้งที่ 30/2550 ในประเด็นที่เกี่ยวกับการได้มาของ ส.ว. ซึ่งทัศนคติของนายจรัล ในครั้งนั้นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าสนับสนุนรูปแบบการได้มาของ ส.ว. แบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และแสดงความเห็นปฏิปักษ์อย่างยิ่งกับการเลือก ส.ว. แบบเลือกตั้ง
ขั้นตอนตรา รธน. ถูกต้องตามข้อบังคับ
ปิยบุตร ได้สรุปคำวินิจฉัยของศาลที่บอกว่ากระบวนการขั้นตอนในเรื่องการตรา รธน. มีปัญหาหรือบกพร่องนั้น ไม่เป็นความจริง โดยมีอยู่ 3 ประเด็นใหญ่คือ
1. ประเด็นเรื่องร่างฯ วันที่ยื่นกับร่างฯ วันที่แก้เป็นคนละร่างฯ นั้นคำตอบคือจริง แต่ไม่ส่งผลเสียหายในกระบวนการขั้นตอนเลย เพราะรัฐสภาก็ให้โอกาสพิจารณาร่างอันนั้นเหมือนกัน พร้อมกัน ในเวลาเดียวกัน และสมาชิกรัฐสภาได้รับร่างที่มีการแก้ล่าสุด ฉะนั้นกระบวนการนี้ไม่ใช่สาระสำคัญที่ทำให้การแก้ไข รธน. ครั้งนี้มีปัญหาหรือบกพร่อง
2. เรื่องนับวันการเสนอคำแปรญัตติ หาว่าเป็นการตัดสิทธิ์ฝ่ายค้าน และผิดข้อบังคับ ผมไปค้นข้อบังคับดู ปรากฎว่าข้อบังคับการประชุมรัฐสภา 2553 ข้อ 96 หลักการคือต้องแปรญัตติล่วงหน้า 15 วันนับตั้งแต่วันรับหลักการในช่วงวาระที่ 1 เว้นรัฐสภากำหนดเป็นอย่างอื่น ข้อเท็จจริงปรากฎว่าประธานสภาถามว่าตกลงเอากี่วัน มีคนเสนอว่าเอา 60 วัน ปรากฎว่าองค์ประชุมไม่ครบ ก็ลงมติไม่ได้ ปัญหาคือ 14 วันก่อนหน้านั้นทำไมไม่มาขอแปรญัตติ ทำไมเหลืออีก 1 วันถึงอยากขยายเป็น 60 วัน
ความร้ายแรงของคำวินิจฉัยที่ศาล รธน อ้างว่าการนับเวลาย้อนหลังไปจะทำให้เหลือเวลาแปรญัตติเพียง 1 วัน ขัดกับข้อบังคับการประชุมและขัดกับหลักนิติธรรม แต่ไม่มีข้อบังคับข้อไหนเลยที่บอกว่าให้นับวันแบบที่ศาล รธน. บอก หมายความว่าศาล รธน. วินิจฉัยประเด็นนี้โดยไม่มีกฎหมายเอามาตัดสินคดี
ส่วนกรณีมีการตัดสิทธิ์ไม่ใช่สมาชิกรัฐสภาอภิปรายในวาระ 2 ซึ่งมีคนแปรญัตติ 57 คน ปรากฎว่าพิจารณาที่แปรญัตติมันมีเงื่อนไขอยู่ว่า สิ่งที่แปรญัตติห้ามขัดหลักการในวาระ 1 แต่สิ่งที่คนเสนอแปรญัตติทั้ง 57 คนขัดกับหลักการในวาระ 1 ดังนั้นประธานสภาก็มีสิทธิ์ไม่ให้อภิปรายได้
“แล้วทำไมศาล รธน. เป็นการตัดสิทธิ์เสียงข้างน้อย ก็เสียงข้างน้อยทำผิดข้อบังคับ ฉะนั้นถ้าอ่านประเด็นนี้จะเห็นว่าศาล รธน. ทิ้งเชื้อไว้เต็มไปหมด และหัวเชื้อเหล่านี้จะทำให้กระบวนการนิติบัญญัติในประเทศไทยมีอุปสรรคปัญหาตลอด ต่อไปกฎหมายทุกฉบับในสภาที่เป็นประเด็นถกเถียง พรรคฝ่ายค้านจะแปรญัตติกันเป็นร้อย ๆ คนในช่วงใกล้กำหนดเวลา พอประธานสภาตัดสิทธิ์ คนเหล่านี้ก็จะอ้างคำวินิจฉัยอันนี้มาอ้าง”
3. ตามคำร้องที่มีการการเสียบบัตรแทนกัน 8 ใบ สมมติว่า เอา 8 เสียงออกไป แล้วมติเห็นชอบจะเสียหรือไม่ ก็ไม่ ต่อให้หักไป 8 เสียงก็ผ่านอยู่ดี กระบวนการถ้ามีข้อบกพร่องมันไม่ได้ส่งผลกระทบกระเทือนต่อมติตอนจบ ดังนั้นการนำมาเสียบ 8 เอามาล้มร่างฯ ที่ผ่านไปแล้วไม่ได้ ถ้ามีการเสียบบัตรแทนกันจริงคุณก็ต้องไปลงโทษ ดำเนินการคนที่เขาเสียบบัตรแทนกัน ไม่ใช่มาล้มร่างฯ ฉบับนี้ ถ้าหากยืนตามคำวินิจฉัยปัญหาจะเกิดทันที มันจะมีการเปิดช่องให้แกล้งกันในทางการเมือง สมมติ ผมเป็นเสียงข้างน้อยโหวตเท่าไหร่ก็ไม่ชนะ ก็เลยจะเสียบบัตรแทนกัน หรือให้คนอื่นไปเสียบบัตรเพื่อทำลายมติตอนจบ
ร่างแก้รัฐธรรมนูญยังไม่ถูกตีตก
นอกจากนี้ ปิยบุตร ยังกล่าวเสริมช่วงหลังด้วยว่า การแตะเรื่องเนื้อหาว่าการแก้ไข ส.ว. ที่มาจากากรเลือกตั้งเป็นการได้มาซึ่งอำนาจการปกครองที่ไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย ถือเป็นการกันไว้ล่วงหน้าว่าวันข้างหน้าถ้าสภาแก้อีกรอบ ก็จะเกิดเรื่องนี้อีก เพราะวินิจฉัยไปแล้วว่าแก้ ส.ว. ให้มาจากการเลือกตั้งไม่ได้ ซึ่งศาล รธน. กำลังขยายแดนบทบัญญัติห้ามแก้ รธน. ออกไปเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่พิจารณาได้แค่ 2 เรื่องเท่านั้นคือ การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และเรื่องรูปแบบของรัฐ
หลังจากนั้น วรเจตน์ ได้กล่าวทิ้งท้ายการแถลงข่าวว่า สิ่งถูกต้องในทางกฎหมายตอนนี้ก็คือว่า ร่าง รธน. ฉบับนี้ยังคงมีสถานะสมบูรณ์ในทางกฎหมายทุกประการ และประเด็นคือตัดสินมาไม่มีอะไร คำตัดสินแบบนี้เป็นแค่ประกาศเท่านั้นเอง ไม่ได้มีผลต่อไปอีก
วรเจตน์ ระบุถึงผลในทางการเมืองของคำวินิจฉัยดังกล่าวว่า ผลที่เริ่มเห็นแล้วคือ ศาล รธน. ได้อ่านคำวินิจฉัยที่ไม่ชอบด้วย รธน. ออกสู่สาธารณะ คนที่ได้ประโยชน์จากคำวินิจฉัยในลักษณะเช่นนี้ ก็จะหยิบฉวยบางท่อน หรือทั้งหมด ไปใช้เพื่อเคลื่อนไหวทางการเมืองต่อไปให้บรรลุวัตถุประสงค์
เปรียบเป็นรัฐตุลาการศาล รธน.
วรเจตน์ กล่าวด้วยว่า ถ้าองค์กรที่เกี่ยวข้อง หงอหรือยอม ผลคือสิ่งที่เกิดขึ้นจะกระทบกับระบอบประชาธิปไตย กระทบกับการแบ่งแยกดุลยภาพ รัฐสภาจะไม่สามารถแก้ไขเพิ่มเติมไปตามเจตจำนงค์ของประชาชนได้อีก เมื่อสภาแก้ไขครั้งใด คนที่ไม่เห็นด้วยไปร้อง ศาลก็จะวินิจฉัยแบบเดิมอีก เราก็จะต้องอยู่กับ รธน. ที่เชื่อมโยงกับการรัฐประหารเมื่อปี 2549 ไปชั่วกาลปาวสาน
“ในเมื่อศาล รธน. เปรียบเสมือนผู้อนุญาตว่าการแก้ รธน ทำได้หรือไม่ ผลก็คือศาล รธน. จะเป็นองค์กรสูงสุด และประเทศไทยก็จะเปลี่ยนเป็นรัฐชนิดหนึ่งซึ่งยังไม่เคยเกิดมีขึ้นในโลก นั่นก็คือ รัฐตุลาการศาล รธน.”
วรเจตน์ กล่าวทิ้งท้ายว่า สิ่งที่รัฐสภาต้องทำคือต้องประชุมกัน และมีมติว่าคำวินิจฉัยของศาลไม่ชอบด้วย รธน. และผลผูกพันดังกล่าวไม่มีผลกับรัฐสภา อาจจะพอออกจากวิกฤติได้ แต่ถ้าอีกฝ่ายบอกให้ปฏิบัติตาม วันนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องของกฎหมายแล้ว มันจะพ้นการพูดกันในทางกฎหมายแบบนี้ ไปสู่สิ่งซึ่งเป็นเรื่องอำนาจในทางความเป็นจริง และถ้ามีอะไรเกิดขึ้นมาในทางสังคมต่อไปข้างหน้าศาล รธน. ต้องรับผิดชอบกรณีคำวินิจฉัยในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2556 ที่ผ่านมา
(อ่านแถลงการณ์นิติราษฎร์ เรื่องคำวินิจฉัยศาล รธน.กรณีแก้ไข รธน.เรื่องที่มา ส.ว. ฉบับเต็ม)
ภาพประกอบ - 4 อาจารย์กลุ่มนิติราษฎร์ จากเว็บไซต์ www.posttoday.com
